เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 214 ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลับมา
ตอนเช้าตรู่ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ได้ทราบเรื่องก็พาอนุภรรยาหวังและพิงถิงมารออยู่ที่หน้าประตู พวกนางเพิ่งจะมายืนได้ไม่ทันไร รถม้ากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏในครรลองสายตา…เป็นพวกทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่พำนักวัดประจำตระกูลครบร้อยวันแล้วจึงกลับมา
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ผอมลงไปบ้าง แต่ท่าทียังคงปกติถูกสาวใช้สองคนพยุงลงมาจากรถม้า ชำเลืองมองคนเบื้องหน้าแวบหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที กล่าวอย่างเยือกเย็น “ไฉนจึงมีแค่พวกเจ้าสามคน มี่เอ๋อร์ล่ะ? พวกเราอยู่ที่วัดประจำตระกูลก็เพื่อสวดมนต์ขอพรให้นางและลูก พอกลับมาคนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเสียอย่างนั้น!”
ความคับแค้นใจของทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นมีมาก…แต่งเข้าตระกูลซั่งกวนมาเกือบห้าสิบปี แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางไปวัดประจำตระกูล แต่ก็นับเป็นครั้งแรกที่ถูกคนใช้อำนาจมาอ้างเพื่อส่งไปกักตัวอยู่ที่วัดประจำตระกูล การใช้ชีวิตอยู่ในวัดประจำตระกูล แม้จะไม่ได้น่าสงสารเหมือนอนุภรรยาหนิงถึงเพียงนั้น (ไม่ว่าอย่างไรซั่งกวนฮ่าวก็ไม่อาจปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ดีได้อยู่แล้ว) แต่การใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนั้น อาหารที่จำเจ ทั้งยังความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวน่ากลัว ล้วนทำให้นางรับไม่ได้ นางเอาแต่นับวันแล้ววันเล่าเพื่อจะกลับมา ในที่สุดก็ได้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง
“ในยามนี้ร่างกายมี่เอ๋อร์นั้นเทอะทะ เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ไม่อาจล่วงหน้ามารับท่านแม่ได้ อย่างไรท่านแม่ให้อภัยด้วย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเรียบนิ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าใกล้จะฉลองปีใหม่ เหล่าผู้อาวุโสคงจะให้นางอยู่ที่วัดประจำตระกูลต่อแล้ว ป้องกันไม่ให้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ดูจากท่าทีของนาง เห็นได้ชัดว่า ยังลิ้มรสของความลำบากไม่พอ
“ร่างกายเทอะทะ ไม่สะดวกอย่างนั้นหรือ? สะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวนผู้นี้ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจ้องมองพิงถิงที่ไม่กล้าพูดอะไรอย่างเรียบเย็น “พิงถิง เจ้าพูดมา ไฉนนางจึงได้ใจกล้าถึงขนาดนี้ กระทั่งผู้อาวุโสกลับมาก็ยังไม่กล้าออกมารับ ไม่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในสายตาแล้วใช่หรือไม่?”
“ฮูหยินใหญ่…” พิงถิงคล้ายกับถูกทำให้ตกใจ คุกเข่านั่งลงไปกับพื้นเสียงดังทันที กล่าวอย่างกระอึกกระอัก “ข้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร เมื่อครู่มีคนไปเชิญพี่สะใภ้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เช้าตรู่ของวันนี้พี่สะใภ้ก็ไม่สบายเสียแล้ว มีคนใช้ปาก มากบางคนกล่าวว่า เป็นเพราะฮูหยินใหญ่และพวกอนุภรรยากลับมา ไม่มีคนสวดมนต์ภาวนาให้นาง ดังนั้นจึง…”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยชะงักไปเล็กน้อย ไม่มีคนสวดมนต์ภาวนาให้นาง นางก็ไม่สบายเสียแล้ว หรือนางคิดจะใช้จุดนี้บีบให้พวกตนเองกลับไปอยู่ที่วัดประจำตระกูลต่อ? นางสั่นสะท้านไปทั่วทั้งกาย เข้าสู่สารทฤดูแล้ว สองวันก่อนก็มีหิมะตก ในวัดประจำตระกูลนั้นเงียบเหงาวังเวง ในยามนี้หากจะให้นางกลับไปก็คงไม่ต่างอะไรกับการจะเอาชีวิตนาง
หวงฝู่เยวี่ยลอบหัวเราะในใจ มิน่าเล่าพิงถิงจึงไม่สนคำพูดของตนที่ให้ส่งคนไปเชิญมี่เอ๋อร์ที่เรือนมีคู่ ทว่ากลับดึงประโยคนี้ออกมาแทน ที่แท้ก็เดาได้ว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะมาไม้นี้ ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง!
“เอาเถิด พื้นนั้นเย็นมาก ไม่อาจคุกเข่าเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ลุกขึ้นเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อส่งสายตาเป็นนัยให้ม่านหรู สาวใช้ข้างกายประคองพิงถิงขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินใหญ่จะกลับไปพักผ่อนที่เรือนหลังก่อนหรือจะคอยที่นี่อีกสักพัก เดี๋ยวข้าจะให้บ่าวไปเรียกมี่เอ๋อร์เข้ามา! ฮูหยินใหญ่และพวกอนุภรรยาไปอยู่วัดประจำตระกูลเพื่อนางขนาดนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ควรเข้ามาน้อมทักทายเสียหน่อย!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อในยามนี้แทบจะลืมเรื่องที่ตนเองกำชับไม่ให้มี่เอ๋อร์ออกจากเรือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียสิ้น ตอนนี้ได้เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว หลังจากหิมะตกเมื่อสองวันก่อนอากาศก็หนาวเย็นเป็นอย่างมาก แม้แต่จะทานข้าวก็ยังต้องจัดอาหารทานกันในเรือนมีคู่
“อากาศเย็นถึงเพียงนี้ อย่างไรกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!” อนุภรรยาหนิงเดินขึ้นมาประคองทั่วป๋าซู่เยวี่ย นางไม่อยากเพิ่งมาถึงก็มาถูกส่งออกไปอีกครั้ง แม้อยากจะวางมาด แต่อย่างไรก็ไม่อาจทำในเวลานี้
“อืม…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยักหน้าคล้อยตามคำพูดของอนุภรรยาหนิงทันที ก่อนจะถลึงตาใส่พิงถิงที่ทำท่าประหนึ่งถูกรังแกไปที “อย่างไรพวกเรากลับไปพักผ่อนดีกว่า! เยวี่ยเอ้อ เจ้าก็บอกมี่เอ๋อร์ให้ดูแลร่างกายดีๆ ไม่ต้องมาน้อมทักทายแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรับคำ จากนั้นก็ให้คนรับใช้พาทั่วป๋าซู่เยวี่ยขึ้นเกี้ยวไป ก่อนจะมองพวกอนุภรรยาหนิงและอนุภรรยาอู๋ที่มีใบหน้าซูบเซียวอย่างเรียบนิ่ง “กลับไปพักผ่อนกันให้หมดเถิด! วันนี้ก็จัดเก็บข้าวของในเรือนตัวเองให้ดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว ให้ในจวนคึกคักครื้นเครงจึงจะนับได้ว่ามีบรรยากาศของการฉลองปีใหม่ น่งอวิ๋น ในปีที่ผ่านมา ช่วงเวลานี้เจ้าก็มักจะยุ่งหน้าพะวงหลัง ปีนี้ดีมาหน่อย ไม่ต้องจัดการเรื่องอะไรแล้ว เจ้าก็ฉลองปีใหม่อย่างราบรื่นเถิด!”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” หากอนุภรรยาอู๋จะไม่โกรธไม่แค้นคงเป็นไปไม่ได้ นางพยายามมาตั้งหลายปี แค่พริบตาเดียวก็แทบไม่เหลืออะไร อนุภรรยาหนิงก็ดี อนุภรรยาหวังก็ดี ล้วนแต่มีบุตรสาวข้างกาย แต่นางเล่า? ไม่มีอะไรสักอย่าง!
“ท่านแม่ ข้า…” พิงถิงมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างกังวล “ข้าไปดูฮูหยินใหญ่และอนุภรรยาหนิง…”
“ทางฮูหยินด้านนั้นย่อมมีคนปรนนิบัติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้าไปยุ่ง” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองนางอย่างไม่ยินดีนัก “ส่วนทางอนุภรรยานั้น มีอะไรดีที่ต้องไปดูหรือ? พิงถิง เจ้าอย่าลืมว่า เจ้าในยามนี้เป็นคุณหนูสามของตระกูลซั่งกวน คนแบบใดเข้าใกล้ได้ คนแบบใดอย่าได้ไปเฉียดกาย จะต้องคิดให้ได้”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่!” พิงถิงตอบกลับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ส่งสีหน้าจนใจให้กับอนุภรรยาหนิงที่กำลังมองนางอยู่ ใบหน้าของอนุภรรยาหนิงมืดมนไปเล็กน้อย ออกคำสั่งให้ยกเกี้ยวไปทันที อนุภรรยาหนิงและอนุภรรยาอู๋ต่างก็ออกไปอย่างเร่งรีบ กังวลว่าเดี๋ยวจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นอีก
“สองวันนี้พวกนางย่อมจะเรียกเจ้าไปสั่งสอนอะไรแน่ ต้องใช้ไหวพริบของตนเองเสียหน่อย! ให้พาแม่นมเจียงติดไว้ข้างกายตลอดเวลา อย่าให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนับวันก็ชอบพิงถิงมากขึ้น คิดว่านอกจากเรื่องที่นางออกมาจากท้องของหนิงซินแล้ว อย่างอื่นก็ล้วนดีหมด มีความเป็นคุณหนูชาติตระกูลดี จึงเอ็นดูและห่วงใยอย่างแท้จริง
“ลูกทราบแล้ว!” พิงถิงผงกศีรษะ แม้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะทำอะไรอย่างไม่ได้ใส่ใจอยู่บ้าง ทั้งบางครั้งก็ไร้เหตุผลไปเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่เลว และช่วงเวลาที่เริ่มรู้จักมักคุ้นกันก็ทำให้นางรู้ว่าหลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจัดการนางไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากทำลายภาพลักษณ์และตำแหน่งของตนในสายตาของซั่งกวนฮ่าว ดังนั้นจึงได้พยายามอดกลั้น และช่วงนี้ที่เป็นเวลาเลือกคู่ครองที่เหมาะสมให้นาง นางจึงค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะเลือกคนไหน หรือไม่ว่าจะถูกใจใคร ท้ายที่สุดก็ยังเป็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ความจริงของเรื่องนี้ทำให้พิงถิงตกใจจนเหงื่อเย็นผุดทั่วร่าง…หากไม่ใช่เพราะว่าตัวเองลงมือช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์พอดี เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงพูดกล่อมให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยอมรับนางละก็ นางคงจะมีจุดจบที่น่าสมเพชเวทนาไปแล้ว
“กลับไปกันให้หมดเถอะ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปดูมี่เอ๋อร์ที่เรือนมีคู่ ทั้งจะถือโอกาสไปดูเจ้าเด็กจอมซนคนนั้นด้วย”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับวันก็ยิ่งเทอะทะขึ้นจริงๆ ทั้งในท้องแปดถึงเก้าส่วนอาจจะเป็นลูกผู้ชาย ความสุขที่สุดของหวงฝู่เยวี่ย เอ้อในยามนี้คือการวางมือลงบนท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วก็พูดคุยกับเขา ในยามที่พูดนั้นก็ดูเชื่อฟังดี คล้ายกับว่าฟังออกเสียอย่างนั้น หยุดนิ่งไม่ดิ้นไม่ซน แต่พอไม่ได้ยินเสียง ก็จะโบกมือดีดแข้งดีดขาที่ไม่รู้ว่าโตเต็มที่แล้วหรือยังไปมา ให้คนข้างนอกได้รู้ถึงความโกรธของเขา ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ก็จะทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มจนแทบไม่เห็นดวงตา
“ข้าจะไปด้วยเจ้าค่ะ!” อนุภรรยาหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานข้าและจินหรุ่ยทำรองเท้าและถุงเท้าให้เจ้าตัวเล็กยังไม่เสร็จดี วันนี้จะทำต่อเสียหน่อย” เดิมทีฝีมือการเย็บปักถักร้อยของอนุภรรยาหวังก็ดีเป็นอย่างมาก แต่อยู่ในตระกูลซั่งกวนกลับหาคนที่รู้ใจไม่พบ ตอนนี้นางอยู่กับจินหรุ่ยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ปรึกษาหารือเรื่องเย็บปักเสื้อผ้าให้เด็กน้อย ก็นับว่าฆ่าเวลาได้อยู่บ้าง แต่ว่านางนั้นมีความรอบคอบมาโดยตลอด สิ่งของที่ทำให้เด็กน้อยทั้งหมดล้วนเป็นวัสดุที่เรือนมีคู่เตรียมไว้อย่างดี ทั้งยังเป็นของที่เรือนมีคู่ทำขึ้นมาเอง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่นำออกมา กลัวว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาตัวเองก็คงไม่อาจรับผิดชอบได้
“อย่างไรข้ากลับไปเรียนเขียนพู่กันจีนดีกว่า” พิงถิงกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย นางก็อยากตามไปร่วมสนุกที่เรือนมีคู่เช่นกัน แต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกลับมาแล้ว อนุภรรยาหนิงก็กลับมาเช่นกัน หากพวกนางเห็นตัวเองวิ่งโร่ไปที่เรือนมีคู่ อาจไม่แน่ว่าจะตัดขาดตนเอง แต่ก็ย่อมไม่เป็นที่รักอีกแล้ว อย่างไรกลับไปอยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยมจะดีกว่า!
“เด็กที่น่าสงสาร ไปเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกระจ่างใจดี เคยพูดคุยสนุกสนานคึกคักอยู่ในห้องด้วยกัน แต่กลับต้องมานั่งอยู่ในห้องเหงาๆ คนเดียว นับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก แต่ว่านางก็เข้าใจถึงความกังวลของพิงถิง…อนุภรรยาหนิงคงไม่อาจทำอะไรกับนาง แต่ไม่ใช่ว่ายังมีผู้ที่ไร้เหตุผลอย่างทั่วป๋าซู่เยวี่ย ผู้ที่ชอบใช้ความอาวุโสมาเบ่งคนอื่นอยู่อีกคนอย่างนั้นหรือ?
เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าเรือนเล็ก ก็มองเห็นใบหน้าที่มืดมนของอนุภรรยาหนิงทันที พิงถิงถึงกับตกใจ ก่อนใบหน้าจะเผยรอยยิ้มออกมา “อนุภรรยา ท่านมาได้อย่างไร? ข้ากำลังจะหาข้ออ้างอะไรไปเจอท่านพอดี”
“เจ้ายังจำได้ด้วยหรือว่าต้องไปหาข้า?” อนุภรรยาหนิงมองพิงถิงอย่างเรียบเย็น ลูกสาวคนนี้ไม่ใช่ของนางแล้วจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนั้นออกมา กล่าวอย่างเยือกเย็น “อันใดที่เรียกว่าไม่มีคนสวดมนต์ภาวนาให้นาง นางก็ไม่สบายแล้ว? เจ้าอธิบายให้ข้าฟังดีๆ หน่อยเถิด!”
“อนุภรรยา ด้านนอกอากาศเย็น พวกเราเข้าไปคุยด้านในดีหรือไม่?” พิงถิงมองอนุภรรยาหนิงอย่างอ้อนวอน ความคิดแล่นในหัวอย่างว่องไว ย่อมต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมออกมาให้ได้!
“พูดจบแล้วค่อยเข้าไปก็ไม่สาย” อนุภรรยาหนิงมองพิงถิงอย่างไม่ยอมเคลื่อนไปไหน เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ดูสีหน้าคนเป็น ทั้งยังชอบแสร้งแสดงท่าทีน่าสงสาร ไม่อาจจะถูกนางจูงจมูกได้
“แต่ว่า…” พิงถิงส่งสายตาให้แม่นมเจียงอย่างลำบากใจ และในยามที่แม่นมเจียงค้นพบว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ก็ทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เผยใบหน้าแข็งทื่อที่แม้แต่รอยยิ้มก็ไม่มีให้เห็นสักนิด
“เช่นนั้นก็ได้!” ท้ายที่สุดอนุภรรยาหนิงก็ยังคงยอมล่าถอยไปเอง…แม่นมที่สมควรตายผู้นั้นกำลังจ้องนางอยู่ นางไม่อยากถูกแม่นมที่น่าชิงชังพวกนี้รายงานต่อเบื้องบนทั้งที่เพิ่งจะกลับมา
“แม่นมเจียง ข้ากำชับให้ครัวเล็กเตรียมชาร้อนให้เจ้าแล้ว เจ้าไปดื่มอบอุ่นร่างกายหน่อยเถิด!” ใบหน้าของพิงถิงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจงอยู่บ้าง แม่นมเจียงมองนางอย่างเรียบเย็นไปที ก่อนจะถลึงตามองอนุภรรยาหนิงไปอีกครั้ง คล้อยหลังก็พยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง “ข้าดื่มชาเสร็จแล้วจะเข้ามา! คุณหนูสาม ท่านอย่าได้ลืมฐานะของตัวเองเด็ดขาด ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจใครถึงเพียงนั้น!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” พิงถิงคล้ายคุ้นชินกับ ‘การข่มขู่’ ของแม่นมเจียงเสียแล้ว รับคำอย่างเชื่อฟังทันที ซีเยวี่ย คนรับใช้ข้างกายนางรีบยัดกระเป๋าเหอเปาใบหนึ่งให้แม่นมเจียง แม่นมเจียงรับไว้อย่างไม่เกรงใจ เวลานี้จึงเดินวางมาดออกไป
“ไฉนนางถึง…” อนุภรรยาหนิงมองแผ่นหลังแม่นมเจียงที่วางท่าใหญ่โตอย่างโมโห จู่ๆ ก็เข้าใจถึงความทุกข์ใจของลูกสาวขึ้นมาบ้าง มีแม่นมที่คอยสั่งสอนข้างกายเช่นนี้ นางย่อมลำบากไม่น้อยแน่
“อนุภรรยา ข้าชินเสียแล้ว!” พิงถิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าการกระทำของตัวเองและแม่นมเจียงจะไม่ได้เสียเปล่า ใบหน้าแฝงยิ้มขมขื่น “นางเป็นแม่นมที่ฮูหยินส่งเข้ามาให้เป็นพิเศษ ข้ามีเรื่องอันใด พริบตาเดียวนางก็ย่อมจะรายงานให้ฮูหยิน ทราบ ข้าจะกล้าไม่เชื่อฟังได้อย่างไร! ยามนี้ดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยสามารถใช้เงินให้นางเปิดทาง ไม่คิดว่ายามที่เพิ่งจะมา…”
“เด็กที่น่าสงสาร!” อนุภรรยาหนิงเชื่อว่า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคงไม่ได้รับพิงถิงเป็นลูกสาวเพราะว่าถูกใจ แต่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อจงใจยั่วโทสะตนเองมากกว่า หากสามารถละทิ้งความแค้นก่อนหน้านั้น จู่ๆ ก็ดีกับพิงถิงขึ้นมาได้จึงจะนับว่าเป็นเรื่องแปลกเสียกว่า
“พวกเราเข้าไปพูดด้านในเถิด!” ในใจของพิงถิงนั้นคิดคำแก้ต่างไว้เรียบร้อยแล้ว เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะดึงอนุภรรยาหนิงเข้าไปในห้อง