เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 232 ใกล้งานชมดอกบัวอีกครั้ง
“หมิงเอ๋อร์น่ารักจริงเชียว!” ในยามที่จิงอิ๋งพบซั่งกวนหมิงครั้งแรกก็ร้องเสียงดังขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรนางก็คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวเล็กๆ จะน่ารักน่าชังถึงขนาดนี้ ใบหน้ากลมที่เนียนนุ่ม ดวงตาใสแจ๋ว ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยคล้ายกำลังยิ้มอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็น่ารักไปหมด โดยเฉพาะหน้าตาของเขายังคล้ายกับพี่ใหญ่ของตนเป็นอย่างมาก หากพี่ใหญ่ยั่วโมโหนางเมื่อใด ก็จะกลับมาจัดการกับลูกของเขาเอาแล้วกัน เหอะเหอะ…
เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยกำลังพินิจคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่เบื้องหน้า เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของนาง ปากจิ้มลิ้มนั้นก็เบะเล็กน้อย ไม่สบอารมณ์จึงไม่สนใจนาง บิดศีรษะเล็กไปหาคนที่เขาชอบกว่า ก่อนจะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงส่งเสียง ‘อื้อๆ’ ขึ้นมาทันที
“พี่สะใภ้ เจ้าตัวเล็กเรียกท่านอยู่หรือเปล่า?” หลิงลี่มองเจ้าก้อนกลมๆ อย่างเกรงกลัว ในยามที่นางมาก็ถูกเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวว่าเด็กน้อยเพิ่งอายุเดือนกว่า ยังเล็กมาก พวกนางยังไม่รู้จักความพอดี ไม่อนุญาตให้ยื่นมือไปอุ้ม นางจึงกล้าเพียงลูบใบหน้าเล็กๆ ที่เนียนและอ่อนนุ่มของเขาอย่างระมัดระวัง ทั้งน่าลูบกว่าใครๆ เท่านั้น
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มรับลูกชายมาจากมือของแม่นมฮุ่ย เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยแสดงท่าทีสบายใจออกมาทันที ปากเล็กยังคงพูด ‘อื้อๆ’ อะไรสักอย่าง อย่างไรเขาก็ชอบนอนอยู่ในอ้อมอกของมารดาเป็นที่สุด
“หมิงเอ๋อร์ นี่คืออาหญิงของเจ้า อาจิงอิ๋ง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แนะนำจิงอิ๋งให้กับลูกชาย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เจ้าตัวเล็กจึงไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้หญิง ภายใต้สถานการณ์ที่มีแต่ผู้หญิงรายล้อมตัวเขา ท่าทีที่แตกต่างขึ้นมานี้ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบขันจริงๆ
“อื้อๆ” เจ้าตัวเล็กไม่แม้แต่จะมองสีหน้าที่คาดหวังของจิงอิ๋งสักนิด พุ่งความสนใจไปที่หน้าของมารดา บอกกล่าวอะไรบางอย่างแทน
“คนนี้ก็เป็นอาของเจ้าเช่นกัน อาหลิงลี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหลิงลี่ที่เข้ามาใกล้ ก็แนะนำอีกครั้ง แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังคงจดจ้องหน้าของมารดา ร้อง ‘อื้อๆ’ อย่างไม่สนใจหลิงลี่เช่นกัน
“เหตุใดเขาจึงไม่สนใจข้าล่ะ?” ‘อา’ ทั้งสองคนที่ตื่นเต้นต่างก็พากันรู้สึกผิดหวัง พวกนางอยากจะให้เจ้าตัวเล็กชอบตัวเอง ระหว่างทางที่กลับมาก็เอาแต่พูดคุยเรื่องหลานตัวน้อยด้วยความดีอกดีใจ
“เขาก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคย เดิมทีก็จะไม่สนใจ!” พิงถิงเดินประดับรอยยิ้มเข้ามา “เขาพบเจอพวกเจ้าไม่ได้ร้องไห้สนั่นหวั่นไหว ก็นับว่าไว้หน้าพวกเจ้ามากแล้ว!”
“อื้อๆ” หลังจากเจ้าตัวเล็กเห็นพิงถิงก็ร้องออกมาอย่างไม่ดีใจ เขาไม่ชอบพิงถิงเช่นกัน คนผู้นี้พอปรากฏตัวก็มักชอบหอมแก้มนุ่มของเขา แก้มของเขามีไว้ให้คนที่ชอบหอมเท่านั้น ไม่ใช่หมาแมวที่ไหนก็หอมได้ แต่ว่ากลับไม่ได้เกลียดกลิ่นลมหายใจของพิงถิง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ขับไล่อย่างเอาจริงเอาจังถึงขนาดนั้น
“หรือว่าเขามีคนที่เจอแล้วก็ร้องไห้จ้าละหวั่นด้วยหรือ?” จิงอิ๋งไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ผ่านการอบรมสั่งสองของเฉาซื่ออี๋มานานขนาดนี้ คำพูดความนัยนั้นมีความแตกต่างอย่างไร ล้วนฟังออกอย่างทันที
“ใช่แล้ว!” พิงถิงลูบใบหน้าของเจ้าตัวเล็กทั้งรอยยิ้ม สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคืออุ้งเท้าที่ส่งมาอย่างไม่เกรงใจ…น่าเสียดายที่ยังไม่มีเล็บ ไม่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังคงพอใจที่ตัวเองต่อต้านสำเร็จ เพราะอาที่น่าชังผู้นั้นไม่ได้ยื่นหน้าเข้ามาหอมเขา
“ฮูหยินใหญ่เจอหมิงเอ๋อร์สองครั้ง ทุกครั้งล้วนถูกเขาร้องไห้จนไปไม่เป็น” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคงขบขัน ตั้งแต่อายุครบเดือนครั้งที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้กลับมา ดูคล้ายจะไม่อยากกลับมาด้วยและ ซั่งกวนฮ่าวก็ไม่ได้ตั้งใจส่งคนไปเชิญนางกลับ ตรงกันข้าม ยังพูดกับแม่นมฮุ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใคร ก็ไม่อนุญาตให้อุ้มคุณชายน้อยไปให้ฮูหยินใหญ่หรือคนข้างกายของนางดูทั้งนั้น
“เป็นเจ้าตัวเล็กที่น่ารักจริงๆ!” จิงอิ๋งได้ยินก็อารมณ์ดีขึ้นมา มองเจ้าตัวเล็กได้อย่างรื่นหูรื่นตา ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไป ประทับริมฝีปากใส่เจ้าตัวเล็ก เด็กน้อยที่ไม่ทันตั้งตัวถูกหอม ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เบะปากเล็กแกว่งมือร้อง ‘อื้อ’ ขึ้นมา ใบหน้านั้นมีความไม่พอใจทั้งโมโหอยู่บ้าง
พิงถิงสุขใจเสียกว่ากระไร วันที่ผ่านมาเจ้าตัวเล็กก็มักจะปฏิบัติท่าทีเช่นนี้กับตนเอง แต่นางก็ทำตามวิธีของหวงฝู่เยวี่ย เอ้อทันที แสร้งตีจิงอิ๋งไปไม่กี่ที ตีไปพลาง ต่อว่าไปพลาง “จะตีเจ้าให้ตายเลย! ใครใช้ให้เจ้ารังแกหมิงเอ๋อร์กัน!”
“อื้อๆ” เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยเห็นจิงอิ๋งถูกตี ก็ไม่เบะปากอีกแล้ว หัวเราะชอบใจขึ้นมาแทน แม้จะไม่มีเสียงออกมา แต่ใบหน้าก็ยิ้มปริ่มจนทำให้คนรู้ว่าเขาอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ พาให้จิงอิ๋งและหลิงลี่ที่พบเขาเป็นครั้งแรกถึงกับชื่นชม
“ท่านอาเป็นคนดีใช่หรือไม่ ระบายความโกรธให้หมิงเอ๋อร์แล้ว!” พิงถิงเข้ามาประจบประแจง กล่าวอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น หมิงเอ๋อร์ให้อาหอมทีหนึ่งได้หรือไม่ ภายหลังอาจะได้ปกป้องเจ้าอีก!”
“อื้อๆ” เจ้าตัวเล็กส่งเสียงอย่างไม่รู้อะไร พิงถิงจึงฉวยโอกาสหอมไปหนึ่งที เจ้าตัวเล็กยังคงหงุดหงิดใจ ทั้งยังยื่นมือเล็กออกไปประทุษร้ายนาง เดิมทีก็ไม่ซาบซึ้งใจสักนิด
จิงอิ๋งอดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าเจ้าตัวเล็กยังคงไม่ชอบให้ใครหอมเขาจริงๆ ปฏิกิริยาจึงได้รุนแรงเช่นนี้!
“อื้อๆ” เจ้าตัวเล็กร้องเสียงสูงขึ้นมา คล้ายกับกำลังฟ้อง เยี่ยนมี่เอ๋อร์จูบเขาทั้งยิ้มๆ ปลอบประโลมความรู้สึกไม่พอใจของเจ้าตัวเล็ก “เขาไม่ชอบให้ใครมาจูบหอมโดยตลอด แต่ทุกคนเมื่อเจอเขาก็ล้วนชอบจูบชอบหอมเขา ดังนั้นจึงได้มีท่าทีเช่นนี้!”
“เช่นนั้นพี่ใหญ่เล่า?” จิงอิ๋งรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยสนิทสนมกับลูกชายเป็นอย่างมาก ยามที่เขียนจดหมายให้พวกนางก็ชอบกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป หากเจ้าตัวเล็กไม่เห็นหน้าซั่งกวนเจวี๋ยวันหนึ่งก็จะร้องไห้ไม่หยุด
“นั่นไม่เหมือนกัน ยามที่พี่ใหญ่ของเจ้าหอมเขา เขาจะดีใจเป็นอย่างยิ่ง จะยิ้มจนตาหยีเชียว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากพวกเราสองคนแล้ว คนที่เขาชอบที่สุดก็คือท่านแม่ ยามที่อยู่ในอ้อมกอดท่านแม่ก็จะเชื่อฟังเป็นอย่างมาก”
“เช่นนั้นท่านพ่อเล่า?” แต่ไหนแต่ไรจิงอิ๋งด็รู้สึกว่าซั่งกวนฮ่าวนั้นใจดีมีเมตตา ทั้งยังชอบอยู่กับซั่งกวนฮ่าวมากกว่า ไมรู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะเป็นอย่างไร
“ยังพอว่า! แต่เขาไม่ชอบให้ท่านพ่อหอมเขาเป็นที่สุด พอหอมก็ร้องไห้ทันที!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยย่อมเกลียดหนวดของซั่งกวนฮ่าวเป็นที่สุด ทุกครั้งล้วนแต่ทิ่มหน้าเล็กของเขาจนรู้สึกไม่สบายอยู่ร่ำไป
“ครั้งที่แล้ว เขายังดึงหนวดของท่านพ่อออกมาเส้นหนึ่ง ช่างร้ายกาจจริงๆ” พิงถิงทำไม้ทำมือให้เห็นภาพ พาให้จิงอิ๋งและหลิงลี่ต่างก็หัวเราะจนตัวงอ
“อื้อๆ” เจ้าตัวเล็กไม่พอใจพวกนางที่ส่งเสียงหนวกหู ใช้กำปั้นเล็กๆ นั้นขยี้หน้าไปมา ท่าทีราวกับง่วงนอน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งเสียงเป็นนัยให้พวกน้องสาวสามีทันที ให้พวกนางเบาเสียงลงหน่อย ส่วนตัวเองก็โยกกล่อมเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กเบาๆ ไม่นานนักก็หลับไปแต่โดยดี ก่อนจะส่งให้กับแม่นมฮุ่ยที่อยู่ด้านข้าง
“จิงอิ๋ง ครั้งนี้นับว่าจบการศึกษาแล้วกระมัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจิงอิ๋ง แม้ว่านางจะยังร่าเริง ยิ้มแย้มสดใส แต่ใบหน้าของนางก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นอย่างเลือนราง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น้อย ทำให้นางมีความรู้สึกที่ดูเหมือน ‘เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา’ นางก็ควรต้องตระเตรียมเรื่องแต่งงานแล้ว
“อื้ม!” จิงอิ๋งไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เอาแต่อยากจะมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีกแล้ว กระนั้นก็ยังคงชอบเข้าใกล้นางอยู่ แต่ว่าก็รู้จักเว้นระยะที่เหมาะสมแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้าไม่ต้องกลับเซิ่งจิงอีกแล้ว สำเร็จการศึกษาแล้ว ส่วนหลิงลี่ก็ยังไม่ต้องกลับไป รอหลังจากสวมพิธีปักปิ่นอีกสองปีค่อยกลับไปก็พอแล้ว”
“ก็หมายความว่าพวกเจ้าล้วนเรียนได้อย่างดีเยี่ยม นี่นับเป็นเรื่องดี ควรจะฉลองกันเสียหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าว
อย่างยินดี นางยังคงปรารถนาดีต่อจิงอิ๋ง ในยามนี้ล่วงสู่ปลายเดือนห้าแล้ว งานชมดอกบัวในปีนี้ย่อมมีคนไม่น้อยพุ่งเป้ามาที่คุณหนูทั้งสองของตระกูลซั่งกวนที่ได้ถึงเวลาที่จะพูดคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว และซั่งกวนฮ่าว ซั่งกวนเจวี๋ยก็ทำข้อมูลมาให้นางอย่างละเอียด มองผ่านๆ ตาด้วยเช่นกัน
“ฉลองอันใดกัน! อย่างไรเหมือนวันปกติก็ดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องฉลองอันใด” จิงอิ๋งกล่าวอย่างเขินอายอยู่บ้าง “แต่งานชมดอกบัวปีนี้ย่อมต้องเที่ยวเล่นอย่างสนุกๆ เสียหน่อย พวกพี่น้องเหล่านั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่างานชมดอกบัวปีที่แล้วน่าตื่นตาตื่นใจ ต่างก็พูดว่าสนุกคึกคักเป็นอย่างมาก ตามที่ข้าได้ยินมายังมีคนไม่กี่คน เพราะว่าอยากจะมาเข้าร่วมงานชมดอกบัวปีนี้ให้ได้จึงชะลอการแต่งงานให้ล่าช้าลงไป…”
“งานชมดอกบัวปีที่แล้วน่าสนใจจริงๆ!” พิงถิงหัวเราะอย่างร่าเริงขึ้นมา งานชมดอกบัวปีที่แล้วนับว่าได้คุ้นเคยกับพวกฉีอวี่เจวียนอยู่ไม่น้อย บางครั้งพวกนางก็ยังส่งจดหมายมาให้นาง กลายเป็นสหายที่มีเรื่องชอบเดียวกัน
“แต่ว่าพวกนางเหมือนจะคาดหวังงานชมดอกบัวปีนี้ไว้มาก กล่าวว่าอะไรนะ มีการเก็บฝักบัว แค่คิดก็สนุกแล้ว” จิงอิ๋งหัวเราะออกมา “พวกนางรู้ได้อย่างไรกันว่ามีกิจกรรมพวกนี้?”
“เจ้าไม่ได้ถามหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามทั้งรอยยิ้ม จิงอิ๋งกลับเปลี่ยนไปแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน นางย่อมจะถามให้กระจ่างจงได้ โดยไม่สนใจหน้าตาอะไรทั้งนั้น แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
“ข้ายากที่จะเอ่ยปากถามต่างหาก!” จิงอิ๋งแลบลิ้น กล่าวยิ้มๆ “นี่เป็นงานชมดอกบัวของครอบครัวเรา หากแม้แต่ข้ายังไม่รู้ ไปถามคนอื่น ก็ย่อมเสียหน้าแล้ว!”
“ปีที่แล้วพี่สะใภ้ได้กล่าวถึงรายการที่อาจจะเพิ่มลงในปีนี้ให้ทุกคนฟังไป ให้พวกเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจสักหน่อย” พิงถิงยังคงไม่รู้สึกอันใด แต่พอได้ยินจิงอิ๋งกล่าวว่ามีคนเลื่อนงานแต่งเพราะงานชมดอกบัวปีนี้ก็คิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์วางแผนได้อย่างชาญฉลาดไม่น้อย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าพวกนางจึงมีท่าทีรู้อะไรไปเสียหมด!” เวลานี้จิงอิ๋งจึงได้กระจ่างใจขึ้นมา “พี่สะใภ้ นอกจากเก็บฝักบัวแล้ว ยังมีอะไรอีก? เก็บฝักบัวทั้งสองวันก็เบื่อแล้วกระมัง?”
“ตั้งแต่ต้นปีข้าก็ได้ไปหาผู้ดูแลทางทะเลสาบโม่โฉวแล้ว ให้พวกเขาปลูกดอกบัวให้ออกดอกเร็วหน่อย ไม่กี่วันนี้ก็ได้มีดอกบัวออกดอกแล้ว รอจนถึงงานชมดอกบัว ก็คงเป็นยามที่ฝักบัวพร้อมเก็บพอดี ขณะเดียวกันก็ปลูกกระจับไม่น้อย ถึงเวลานั้นก็สามารถเก็บกระจับเองได้เช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทางด้านทะเลสาบโม่โฉว ได้เตรียมเรือเล็กที่บรรจุได้เพียงสองสามคนไว้ ดังนั้นพอถึงเวลาก็สามารถจับกลุ่มกันเอง กลุ่มหนึ่งสองสามคน ดูว่ากลุ่มไหนจะเก่งกาจที่สุด หากพวกเจ้าสนใจ สองวันนี้ก็ไปเที่ยวดูก่อนได้!”
“ข้าขออยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ดีกว่า!” จิงอิ๋งหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่มาหวนคิดดู สองวันนี้เพิ่งจะเริ่มตระเตรียม ตัวเองไปก็ไม่สนุกอย่างเต็มที่เท่าไร อย่าเพิ่งไปเลยแล้วกัน
“วันนี้ท่านแม่จะไปจัดเตรียมงานต่างๆ ด้วยตัวเอง อย่างไรพวกเจ้าสองคนตามท่านแม่ไปจะดีที่สุด ดูขั้นตอนการทำงานพวกนั้น อย่าได้รอจนเมื่อออกเรือนไปแล้วกลับทำอะไรลนลานไม่เป็นไปหมด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มกับทั้งสองคน “หลายวันมานี้ลุงจิ่นคอยเป็นผู้ช่วยของท่านแม่อยู่ตลอด ลุงจิ่นนั้นมากประสบการณ์ ละเอียดรอบคอบ โอกาสที่จะเรียนรู้ทำสิ่งต่างๆ ข้างกายเขานั้นมีไม่มากเชียว!”
“เช่นนั้นก็ได้!” จิงอิ๋งและพิงถิงสบสายตากัน รู้ว่าคำพูดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีความนัย ครุ่นคิดดูก่อนจะพยักหน้า หลิงลี่หัวเราะเริงร่าขึ้นมา “ยังคงเป็นข้าที่ดี ไม่ถึงเวลาที่จะออกเรือน สามารถค่อยๆ เรียนรู้ไปได้ พี่สะใภ้ ข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านและเจ้าตัวเล็กทุกวันเลย!”
“ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบีบจมูกหลิงลี่ไปที ในใจนั้นคิดว่าควรจะบอกกล่าวเรื่องรายชื่อตัวเลือกคนที่เหมาะสมพวกนั้นให้น้องสาวทั้งสองคนฟังสักหน่อยดีหรือไม่…