เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 40 โจมตี
“ลูกขอคารวะท่านพ่อ!” หลิงหลงย่อตัวคารวะอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย นางเพิ่งจะทานข้าวเช้า ม่านฉี สาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านแม่ก็มาเชิญนางถึงเรือน กล่าวว่านายใหญ่ต้องการพบ นางไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้ท่านพ่อเรียกหาตนเองแต่เช้าตรู่ ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือให้สาวใช้ข้างกายของท่านแม่มาเป็นคนเรียกนาง
“คุกเข่าลง!” ซั่งกวนฮ่าวมองหลิงหลงที่เผยใบหน้างุนงงอย่างไม่สะทกสะท้านอันใด เขาก็พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจรู้สึกเช่นไร
“หา?” หลิงหลงตกใจ นางมองซั่งกวนฮ่าวอย่างแปลกใจ นี่เขาเป็นอะไรไป เพิ่งจะเช้าตรู่ก็อารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว ทั้งยังพุ่งเป้ามาที่นางอีก? เพียงแต่หลิงหลงก็ไม่คิดมาก คุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังแต่โดยดี ในหัวคิดย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วันมานี้ตัวเองทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา…นอกจากเมื่อวานที่ไม่ฟังคำเตือน ดึงดันไปจนถึงเรือนสดับวายุ นางก็ไม่มีเรื่องอันใดที่ทำให้ซั่งกวนฮ่าวโกรธได้แล้วนี่นา และเรื่องเมื่อวาน ท่านพ่อท่านแม่ก็กล่าวตักเตือนจนจบเรื่องไปแล้ว
“เข้ามา ลากตัวแม่นมหวัง ม่านชิงและม่านจิ้งออกไปให้ข้า โบยทุกคน คนละยี่สิบไม้!” ซั่งกวนฮ่าวไม่ได้ไถ่ถาม ทั้งไม่มีใจคิดจะถามก็ตัดสินใจลงโทษก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“นายท่านไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!” แม่นมหวังร้องอย่างตกใจ นางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หญิงแก่หัวหงอกหัวขาวอย่างนาง แม้ว่าจะมีวรยุทธ์อยู่เล็กน้อย แต่หากโดนยี่สิบไม้โบยมาจริงๆ อย่างน้อยที่สุดก็คงจะขยับกายไปไหนไม่ได้เป็นสิบๆ วัน…
รู้ดีอีกว่า ผู้ที่รับหน้าที่ลงทัณฑ์ประจำตระกูลซั่งกวนนั้นล้วนเป็นมือดีที่มีวรยุทธ์ ว่าตามตรงแล้ว หากไม่ได้จงใจกำชับอะไรไว้ก่อน ยี่สิบไม้ก็คงต้องเท่ากับนอนเป็นผักอยู่ยี่สิบวันแล้ว!
“ไม่ทราบว่าลูกและคนข้างกายของลูกทำอะไรผิดจึงทำให้ท่านพ่อต้องลงโทษ ท่านพ่อได้โปรดชี้แจงด้วย!” หลิงหลงก็ร้อนใจเช่นกัน หากจะพูดว่าแม่นมหวังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกเสียกว่า แม้จะนับว่าเรื่องที่นางไปเรือนสดับวายุโดยพลการยังไม่จบ แต่อย่างไรก็คงไม่ถึงกับต้องลากคนของนางออกไปตีหรอกกระมัง! เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่เกินไปหน่อยแล้ว!
“ยังไม่ลากออกไปอีก!” ซั่งกวนฮ่าวมองบ่าวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างห้อง จึงกล่าวด้วยเสียงดุดัน
“เจ้าค่ะ นายท่าน!” สาวใช้มีอายุพวกนั้นไม่กล้าจะลังเลอีกแล้ว ตรงเข้าไปลากคนออกไปทันที หลิงหลงเด้งตัวขึ้นมาขัดขวางพวกเขาไว้ กลับถูกสาวใช้ผู้หนึ่งสกัดจุดโดยไม่เกรงใจอันใด จึงได้ยืนนิ่งด้วยท่าทางประหลาดอยู่เช่นนั้น ไม่อาจขยับไปไหนได้
“ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้!” หลิงหลงมองซั่งกวนฮ่าวด้วยตัวแข็งทื่อ ดีที่นางยังสามารถเปิดปากพูดได้อยู่
“เรื่องอะไรงั้นหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง “ทุกคนออกไปให้หมด หากข้าไม่ได้เรียก ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้ทั้งนั้น!”
“เจ้าค่ะ นายท่าน!” ทุกคนตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน พากันถอนตัวจากไป ในห้องจึงเหลือเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น
“หลิงหลง เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง!” ซั่งกวนฮ่าวมองหลิงหลง “เจ้าเป็นลูกสาวคนโตของข้า ทั้งเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ตั้งแต่เล็กก็เริ่มร่ำเรียนเขียนกลอน เล่นพิณกู่ฉินวาดภาพ ฝึกคำนวณศึกษากลยุทธ์ เรียนรู้วรยุทธ์ทั้งสิบแปดแบบ…ขอเพียงแค่เจ้ามีความสนใจเล็กน้อย ข้าก็ยอมให้เจ้าได้เรียนดั่งใจ หวังว่าเจ้าจะสามารถเป็นแสงที่เปล่งประกายเหมือนดั่งชื่อของเจ้าได้ แต่เจ้ากลับ…หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ตามใจเจ้าจนถึงขนาดนั้น ทำให้เจ้าไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้ว่าการมีเกียรติหรือเสื่อมเสียเป็นเช่นไร จึงได้ทำเรื่องที่ต่ำช้าและไร้ยางอายออกมาถึงเพียงนี้!”
“ข้าทำอะไร?” หลิงหลงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา นางทำเรื่องอะไรลงไปกันแน่? สั่งโบยคนของนาง ทั้งยังพูดเช่นนี้กับนางอีก? ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาก่อนน้ำตาจะรินไหล
“เจ้าทำอะไรงั้นหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวมองนางอย่างผิดหวัง “เมื่อคืนเจ้าส่งอะไรไปให้เจวี๋ยเอ๋อร์เล่า?”
“ยาบำรุงไงเจ้าคะ! ทางครัวเป็นคนจัดเตรียมมาให้ กล่าวว่าช่วยขจัดไฟในตับ ข้าเป็นห่วงท่านพี่ จึงได้เอาไปส่งให้” หลิงหลงสะกิดใจขึ้นมา หรือจะเป็นเพราะว่าเรื่องนี้ แต่มันจะเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไรกัน? หรือว่าเลี่ยนเยี่ยนจะถูกพบตัวเข้า? เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้น เมื่อคืนก็ควรจะมีความเคลื่อนไหวแล้ว เหตุใดจึงต้องเป็นยามนี้
“ยาบำรุง? เป็นยาบำรุงที่ดีเสียยิ่งกว่ากระไรเลยล่ะ!” ซั่งกวนฮ่าวจะไม่เห็นหลิงหลงที่มีท่าทีตกตะลึงอยู่เช่นนั้นได้อย่างไร นั่นก็หมายความว่ากำลังร้อนตัว ดูท่าแล้วหลิงหลงคงจะไม่ได้ถูกหลอกใช้ แต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดต่างหาก!
“เจ้าเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ปีกกล้าขาแข็งมากขึ้น วางยาพี่ชายของตนก็ทำเป็น!” ซั่งกวนฮ่าวโมโหอย่างถึงที่สุด แทบจะพูดผิดๆ ถูกๆ “ครั้งนี้วางยามึนเมา ยาปลุกกำหนัด แล้วครั้งหน้าเล่า? จะวางยาปลิดวิญญาณหรือยาพิษดีล่ะ? ครั้งนี้วางยาเจวี๋ยเอ๋อร์ ครั้งหน้าก็คงเป็นตาข้ากับแม่ของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
“ยามึนเมากับยาปลุกกำหนัด?” หลิงหลงมองซั่งกวนฮ่าวอย่างตกใจ หากไม่ใช่เพราะโดนสกัดจุด นางก็คงตกใจจนขาอ่อนยวบลงไปกับพื้นแล้ว นางจะทำเรื่องเช่นนั้นลงได้อย่างไร?
“จะว่าอย่างไรอีก? หรือเจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนฮ่าวเหวี่ยงขวดโถนั้นไปที่ข้างเท้าของหลิงหลงจนแตกกระจัดกระจาย เกิดเสียงดังก้อง ก่อนจะกล่าวอย่างมีโทสะ “พวกเจ้าช่างเป็นพี่น้องที่รักใคร่ผูกพันกันเสียจริง! เป็นห่วงเจวี๋ยเอ๋อร์ถึงเพียงนั้น กลัวว่าข้างกายของเขาจะไม่มีหญิงใด จึงได้คิดวิธีให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนและเขาได้เสียกัน? ทนมองพี่ชายของตนเองดื่มยาได้ขนาดนั้น? เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ สินะ!”
“ข้าไม่ได้วางยา!” หลิงหลงอยากจะส่ายหัว แต่กระทั่งนิ้วมือก็ยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้ น้ำตาไหลอาบแก้มลงมา “ข้าจะวางยาพี่ใหญ่ได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นจะบอกว่าพี่ใหญ่ของเจ้าใส่ร้ายเจ้างั้นรึ?” ซั่งกวนฮ่าวมองหลิงหลงอย่างเย็นเยียบ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเอาไปส่งหรอกหรือ ยาในนี้ก็เป็นเจ้าที่เอาให้เจวี๋ยเอ๋อร์ดื่มไม่ใช่หรือ ทั้งอู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เป็นเจ้าที่พาเข้าเรือนตะวันออกไปด้วย?”
“ข้าไม่รู้ว่าข้างในจะมียามึนเมายาปลุกกำหนัดอะไรพวกนั้น!” หลิงหลงกล่าวอย่างจริงใจ “โรงครัวเป็นคนส่งสิ่งนี้มา ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้างในเป็นอะไร! เตียเตี่ย (ท่านพ่อ) ท่านไม่เชื่อลูกถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ?”
เตียเตี่ย? ซั่งกวนฮ่าวกัดฟันแน่น หลังจากนางเติบใหญ่ขึ้น ก็ไม่ได้เรียกเขาด้วยความใกล้ชิดถึงเพียงนั้นแล้ว นี่นางคงกำลังจะคิดทำให้เขาใจอ่อน? นางเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ!
“เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าพาอู๋เลี่ยนเยี่ยนเข้าไปเรือนตะวันออกด้วยหรือ?” ซั่งกวนฮ่าวมองหลิงหลงอย่างเรียบเย็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ท่าทีเย็นชาเช่นนี้กับลูกสาว
“นาง…” หลิงหลงพูดไม่ออก นั่นเป็นเรื่องที่นางทำจริงๆ นางจึงไร้ทางที่จะแก้ต่างตนเอง
“เจ้านี่นะ!” ซั่งกวนฮ่าวถอนหายใจ “เจ้าชอบเด็กอู๋เลี่ยนเยี่ยนนั่นขนาดนั้นเชียวรึ? ชอบจนไม่สนใจถึงฐานะและชื่อเสียงของตน ก็ยังยินดีจะช่วยนางงั้นหรือ?”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! หนำซ้ำยิ่งไม่รู้ว่าในยาบำรุงนั้นมีอะไร ข้าจะทำร้ายพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน?” หลิงหลงน้อยใจเป็นอย่างมาก ทั้งนางก็พบว่าท่าทีของซั่งกวนฮ่าวก็อ่อนลงเช่นกัน จึงร้องขอความเป็นธรรมให้ตนทันที
“เช่นนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่า แม้เจ้าจะเป็นคนส่งยาบำรุงนั่น แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นงั้นรึ?” ซั่งกวนฮ่าวย่อมต้องเดาถึงเงื่อนงำภายในออก รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าเรื่องนี้หลิงหลงจะมีส่วนร่วมหรือไม่ แต่ขอเพียงแค่นางไม่รู้ถึงเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังภายในนั้นก็ดีแล้ว
“สิ่งนั้นโรงครัวเป็นคนส่งมาให้ข้า ข้าไม่ได้ดื่ม แต่ด้านในมีสิ่งใดบ้าง ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน!” หลิงหลงลอบสังเกตสีหน้า
ซั่งกวนฮ่าวอย่างระมัดระวัง ยามนี้นางรู้แล้วว่ายาบำรุงนั่นต้องมีปัญหาอะไรแน่ แต่แท้จริงแล้วเป็นปัญหาอย่างไรกันแน่? ไม่รู้ว่าร้ายแรงมากหรือเปล่า?
“เจ้าเล่าความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดอีกครั้งสิ” ซั่งกวนฮ่าวในยามนี้มั่นใจถึงแปดส่วนว่าหลิงหลงถูกหลอกใช้เท่านั้น
“เมื่อคืนวานอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาลาข้า…” หลิงหลงเห็นสีหน้าของซั่งกวนฮ่าวเปลี่ยนมาดีขึ้น ก็เล่าเรื่องราวของเมื่อคืนออกมาอย่างละเอียดครบถ้วนทันที “ข้าเพียงแค่รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง จึงได้ใช้โอกาสยามที่ไปส่งยาบำรุงให้ท่านพี่ พาเลี่ยนเยี่ยนเข้าไปในเรือนตะวันออกด้วย นางจะถูกส่งออกไปจากจวนไปแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นไปได้ว่าคงไม่อาจกลับจวนมาได้อีกแล้ว นางชมชอบพี่ใหญ่ขนาดนั้น เพียงอยากจะมองหน้าพี่ใหญ่จากที่ไกลๆ สักครั้งก่อนจะจากไปก็เท่านั้น ข้ารู้ดีว่าพวกท่านคิดว่าชาติกำเนิดของนางต่ำต้อย ทั้งยังใจกล้า ไม่คู่ควรกับพี่ชายใหญ่ แต่เพียงแค่ความปรารถนาอันน้อยนิด ไม่อาจทำร้ายใครได้นะเจ้าคะ! ยามที่ข้าออกมาแล้วก็ไม่เห็นเลี่ยนเยี่ยน ข้าคิดว่าหลังจากนางเห็นหน้าพี่ใหญ่แล้วก็คงจะกลับไป…ท่านพ่อ เป็นเพราะว่าเช้าตรู่วันนี้นางไม่ยอมจากไป จึงได้ยกเรื่องเมื่อวานขึ้นมาพูดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
“เจ้านี่นะ!” ซั่งกวนฮ่าวมองหลิงหลงอย่างหมดเรี่ยวแรง “ดูท่าแล้วเจ้าคงจะถูกปกป้องดีจนเกินไป แม้แต่คำพูดเช่นนี้ก็เชื่อลงไปได้ ยอมช่วยเหลือถึงเพียงนั้น! เอาเถิด ข้าจะบอกเจ้าให้ ในยาบำรุงนั้นถูกคนใส่ยามึนเมาและยาปลุกกำหนัดลงไป หากคาดไม่ผิดละก็ คงจะเป็นแผนของเลี่ยนเยี่ยน หลังจากนั้นในยามที่นางขอร้องเจ้าเรื่องนี้ ก็จัดการให้ม่านจิ้งยกยามาให้เจ้าพอดี ให้เจ้าได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากใช้ข้ออ้างเรื่องยาบำรุงพานางเข้าไปเรือนตะวันออก เจ้าเห็นเจวี๋ยเอ๋อร์ดื่มยากับตา หลังจากเจ้าจากไป ยานั้นก็ออกฤทธิ์กับเจวี๋ยเอ๋อร์ อู๋เลี่ยนเยี่ยนที่หลบมองดูอยู่อย่างเนิ่นนานก็ได้โอกาส…และยามนี้พี่ชายใหญ่ของเจ้าก็ถูกดึงไปพัวพันเพราะเจ้า ทั้งต้องรับอู๋เลี่ยนเยี่ยนเข้าเป็นเมียบ่าวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้!”
“นางหลอกใช้ข้า?” หลิงหลงไม่กล้าเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง พึมพำออกมา “นางจะหลอกใช้ข้าได้อย่างไร? นางไม่รู้ว่าข้าเห็นนางเป็นเพื่อนหรอกหรือ?”
“คงจะเข้าใจเหตุผลที่ข้าตีแม่นมหวังและม่านชิงม่านจิ้งแล้วสินะ?” ซั่งกวนฮ่าวคิดว่าหลิงหลงควรจะตาสว่างขึ้นมาบ้าง และพวกแม่นมสาวใช้ข้างกายนางนั้นก็ควรจะโบยสถานหนัก จากนั้นก็ซักไซ้สอบความอีกทีหนึ่ง
“พวกนางรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยหรือ?” จู่ๆ หลิงหลงก็นึกถึงเมื่อวานที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนและแม่นมเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ม่านชิงเอาแต่มองดู ม่านจิ้งก็ยกยาบำรุงเข้ามาอย่างบังเอิญขนาดนั้น ม่านชิงขัดขวางไม่ให้นางพาอู๋เลี่ยนเยี่ยนไปเรือนตะวันออกก็เพราะร่วมผสมโรง เพื่อที่จะได้ให้พี่ใหญ่ดื่มยาบำรุงนั้นลงไปสินะ! พวกนางไม่ใช่คนข้างกายของนางหรอกหรือ? เหตุใดจึงร่วมมือกันมาหลอกใช้นางเช่นนี้?
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยย้อนถาม แม้ว่าอนุภรรยาอู๋จะจัดการวางคนของนางไว้ข้างกายหลิงหลง แม่นมหวังและม่านจิ้งเดิมทีก็เป็นผู้สอดแนมของอนุภรรยาอู๋ แต่ม่านชิงนั้นเพราะว่าเกรงกลัวอนุภรรยาอู๋ จึงไม่กล้าปากมาก แต่อนุภรรยาอู๋ก็คิดที่จะใช้หลิงหลงเป็นที่พึ่งในอนาคตมาโดยตลอด จึงได้ทำดีกับนางอยู่เรื่อยมา แม้ว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนจะเป็นหลานสาวของนาง แต่ก็เทียบไม่ติดกับหลิงหลงที่ครองตำแหน่งในใจนาง หากไม่ใช่เพราะเช่นนี้ เขาจะยอมให้อนุภรรยาอู๋ลอบวางแผนอยู่ข้างกายลูกสาวได้อย่างไร? เรื่องที่น่าแปลกที่สุดก็คงเป็นจุดนี้ เหตุใดนางจึงทำเรื่องโง่เขลา ‘ยอมเสียผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อความคุ้มค่าในอนาคต’ เช่นนั้น?
“ข้าไม่รู้!” หลิงหลงในยามนี้รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่นางไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับความจริงเช่นนี้ นางถามอย่างเศร้าสร้อย “อู๋เลี่ยนเยี่ยนอยู่ที่ใด? ข้าจะไปถามนางว่าทำเช่นนี้ทำไม? อีกทั้ง อนุภรรยาอู๋ก็มีส่วนร่วมด้วยใช่หรือไม่? นางไม่ใช่บอกว่ารักข้าดั่งแก้วตาดวงใจหรอกรึ? ไฉนจึงทำเรื่องเช่นนี้ได้?”
“อู๋เลี่ยนเยี่ยนถูกพี่ใหญ่ของเจ้าคุมตัวไว้แล้ว เขาจะประกาศวันนี้ให้คนได้รู้ทั่วกันทั้งจวนเพื่อไว้หน้านาง รับนางเข้าเป็นเมียบ่าว รอจนให้ผ่านไปสักพักก็ค่อยจัดการ ส่วนอนุภรรยาอู๋นั้นออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่พบตัว คาดว่ายามเย็นจึงจะกลับมา” ซั่งกวนฮ่าวยื่นมือไปคลายสกัดจุดให้นาง “เจ้ากลับไปคิดดูดีๆ ว่าเหตุใดเจ้าจึงถูกหลอกใช้! อย่าเพิ่งออกไปไหนชั่วคราว รอให้แล้วเสร็จจากงานแต่งของพี่ใหญ่เจ้าก่อนค่อยว่ากัน!”
เมื่อถูกปล่อยแล้ว หลิงหลงก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะยืนก็ยังไม่มี ขาอ่อนจนต้องนั่งลงไปกองกับพื้น พยักหน้าทั้งน้ำตา การโจมตีเช่นนี้ ทำให้นางที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพบเจอกับความพ่ายแพ้อย่างแท้จริงได้รู้สึกถึงความโหดร้ายอยู่บ้าง…
—————————————–