เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 81 ศึกรับอนุภรรยา (3)
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กำลังแย้มยิ้มอยู่หยุดชะงักไป ชั่วพริบตาก็ฟื้นคืนท่าทีมาเป็นดั่งปกติ “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรกันแน่ท่านแม่เรียกข้าเข้าไปก็เพราะเรื่องของหลิงหลงและจิงอิ๋ง”
“พวกเรามีเรื่องอะไรหรือ?” จิงอิ๋งไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ท่านแม่กล่าวว่า ก่อนที่ผู้ฝึกสอนท่านนั้นของเจ้าจะมาถึง ให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่อนุญาตให้ซนเป็นลิงทโมนไม่รู้จักโต วันๆ เอาแต่เล่นซุกซนเช่นนี้ ควรจะยับยั้งชั่งใจได้แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวแย้มยิ้ม เรื่องนี้ซั่งกวนเจวี๋ยได้เคยพูดกับนางเพียงลำพังสองคน บอกให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ต้องรีบเรียนรู้ดูแลเรื่องในบ้าน แต่ให้จัดการเรื่องสองพี่น้องหลิงหลงและหลิงลี่ ลูกสาวของซั่งกวนจิ่น ให้พวกนางวางตนประพฤติตัวให้เหมาะสม เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตกปากรับคำมา
“ข้าเล่า?” หลิงหลงรู้สึกแง่งอนอยู่บ้าง
“เจ้าก็เหมือนกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป การกระทำทุกอย่างของพวกเจ้า พี่สะใภ้ก็จะเริ่มจู้จี้จุกจิกขึ้นแล้ว หากทำให้ข้าไม่พอใจละก็ ข้าจะลงโทษ”
“ท่านทำไม่ลงหรอก!” หลิงหลงตอบกลับอย่างเริงร่า
“ท่านป้าไม่ได้พูดเรื่องจะเกี่ยวดองกันหรอกหรือ?” หลี่ฉยงอวี่ตาดีเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำตัวไม่ถูกชั่วพริบตานั้น ไม่ได้คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจทำให้นางเห็น จึงกล่าวอย่างตั้งใจ “หรือท่านป้าจะตัดสินใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ปรึกษากับน้องสะใภ้เจวี๋ย?”
“นี่พี่สะใภ้กำลังพูดถึงเรื่องอันใดกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขุ่นเคืองขึ้นมา ทั้งเสียกิริยาไปบ้าง กล่าวอย่างเรียบเย็น “คุณชายสามตระกูลชุยและหลิงหลงมีงานหมั้นหมายกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ตั้งนานนม ทั้งสองตระกูลก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องปรึกษาอันใดกับข้า? หรือว่าข้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่กำหนดไว้แล้วได้อย่างนั้นรึ?”
“น้องสะใภ้เจวี๋ยไฉนจึงเข้าใจคำพูดของข้าผิด?” หลี่ฉยงอวี่คิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ถูกบีบจนจนมุมแล้ว ขอเพียงแค่ไล่ต้อนอีกนิด นางก็ย่อมควบคุมตัวเองไม่อยู่ จะได้ฉีกใบหน้าที่คล้ายกับจะยิ้มเป็นเพียงอย่างเดียวออก “ข้าหมายถึงเรื่องมงคลของคุณหนูสามตระกูลชุยและน้องเจวี๋ย หลิงหลงแต่งเข้าไปในตระกูลชุย อวี่เฟยแต่งเข้าไปในตระกูลซั่งกวน นี่ไม่ใช่การเกี่ยวดองที่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ?”
“พี่สะใภ้พูดอะไร?” หลิงหลงมองหลี่ฉยงอวี่อย่างตกใจ ทั้งมองใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกของหวังเหมยเสียน กล่าวอย่างโมโห “พี่สะใภ้ พี่ชายใหญ่ของข้าและพี่สะใภ้เพิ่งจะแต่งงานกัน พี่ชายของข้าย่อมไม่อาจทำเรื่องที่ผิดต่อพี่สะใภ้ได้แน่! พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่?”
“หลิงหลง เรื่องนี้…” หวังเหมยเสียนลำบากใจอยู่บ้าง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่ฉยงอวี่จึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าหลิงหลง อีกทั้งเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน หากหลิงหลงเข้ามาแทรกแซง ทำเรื่องนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า นางก็ไม่อาจกระทำอะไรได้สะดวกอีกแล้ว และคำพูดคลุมเครือของนางก็ทำให้หลิงหลงยิ่งโกรธขึ้นไปอีก สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
“นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก ดึงหลิงหลงเข้ามาสู่อ้อมกอด ทั้งลูบหลังนางเบาๆ ทำให้ร่างที่สั่นเทาของหลิงหลงค่อยๆ กลับเป็นดั่งปกติ “หลิงหลง ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเป็นแน่ เจ้าอย่าได้โมโหทำร้ายตัวเอง”
ใบหน้าของจิงอิ๋งล้วนแดงไปหมด กระโดดขึ้นมาอย่างทันที แต่ก็ถูกม่านเหอที่หูตาว่องไวขวางเอาไว้ได้
“พี่สะใภ้!” หลิงหลงร้องขึ้นมาอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม นางไม่เข้าใจ ชุยอวี่เฟยสร้างความลำบากใจครั้งแล้วครั้งเล่าให้พี่สะใภ้ต่อหน้าผู้คน หลังจากพี่สะใภ้แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายก็ยังมากล่าวถากถางตัวเองอีก หญิงสาวที่ไร้มารยาทถึงขนาดนั้นจะแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน มันใช้ได้หรือ!
“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้ตระกูลชุย ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านไปได้ยินข่าวลือที่ไม่ใช่เรื่องจริงนี้ที่ใดมา แต่ข้าอยากพูดว่าข่าวลือย่อมถูกหยุดได้เพราะผู้มีปัญญา ขออย่าได้เอาไปลือกันไปทั่ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของสองตระกูล ถ้าหากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ที่เสียหายจะไม่ใช่เพียงพวกเราสองสามีภรรยาและคุณหนูอวี่เฟย แต่ยังมีสองตระกูลอีก โดย เฉพาะหลิงหลงและคุณชายสามตระกูลชุย อย่าได้พูดเรื่องเกี่ยวดองอะไรนั่น ว่าที่น้องสามีจู่ๆ ก็มาถูกล่ำลือกลายเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของตนเอง หลิงหลงจะรู้สึกลำบากใจมากมายเพียงใด ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านได้คิดบ้างหรือไม่?” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีรอยยิ้มดั่งที่หลี่ฉยงอวี่คาดคิดไว้ แต่ก็ยังคงดูสบายๆ อยู่ดี
“น้องสะใภ้เจวี๋ย เจ้าไม่เข้าใจ เกี่ยวดองกันไปมาระหว่างตระกูลขุนนางเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง น้องสามีกลายเป็นสะใภ้นั้นมีอยู่กลาดเกลื่อน” หลี่ฉยงอวี่กล่าวอย่างทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง นางยามนี้ขึ้นหลังเสือก็ลงยากแล้ว อย่างไรตอนนี้ก็ได้ฉีกหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงปล่อยตามเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป
“น้องสามีกลายเป็นสะใภ้นั้นมีอยู่กลาดเกลื่อนหรือ? เช่นนั้นจะพูดว่าตระกูลชุยอยากจะแต่งกับตระกูลซั่งกวนแลก เปลี่ยนอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลี่ฉยงอวี่จะกล้าฉีกหน้า ไม่ยอมฉวยโอกาสเปลี่ยนไปเรื่องอื่น เวลานี้จึงย้อนถามตรงๆ ทันที “ไม่ใช่ข้าที่เป็นสะใภ้คนนี้คิดลำเอียงแต่น้องสามี แม้ว่าจะเป็นการแต่งงานแลกเปลี่ยนก็ต้องหาคู่ที่เหมาะสม อย่าได้คิดว่าการถูกเลี้ยงดูในนามฮูหยิน ก็จะกลายเป็นหญิงสาวลูกภรรยาเอกที่สูงส่งแล้ว! หลิงหลงและคุณหนูอวี่เฟยไม่อาจเทียบชั้นกันได้!”
หลี่ฉยงอวี่ไม่ได้มีความหมายนั้นจริงๆ นางรู้ว่าสกุลชุยได้ยอมถอยแล้ว ขอเพียงแค่ตระกูลซั่งกวนตอบตกลง ยินยอมให้ชุยอวี่เฟยเป็นอนุภรรยา อนุภรรยาไม่อาจนับได้ว่าเป็นสะใภ้อย่างเป็นทางการ แต่นางได้พูดมากพอแล้ว ไม่อาจพูดต่ออีกได้
“นี่น้องสะใภ้เจวี๋ยหมายความว่าอะไร อวี่เฟยไม่ดีตรงไหนหรือ?” หวังเหมยเสียนรู้ว่าเรื่องนี้ได้ล่วงเกินคนเข้าให้แล้ว จะกล่าวโทษหลี่ฉยงอวี่ก็ไม่ทันแล้ว เวลานี้จึงเปลี่ยนเรื่อง ดึงคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้
“คุณหนูไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดี เพียงแต่ไม่ควรใช้นางมาเทียบชั้นกับหลิงหลง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น เพราะว่าเจตนาที่ไม่ดีของทั้งสองคน ยิ่งไปกว่านั้นเพราะหลิงหลงที่เศร้าเสียใจในอ้อมแขน “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทั้งสองคนกลับเถิดระมัดระวังตัวด้วย!”
คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าไล่คน! ใบหน้าของหลี่ฉยงอวี่ล้วนเขียวคล้ำ ยังคงคิดไม่ได้ว่าเป็นนางที่รนหาเรื่องเอง เวลานี้จึงยิ้มเย็นกล่าว “ที่แท้น้องสะใภ้เจวี๋ยที่อ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมกลับไร้มารยาทถึงเพียงนี้ พวกเราถูกเกลียดเสียแล้วจริงๆ! พี่สะใภ้ตระกูลชุย พวกเราอย่าได้อยู่ขวางหูขวางตาคนที่นี่กันอีกเลย!”
“เจ้า!” ในที่สุดจิงอิ๋งก็ดิ้นรนออกจากการสกัดของม่านเหอได้ “ใครกันแน่ที่ไร้มารยาท? ถ้าจะมีก็มีแต่พวกเจ้านี่แหละที่หลายวันมานี้เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นไปทั่ว จึงได้ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิดเช่นนี้ ข้า…อื้อ!…อื้อ!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างพอใจที่ม่านเหอปิดปากจิงอิ๋งได้ นางปล่อยหลิงหลง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ไปได้ยินข่าวลือที่ใดมากันแน่ และก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ไม่เป็นความจริงนี้มีคนคอยวางแผนอยู่หรือไม่ แต่ข้าอยากขอให้พี่สะใภ้ทั้งสองคนระมัดระวังคำพูดจา อย่าได้นำเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไป ทั้งอย่าได้ให้คนที่ไม่รู้เรื่องอิโหน่อิเหน่ต้องมารับผลกระทบไปด้วย”
หวังเหมยเสียนกล่าวอย่างลำบากใจ “ยังเป็นน้องสะใภ้เจวี๋ยที่หลักแหลม เรื่องนี้พวกเราก็คง…คงต้องขอน้องสะใภ้อย่าถือโทษโกรธด้วย!”
“ข้าไม่อาจโกรธเพราะเรื่องแค่นี้ได้ พี่สะใภ้ตระกูลชุย พี่สะใภ้เดินทางกลับระมัดระวังด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คิดให้หญิงสาวที่โง่เขลาทั้งมากเรื่องทั้งสองคนรั้งตัวอยู่นานนัก
เมื่อเห็นว่าหลี่ฉยงอวี่และหวังเหมยเสียนเดินจากไปอย่างสภาพแทบดูไม่ได้ หวงฝู่อวี๋หลิงก็เผยสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมา ดึงหวงฝู่อวี๋จวินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “พี่สะใภ้เจวี๋ย พวกเราก็ควรไปด้วยเหมือนกัน!”
“อวี๋หลิง เรื่องนี้ออกจะพูดยากอยู่บ้าง อย่างไรพวกเจ้าก็อย่าได้ให้คนอื่นรู้เลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจนใจเป็นอย่างมาก
“พี่สะใภ้เจวี๋ยวางใจ ข้าไม่อาจเป็นคนที่ไม่รู้จักหนักเบาขนาดนั้นได้อยู่แล้ว!” หวงฝู่อวี๋หลิงย่อมกระจ่างแจ้งดีว่าใครถูกใครผิด และก็พอรู้คร่าวๆ ว่าสภาพจิตใจของหลี่ฉยงอวี่นั้นไม่ปกติอยู่บ้าง “พี่สะใภ้ของข้าเพราะมีเรื่องทุกข์ระทมในใจ บาง ครั้งจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงทำเรื่องที่ไม่สมควรเช่นนี้ออกมาบ้าง คงต้องขอให้พี่สะใภ้เจวี๋ยอย่าได้เก็บมาใส่ใจ!”
“ความทุกข์ระทมของนางก็คือทนเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้อย่างนั้นสินะ!” หลิงหลงกล่าวอย่างโมโห เรื่องนี้นางรับไม่ได้เป็นอย่างมาก นางถึงกระทั่งคิดว่าหรือเป็นเพราะตระกูลชุยไม่พอใจเรื่องการแต่งงานของนางและชุยฮ่าวหรัน ดังนั้นจึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา
“หลิงหลง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอวี๋หลิง อย่าได้พาลโกรธคนอื่น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตบหลังมือหลิงหลง “จิงอิ๋ง เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนหลิงหลง ข้าจะไปส่งพวกอวี๋หลิง”
“ไม่ต้องหรอกพี่สะใภ้เจวี๋ย!” หวงฝู่อวี๋หลิงบอกปัดทันที “สาวใช้แม่นมก็มาด้วย ไม่ต้องลำบากพี่สะใภ้เจวี๋ยแล้ว”
“พี่สะใภ้ ตระกูลชุยได้พูดจริงๆ หรือไม่ว่าจะแต่งชุยอวี่เฟยให้กับพี่ชายใหญ่?” หลิงหลงเผยใบหน้าตึงเครียดขึ้นมา นางรู้นิสัยของหลี่ฉยงอวี่ หากไม่มีความมั่นใจละก็ นางคงไม่อาจพูดเช่นนั้นเป็นแน่
“ไม่มีเรื่องเช่นนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยืนยัน “เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนเป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่าได้ตกใจไปกับพวกเขา”
“แต่ว่าท่าทางและคำพูดของพวกเขาทั้งสองคนล้วนไม่เหมือนกำลังเสแสร้งสักนิด” หลิงหลงวางใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นกังวลอยู่
“หลิงหลง เจ้าลองคิดดู ชุยเฟยอวี่คนนั้นถูกคุณชายใหญ่ตระกูลชุยให้คนส่งนางจากเรือนใต้ไปยังเรือนของตระกูลชุยในลี่โจว นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าตระกูลชุยไม่ได้มีความต้องการที่จะเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์กันเช่นนั้น เจ้าก็อย่าได้กังวลไปเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เช็ดน้ำตาที่หลิงหลงปล่อยออกมาอย่างทนไม่ได้จนสะอาดเกลี้ยง “ข้าว่า เป็นเพียงแค่มีคนจงใจพูดเหลวไหล และหากพวกเราคิดไปว่าเป็นเรื่องจริง นำเรื่องนี้กระพือให้รู้ทั่วกัน เช่นนั้นก็อาจจะเปลี่ยนเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน อย่างไรก็คอยสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ จะเป็นการดีกว่า”
“อื้ม!” หลิงหลงก็คิดเช่นนั้น ท่านแม่โปรดปรานพี่สะใภ้ขนาดนั้น คงไม่อาจทำให้พี่สะใภ้เสียใจได้ นั่นเป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องคิดเลย
“เอาเถิด เรื่องวุ่นออกมาเช่นนี้ ข้าก็เหนื่อยแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ก็ยังมีเรื่องของพรุ่งนี้คอยอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นนางฟื้นฟูสภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว ก็ไม่มีใจคิดจะเล่นหยอกล้อกับพวกนางอีก
“ใช่แล้ว!” จื่อหลัวกล่าวยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่ร้องไห้ขี้มูกโป่งกอดรัดสะใภ้ใหญ่ของพวกเราไปทั่ว คงต้องซักเสื้อสะอาดๆ ทั้งต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียแล้ว”
“เกลียดนัก ยังจะมาหยอกล้อข้าอีก!” หลิงหลงเผยใบหน้าแดงอย่างอายๆ ตำหนิออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ให้ข้าไปส่งคุณหนูทั้งสองท่านเถิด” ช่าจื่อกล่าวทั้งแย้มยิ้ม หลายวันมานี้พวกนางทั้งสองคนล้วนไม่ได้พาสาวใช้ข้างกายมาด้วย สาวใช้ของพวกนางถูกพวกนางจู้จี้จุกจิกไม่น้อย จึงไม่ชอบที่จะรั้งอยู่ข้างกายให้ขวางหูขวางตา
“ก็ดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ หลังจากส่งสายตามองตามหลิงหลงและจิงอิ๋งจากไป ทั่วทั้งตัวก็ล้วนอ่อนแรง ทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งยาว รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าก็เลื่อนหายไปแล้วเช่นกัน
“สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร เพียงแค่แน่นหน้าอกเล็กน้อยเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “จื่อหลัว ออกคำสั่งให้เตรียมน้ำร้อนหน่อย ข้าเหนื่อยจริงๆ เสียแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” จื่อหลัวรับคำสั่ง ติงเอ๋อร์สาวใช้ชั้นสามที่อยู่ข้างกายนางรีบไปตระเตรียมทันที ส่วนนางก็เดินไปหยุดด้านหลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพื่อนวดหลังนวดไหล่ บีบจับคลายเส้นให้นาง
“สะใภ้ใหญ่ หรือที่สะใภ้ใหญ่ตระกูลหวงฝู่กล่าวจะเป็นเรื่องจริงเจ้าคะ?” ม่านเหอสมองแล่นปราด กระจ่างใจขึ้นมาว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ทันที มิน่าเล่าสะใภ้ทั้งสองคนนั้นจึงมีความอดทนขนาดนี้ เอาแต่รอสะใภ้ใหญ่กลับมา นางยังคิดว่าเพราะคิดอยากจะผูกสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดสนิทสนมเสียอีก แต่แท้จริงกลับเป็นเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของสะใภ้ใหญ่ และจะถือโอกาสยั่วยุโทสะคนอื่นไปด้วย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์นิ่งเงียบไม่กล่าวอันใด ด้านจื่อหลัวก็เผยยิ้มขมขื่น ม่านเหอแค่มองก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองทายถูกแล้ว จึงเห็นอกเห็นใจ ทั้งกล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “นี่ตระกูลชุยคิดจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ? แม้ว่าชุยอวี่เฟยจะอยากแต่งกับคุณชายใหญ่ แต่ก็ไม่ควรจะสร้างความลำบากใจให้คนอื่นในเวลาเช่นนี้นะเจ้าคะ!”
“สิ่งที่ตระกูลชุยต้องการก็แค่ว่าให้สามีรับอนุภรรยาเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเสียใจ น้ำตานั้นเกือบจะร่วงหล่นลงมาอยู่รอมร่อ
“นั่นยังแตกต่างอย่างไรอีกเจ้าคะ หลังจากคุณหนูใหญ่แต่งเข้าตระกูลชุยไป ก็อาจจะมีคนสร้างความลำบากให้นางก็ได้!” ม่านเหอไม่ได้โง่เหมือนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อขนาดนั้น กล่าวอย่างโมโห “พวกเขาช่างคิดวางแผนเก่งจริงๆ ให้คุณหนูใหญ่แต่งออกไปก็เพราะเป็นหน้าเป็นตาเท่านั้นหรือ? สะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้ท่านไม่อาจออกปากเองได้ ข้าจะคุยกับคุณชายใหญ่เองเจ้าค่ะ!”
“ม่านเหอ เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้เถิด อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตอีกเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้ว่าฮูหยิน ถูกคนล่อลวงหรือพูดหลอกล่ออะไร จึงได้มีใจคิดทำเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ข้าและฮูหยินได้พูดคุยถึงความร้ายแรงของมันแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องให้สามีรับรู้!”
“แต่ว่า สะใภ้ใหญ่ พวกนางรังแกคนเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้วจริงๆ!” ม่านเหอหมายถึงหลี่ฉยงอวี่และหวังเหมยเสียนสองคนนั้น
“บางครั้งก็ต้องเรียนรู้เพื่อยุติความขัดแย้ง อย่าได้คิดดึงดันจะเอาแต่ชนะ หากเรื่องนี้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็จะไม่เป็นผลดีกับหลิงหลง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ผู้คนในเรือนล้วนต้องปิดปากเงียบให้หมด เจ้าไปกำชับเสีย”
“เจ้าค่ะ!” ม่านเหอก็รู้ดีว่าเหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงต้องกล้ำกลืนฝืนทน แม้ว่าอยากจะหาความยุติธรรมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่ก็ไม่ได้ยืนหยัดจนเกินไป
“สะใภ้ใหญ่ หรือจะปล่อยให้เรื่องจบไปเช่นนี้จริงๆ เจ้าคะ?” จื่อหลัวเคืองโกรธอย่างไม่อาจสงบจิตสงบใจได้โดยเฉพาะกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ปากเอาแต่พร่ำบอกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีเช่นนั้นดีเช่นนี้ สุดท้ายเล่า? เพิ่งจะแต่งเข้าเรือนมาก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะต้องการแรงสนับสนุนละก็ หลังจากนี้ก็คงไม่รู้จะอย่างไรแล้ว
“ข้ามีแผนอยู่แล้ว ไม่อาจปล่อยให้พวกนางเดินเชิดหน้าชูตาอย่างมีความสุขได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนาง ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ถึงเวลานั้นจะทำให้ข้าจัดการไม่สะดวกเสียเปล่า!”
“เจ้าค่ะ!” ที่จื่อหลัวรออยู่ก็คือประโยคนี้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลับตาทำสมาธิต่อไป ในใจนั้นมีวิธีการที่จะจัดการกับพวกหญิงสาวที่คิดวางแผนกับตนเองอย่างคร่าวๆ แล้ว หวังเหมยเสียน ชุยอวี่เฟย ทั้งยังหลี่ฉยงอวี่ที่มีจุดประสงค์ไม่แน่ชัดผู้นั้น แม้ว่าจะไม่อยากให้พวกนางรู้ถึงความร้ายกาจของตัวเอง แต่ก็ต้องทำให้พวกนางรู้ซึ้งถึงหลักการที่ว่าปลาหมอตายเพราะปากเช่นกัน…
———————————-