เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 75 ละครของหญิงสาว (4)
“เอ่อคือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาแล้วกล่าวว่า “ปกติชอบเย็บปักถักร้อย หนึ่งเข็มหนึ่งด้ายร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว!”
“มิน่าเล่าของขวัญที่พี่สะใภ้มอบให้น้องถึงเป็นถุงเงิน!” ทั่วป๋าฉินซินยิ้มหวาน ใบหน้าน่ารักไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่ไม่เข้าใจเรื่องทางโลกแล้วพูดว่า “ข้ายังคิดว่าเป็นเพราะไม่มีของขวัญอะไรติดไม้ติดมือ ถึงทำแค่ของเล็กๆ น้อยๆ แก้ขัดไป ที่แท้ของที่พี่สะใภ้ให้ทำออกมาจากใจของนางเชียวนะ!”
แม่สาวแสบคนนี้!
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นัยน์ตาแวววาว ในดวงตาเปล่งประกายความน้อยใจและไม่พอใจจางๆ ทว่ายังมีรอยยิ้มเหมือนเดิม แต่ในน้ำเสียงเจือความเศร้าโศกเล็กน้อยที่ถูกเข้าใจผิดแล้วพูดว่า “ลูกผู้น้องฉินซินจะเข้าใจผิดเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า? ของขวัญที่มอบให้โดยเฉพาะของขวัญที่ให้คนในครอบครัวตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดมีเพียงคำว่า ‘หัวใจ’ สองคำนี้ หากมอบภาพเขียนตัวอักษรโบราณล้ำค่าหรือเครื่องประดับเพชรนิลจินดาตามใจชอบ อาจไม่สามารถให้ ‘ใจ’ กับอีกฝ่ายได้ ทั้งยังลบ ‘ความหมาย’ ของตัวเองไปด้วย อีกอย่างหลิงหลงจิงอิ๋งพวกนางล้วนได้รับการเลี้ยงดูราวกับไข่ในหิน คงยากที่จะทราบว่าพวกนางชอบหรือไม่ชอบอะไร ยังมิสู้ทำถุงเงินด้วยมือของตัวเองจะดีกว่า”
“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!” จิงอิ๋งพยักหน้าระรัวแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้พูดสมเหตุสมผลแล้ว แทนที่จะให้ของมีราคาแต่ไม่จริงใจ ไม่สู้แจกตั๋วเงินไปเลยเล่า! จะดีกว่าไหมถ้าซื้อของให้ตัวเอง?”
ดูเหมือนสาวน้อยอย่างหวงฝู่อวี๋จวินก็เห็นด้วยเช่นกัน แล้วพูดต่อจากจิงอิ๋งว่า “ข้าก็ว่าเช่นนั้น! แม้ของขวัญที่ได้รับทุกครั้งในวันเกิดจะมีราคาแพง แต่ก็เป็นเพียงเงินเท่านั้น เรียกพ่อบ้านแม่นมมาจัดการของแบบนั้น ดูแล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย แต่เมื่อมองถุงเงินกับผ้าเช็ดหน้าของพี่สะใภ้เจวี๋ย ก็ดูเข้าคู่กันดี ทุกฝีเข็มล้วนเต็มไปด้วยความรัก”
ทั่วป๋าฉินซินโกรธมากจนกัดฟัน แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะจิงอิ๋งมีชื่อเสียงในด้านไม่กลัวเกรงฟ้าดิน ไม่ต้องพูดถึงการล่วงเกินนาง ต่อให้จะไม่ล่วงเกินนาง หากไม่ชอบใจขึ้นมาก็จะกระโดดออกไปแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ไว้หน้า และหวงฝู่อวี๋จวินเป็นแค่เด็กตัวเท่าเมี่ยง ถ้าไปจู้จี้จุกจิกกับนาง มิวายถูกคนเหล่านี้ชี้หน้าด่าเปิงเป็นแน่!
เมื่อนึกถึงการชี้นิ้วด่าว่า จู่ๆ ทั่วป๋าฉินซินก็จำได้ถึงการตกเป็นเบี้ยล่างอย่างลับๆ เมื่อวานซืน ตอนนี้นางถูกตราหน้าว่า ‘ประพฤติตัวไม่งาม’ แม้แต่แหล่งกามารมณ์ก็กล้าไป แม้จะมีบางคนรู้ว่าตนถูกใส่ไคล้ แต่กลับมีความสุขที่ได้เห็นตัวเองถูกลบหลู่และใส่ร้าย ถึงขั้นกระจายข่าวลือไปทั่วทุกหนทุกแห่ง นางจึงยังทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ทั้งต้องเผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในอนาคตอีก!
“ดูท่าพี่สะใภ้คงเจวี๋ยเก่งงานเย็บปักถักร้อยมากเลย” หวงฝู่อวี๋หลิงโน้มเอียงมาทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เอาชนะฝูงชนได้ไม่ง่าย แล้วนางก็แต่งลูกสะใภ้เข้าเรือนมาจนได้ ย่อมต้องปกป้องเข้าข้าง รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงใจมากพลางกล่าวว่า “ตอนที่อวี๋หลิงยังเด็กก็อยากเรียนรู้งานฝีมือ จะได้ตัดเย็บชุดและถักถุงเงินให้ญาติพี่น้องได้ เข็มและด้ายแต่ละเส้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ช่างเป็นอะไรที่อบอุ่นนัก ข้าอยากให้ท่านพ่อท่านแม่ใส่เสื้อผ้าที่ลูกสาวทำเองกับมือ จะชื่นใจถึงเพียงใดกันนะ”
“พี่อวี๋หลิงอยากเรียนงานเย็บปักถักร้อย จะทำให้พี่ชายตระกูลอิ๋งประหลาดใจหรือ?” จิงอิ๋งยิ้มล้อเลียนหวงฝู่อวี๋หลิง นางกับอิ๋งอี้หังเป็นคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อมากกว่า ทว่าหลังจากที่หมั้นกับอี้หังแล้ว ก็มีเพียงอิ๋งอี้หังเท่านั้นที่อยู่ในสายตาและในดวงใจของนาง
“เด็กทโมนคนนี้นี่!” หวงฝู่อวี๋หลิงพูดด้วยความเขินอายว่า “ถ้าเจ้ายังพูดอีกข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่! จะต้องฉีกปากเจ้าให้ได้!”
“มีคนพาลโกรธเอาดื้อๆ อยากฆ่าใครบางคนปิดปาก!” จิงอิ๋งพูดกลั้วหัวเราะ และทุกคนก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครง มีเพียงหวังเหยียนซินที่เผยอยิ้มอย่างไม่เต็มอกเต็มใจเล็กน้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เข้าใจความขุ่นเคืองบางอย่างในหมู่คุณหนูของตระกูลชนชั้นสูงก็รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยินดี
“พี่สะใภ้เจวี๋ยเป็นคนฉลาด แต่ไม่ทราบว่านอกจากงานฝีมือแล้วยังชอบอะไรอีก?” ชุยอวี่เฟยแม้เผยจะยิ้มหวาน
แต่ความแค้นและขุ่นเคืองในดวงตาไม่ได้เก็บซ่อนไว้เลย ถึงแม้นางจะดูมีฐานะต่ำต้อยกว่าทั่วป๋าฉินซินก็ตาม แต่สถานะของตระกูลชุยในยุทธภพ ดูจะมีน้ำหนักมากกว่าตระกูลทั่วป๋าในตระกูลชนชั้นสูง ซึ่งทำให้นางหยิ่งผยองมากกว่าทั่วป๋าฉินซิน
และยังดูหมิ่นภูมิหลังของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ยังต้องพะว้าพะวังหน้าตาของกันและกัน แต่หลังจากโดนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จัดการอย่างง่ายดายหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังแสดงความเย่อหยิ่งเอาแต่ใจออกมา แล้วจงใจถามอย่างสุดจะทนว่า “ไม่ทราบว่าพิณ หมากล้อม การเขียนพู่กัน การวาดภาพและกวีนิพนธ์ พี่สะใภ้เจวี๋ยเคยเรียนหรือไม่?”
หากข่มกลั้นโทสะไม่อยู่? ก็ดูท่าจะรักษาหน้าไม่ได้!
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มซ่อนความนัยอย่างสุขุมเยือกเย็นพลางกล่าวว่า “พิณ หมากล้อม การเขียนพู่กัน การวาดภาพและกวีนิพนธ์ ก็อ่านผ่านๆ ตามาบ้าง ถือได้ว่ารู้เท่าหางอึ่ง เพียงแค่ฆ่าเวลายามว่างเท่านั้นเอง ตอนที่ยังเป็นคุณหนู ชีวิตเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ย่ำหญ้าชมบุปผา เล่นท้าหิ่งห้อยจับผีเสื้อ เหมยกล้วยไม้ไผ่เบญจมาศล้วนอยู่ในภาพวาด จุดธูปเล่นพิณต่างก็คิดโง่ๆ ว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิต จะมีใครบ้างที่ไม่เคยหลงใหลสิ่งเหล่านั้นเล่า? แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันเลย…”
หวังเหมยเสียนถอนหายใจเสียงต่ำ ใช่แล้ว ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าพิณ หมากล้อม การเขียนพู่กันและวาดภาพจะติดตัวไปตลอดชีวิต ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าจะใช้ความรักอยู่ร่วมกับสามีด้วยบทกวีและตำรา แต่ตอนนี้เล่า? แม้จะไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว แต่นางก็จำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหนที่ตนไม่ได้พูดคุยเรื่องรื่นรมย์เหล่านั้นกับสามี ตอนนี้คนที่ชุยฮ่าวเหว่ยพูดกลอนคุยภาพวาด เล่นพิณขับลำนำก็เป็นอนุที่งดงาม แล้วตัวนางเองเล่า? เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของพ่อแม่และน้องชายน้องสาวของสามี รวมถึงการศึกษาของลูก…หลังจากจัดการให้ทีละคน ข้าก็เหนื่อยถึงขีดสุดแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาว่างแบบนั้นได้อย่างไร? ถ้าย้อนกลับไปในห้องส่วนตัวสมัยยังสาว พ่อแม่ไม่ได้ปลูกฝังตัวเองอย่างสุดใจให้ลูกสาวตระกูลมั่งมีที่ทั้งสิบนิ้วไม่ต้องสัมผัสแสงแดด ไม่ต้องซักผ้าถูบ้าน เพื่อที่ตนจะได้มีท่าทีที่สง่างาม และไม่ต้องเป็นเจ้าสาวที่มือไม้อ่อนในคืนแรกของปีนั้น แม้แต่สามีก็ยุ่งจนไม่ได้ดูแล ช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็หมางเมินใส่กัน นับประสาอะไรกับนังสุนัขจิ้งจอกที่ฉวยโอกาสเข้ามาในบ้านอย่างโอหังและถนัดเรื่องพรรณ์นั้นจนกลายเป็นอนุภรรยา…
ยกเว้นหยางหานยวนซึ่งตระกูลเลี้ยงดูมาในฐานะว่าที่นายหญิงตั้งแต่เด็ก สะใภ้ใหญ่คนอื่นๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจ เมื่อนึกถึงช่วงที่เพิ่งแต่งงาน มีความหวานชื่น แต่ยังทุกข์ระทมมากกว่า พวกนางล้วนเคยเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่ ในสมัยที่ยังเป็นหญิงสาว แม้จะช่วยทำงานบ้านงานเรือนได้ แต่ก็เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ยังไม่ทันได้เพลิดเพลินไปกับความเขินอายของการเป็นภรรยาครั้งแรก ความคิดถึงสามีและชีวิตแต่งงานใหม่ที่แสนหวาน ก็ต้องเผชิญกับความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ในการเป็นภรรยา ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าอดสูที่สุดของพวกนาง…
“ที่แท้พี่สะใภ้เจวี๋ยก็เป็นหญิงเก่งที่คมในฝักด้วย!” ชุยอวี่เฟยถอนหายใจเสียงดัง แต่ความรู้สึกของนางก็ดูเสแสร้งเหมือนเดิมแล้วกล่าวว่า “เพียงแต่ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยถนัดอะไร? ช่วยแสดงฝีมือให้ดูหน่อยได้หรือไม่?”
“หญิงเก่ง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะกับตัวเอง “ข้าไม่ใช่หญิงเก่งอะไรหรอก นอกจากเรื่องธรรมดาอย่างเย็บปักถักร้อย ทำอาหารและงานบ้านแล้ว ก็เพียงได้รับคำสั่งสอนจากท่านแม่ รู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้นเอง เพื่อเป็นช้างเท้าหลังของสามี อย่าให้เขาถูกใครว่าแต่งงานกับลูกสาวพ่อค้าที่ต่ำต้อย!”
“แต่พี่สะใภ้ ข้าชอบฟังเจ้าเล่นพิณ!” จิงอิ๋งพูดด้วยดวงตาที่สดใส แม้จะได้ยินเพียงครั้งเดียว แต่นางก็ยังได้ยินเสียงพิณของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แว่วอยู่ในหู แม้จะไม่ชอบที่ชุยอวี่เฟยก้าวร้าว แต่จะได้มีโอกาสฟังเยี่ยนมี่เอ๋อร์เล่นพิณ นางจึงไม่สนใจ
“แล้วจิงอิ๋งอยากฟังอะไรเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสายตาของจิงอิ๋งที่เต็มไปด้วยความน่าเอ็นดู แต่นางไม่คิดว่าจิงอิ๋งจะพูดอะไรที่น่าเกลียดออกมา นางก็ฟังออกได้ว่าจะบรรเลงอะไร แต่พูดออกมาไม่ได้ ก็รีบพูดระรัวว่า ‘ไพเราะ’ ‘ไพเราะมาก’ ‘ไพเราะเสนาะโสต’
“เอ่อ…” จิงอิ๋งไม่รู้ว่าจะพูดชื่อเพลงอะไรออกมาดี แต่นางก็อดกังวลไม่ได้ กลอกดวงตาไปมา มองไปที่หลิงหลงแล้วพูดว่า “ท่านพี่ เจ้าอยากฟังเพลงอะไร?”
“เพลงหิมะขาวพราวแสงทองเป็นอย่างไร?” หลิงหลงยิ้มมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าหิมะขาวพราวแสงทองค่อนข้างดี แม้จะยากไปหน่อย แต่ก็ฟังไพเราะดี อีกอย่างท่อนแรกยอดเยี่ยม ท่อนรวมก็ซาบซึ้งกินใจ เพลงนี้ฟังดูดีทีเดียว!” หิมะขาวพราวแสงทองเป็นหนึ่งในตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่าเพลงเสียงสูงคนฟังน้อย ต่อให้จะไม่รู้จังหวะจะโคน แต่ทุกคนก็รู้จักชื่อหิมะขาวพราวแสงทอง แต่…นอกจากความคิดอันแยบยลแล้ว สีหน้าท่าทางของคนอื่นก็ดูทึ่งมาก นับตั้งแต่พวกนางเข้ามาจนถึงขณะนี้ ก็เป็น ณ เวลานี้ที่มีการแสดงออกมากที่สุด
“นานแล้วที่ไม่ได้เล่นเพลงนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ นางยังแปลกใจเล็กน้อยที่หลิงหลงเลือกหิมะขาวพราวแสงทอง เพลงบทนี้จงเสวี่ยฉิงเคยชอบบรรเลง เหตุผลนั้นง่ายมาก เพลงนี้ยากยิ่งนัก ตราบใดที่เล่นในระดับสูงผิดปกติ ก็จะตราตรึงสถานที่และผู้คนให้ตกใจได้ ส่วนสิ่งที่จงเสวี่ยฉิงทำได้ดีที่สุดคือการสร้างความตื่นตะลึงให้สั่นสะเทือน ย่อมให้ความสำคัญกับเพลงนี้มาก แต่ทำไมหลิงหลงถึงเลือกเพลงนี้เล่า? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ แต่ก็ยังตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินจิงอิ๋งพูดทำนองว่าเล่นพิณไหมแล้วก็จากไปอย่างเงียบๆ และขณะนี้ก็ปรากฏตัวพร้อมกับพิณแตกลายงาที่ตนเองรักที่สุด ครั้นจื่อหลัวขยิบตาบอกเป็นนัยกับหลิงหลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น…ที่แท้จื่อหลัวเปิดเผยเรื่องนี้กับหลิงหลง
ไม่ได้เล่นพิณมานานแค่ไหนแล้ว? ขณะที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แตะนิ้วกับสายพิณ ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้และอดใจไว้ไม่ไหว ตั้งแต่ออกจากอู๋โจว นางก็ไม่ได้สุขสบายและสง่างาม คิดใคร่ครวญอยู่เรื่อยมาว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร ตกลงจะไปหรืออยู่ต่อ ถ้าไปแล้วจะปูทางอย่างไร…ไม่มีความสง่างามติดตัวเลย เก็บกดจนไม่กล้าแสดงออก
โดยไม่ต้องถามหาความคิดเห็นของคนอื่นหรือสังเกตสีหน้าท่าทางของพวกนางอีกต่อไป หลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีดทำนองเพลงแรกออกมาเบาๆ ก็พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พิณและเพลงนั้น…หากต้องการจะเข้าถึงวรรณศิลป์แขนงหนึ่งให้ไวที่สุด ไม่เพียงต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น ต้องมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังรวมถึงความกระตือรือร้นที่ทุ่มเทให้ทั้งกายและใจ เพื่อที่เจ้าจะเข้าถึงได้เร็วที่สุดและบรรลุระดับสูงสุด นี่คือการสอนแบบให้คำแนะนำของจงเสวี่ยฉิง และคำพูดของนาง เยี่ยนมี่เอ๋อร์หากล้าลืมเลือนไม่
การฟังท่วงทำนองที่สดใหม่และนุ่มนวลที่ลื่นไหลจากปลายนิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จังหวะที่ผ่อนคลายและมีชีวิตชีวานั้น ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนจะตกอยู่ในภวังค์คล้ายได้พบกันเมื่อสองเดือนก่อน น้ำแข็งและหิมะมลายอย่างเงียบเชียบ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นช้าๆ สายลมในวสันตฤดูโชยพัดผ่านใบหน้ารับรู้ทุกสรรพสิ่ง และสายลมก็พลิกฟื้นผืนปฐพีขึ้นมา เป็นฉากที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูสมจริงสมจังและมีชีวิตชีวา…หลังจากจบเพลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์พริ้มตาเล็กน้อย รื่นเริงบันเทิงใจจนไม่อาจถอนตัวออกมาจากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่นเป็นเวลานาน ส่วนผู้ชมก็อาจจะเคลิบเคลิ้มอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงที่อ้อยอิ่งอยู่ หรือปลาบปลื้มกับอรรถรสแสนเบิกบานใจที่ได้สัมผัสชีวิตธรรมชาติ บางทีก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจฟัง บนใบหน้าวาบผ่านอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้…แต่ไม่มีใครส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ทั้งเรือนมีคู่ล้วนตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศอันน่าประทับใจ…
เสียงปรบมือดังขึ้นพักหนึ่งทำให้เหล่าสตรีตื่นขึ้น มองไปทางเสียงนั้น จึงเห็นซั่งกวนเจวี๋ยและบุรุษอีกกว่าสิบคนยืนอยู่ที่หน้าประตูและในเรือน บนใบหน้าฉายแววชื่นชมระคนประหลาดใจจนปิดไว้ไม่มิด เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น ขยับตัวโค้งคำนับทุกคน ยิ่งได้รับคือเสียงปรบมือเกรียวกราวมากขึ้น ทั้งเสียงชื่นชมและอิจฉาที่ควบคุมไม่ได้…
ในคราแรก เยี่ยนมี่เอ๋อร์จบเพลงได้อย่างสวยงาม เป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ ชื่อเสียงก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
———————————-