เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 93 มีวาสนาต่อกัน
ณ ยามซื่อ ในศาลาดอกไม้ของเรือนมีคู่ได้จัดเตรียมของหวานและผลไม้ไว้มากมาย ผลไม้สดมีไม่มากในฤดูกาลนี้ มีเพียงสามอย่างที่ใช้ต้อนรับแขกคือ มะปรางสด ผลเชอร์รีและส้มสุกที่เก็บไว้เมื่อปีกลาย ขนมผลไม้อบแห้งที่ดูน่าลิ้มลองล้วนคัดสรรมาอย่างดีหรือทำด้วยตัวเองจากฝีมือของเซียงชุ่ย นางทำอยู่ในห้องครัวเล็กๆ และได้เตรียมชาหวงซานเหมาเฟิงซึ่งเป็นของโปรดของจงเสวี่ยฉิงไว้ด้วย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามแม่นมฉินเมื่อคืนนี้ แต่นางต้องผิดหวังและประหลาดใจ เพราะแม่นมฉินไม่รู้ว่าเฉาซื่ออี๋เป็นใครจริงๆ นับประสาจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของนางกับจงเสวี่ยฉิง แต่แม่นมฉินจำได้ชัดเจนว่า เมื่อจงเสวี่ยฉิงยังเด็กครั้งหนึ่งเคยศึกษาบทกวีและตำรากับท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยอยู่ระยะหนึ่ง ท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่จงเสวี่ยฉิงให้กำเนิดลูกสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ มิฉะนั้นอีกไม่นานก็จะฝากตัวเป็นศิษย์กันแล้ว ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาก หลังจากที่ตระกูลจงมาถึงเมืองอู๋โจว ก็ตัดขาดจากฟากเซิ่งจิงโดยสิ้นเชิง ท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยได้ส่งคนไปส่งจดหมายหลายฉบับ แต่ถูกตระกูลจงปฏิเสธ จากนั้นพวกเขาก็ยุติ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ่งสับสน เฉาซื่ออี๋กับท่านแม่เกี่ยวข้องอะไรกันแน่?
“สะใภ้ใหญ่ อาจารย์เฉาออกมาจากเรือนทางเหนือแล้วเจ้าค่ะ!” ม่านเหอรายงานกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในตอนเช้า ขอให้นางจับตาดูการเคลื่อนไหวของเฉาซื่ออี๋ ด้วยวิธีนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงกะเวลาได้ถูกต้อง และต้อนรับแขกผู้มีเกียรติคนนี้ที่หน้าประตูเรือนมีคู่
“อืม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า คลี่ยิ้มอย่างเต็มที่แล้วกล่าวว่า “แม่นม เราไปต้อนรับอาจารย์เฉาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ! บ่าวก็อยากเห็นว่านางเป็นใคร!” แม่นมฉินผงกหัว มีฉี่เซียงกับลี่เซียงช่วยพยุงให้ยืนขึ้น แล้วเดินอย่างแข็งขันตามหลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่หน้าประตูเรือนเพื่อรอต้อนรับเฉาซื่ออี๋
พวกนางรอไม่นาน แค่ในขณะที่หยุดนิ่ง เกี้ยวเล็กคันหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลตรงหน้าแล้ว ไม่นานนักก็มาจอดถึงหน้าประตูเรือนมีคู่ เฉาซื่ออี๋ไม่รอให้สาวใช้ที่ตามมายกม่านขึ้น ก็ยกม่านรถเสียเอง ลงจากเกี้ยว เดินมาหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จับจ้องไปที่แม่นมฉิน เสียงสั่นเครือเล็กน้อยแล้วเรียกว่า “แม่นม…”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น น้ำตาคลอเบ้า ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นถึงขีดสุด เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ขยับร่างไปด้านข้างนิดหนึ่ง หากเฉาซื่ออี๋ตื่นเต้นกระโจนเข้ามาหา ก็จะไม่ให้นางมาขวางทาง
แม่นมฉินค่อนข้างรู้สึกสับสนและงงงวย ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้คุ้นเคยกับนางอย่างเห็นได้ชัด นางดูอายุไม่มากนัก น่าจะสามสิบต้นๆ ส่วนนางได้ออกจากเซิ่งจิงมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ในตอนนั้นนางยังเป็นแค่เด็กตัวเท่าเมี่ยง ถ้าจำกันได้ก็คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์
“ที่นี่มีคนหนาตา เราเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” สติที่เหลืออยู่ของเฉาซื่ออี๋ทำให้นางไม่ร้องไห้ นางเริ่มก้าวไปก่อน ช่วยประคองแม่นมฉินแล้วพูดว่า “สะใภ้ใหญ่เชิญ”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าหน้าประตูไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุย ขณะนี้ด้วยการพยุงของจื่อหลัวและม่านเหอ นางจึงเดินไปที่ศาลาดอกไม้พลางกล่าวว่า “วันนี้ลมโชยแดดกำลังดี เชิญท่านอาจารย์นั่งที่นี่สักพัก!”
เฉาซื่ออี๋พูดกลั้วหัวเราะว่า “ตรงนั้นก็ได้ แล้วแต่สะใภ้ใหญ่ดีกว่า พวกเจ้าลงไปเถอะ” นางหมายถึงแม่นมสาวใช้ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ ส่วนสาวใช้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยกเว้นจื่ออวิ๋นที่ต้มน้ำเตรียมชงชาอยู่ จื่อหลัวที่แทบไม่ทิ้งร่างของนางกับม่านเหอที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งเป็นพิเศษ ยังมีฉี่เซียงที่แม่นมฉินให้ความสำคัญและแยกไม่ออกจากกัน สำหรับแม่นมและสาวใช้คนอื่นๆ ก็เดินออกมาเป็นแถวยาวเหยียด ในไม่ช้าศาลาดอกไม้แห่งนี้ก็ไม่มีใครอยู่สักคน บริเวณใกล้เคียงก็ได้ช่าจื่อรับคำสั่งดูแลอยู่ จึงไม่มีใครเข้ามายุ่งรบกวน
“แม่นม ข้ารู้ว่าท่านจำข้าไม่ได้ ตั้งแต่ท่านกับคุณหนูออกจากเมืองเซิ่งจิง เราไม่ได้เจอกันมายี่สิบสามปีแล้ว ในความทรงจำของท่านข้าอาจจะเป็นคนที่ทำให้ท่านปวดหัวถึงขีดสุด นั่นคือเด็กน้อยที่ต้องใช้ไม้บรรทัดไล่ตี” เฉาซื่ออี๋ไม่สนใจคนอื่นๆ ช่วยประคองแม่นมฉินนั่งลง แล้วกุมมือของแม่นมฉินอยู่
“เจ้าคือ…” จู่ๆ แม่นมฉินก็ฉายประกายวาบขึ้น จำได้ว่าจงเสวี่ยฉิงเคยมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายซึ่งซุกซนที่สุดทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้า เป็นเด็กน่าสงสารที่จงเสวี่ยฉิงเก็บกลับมา
“แม่นมจำได้หรือไม่?” เฉาซื่ออี๋พูดด้วยความประหลาดใจระคนยินดีว่า “ใช่แล้ว ข้าเอง ข้าก็คือต้ายา!”
ต้ายา? ช่างเป็นชื่อที่ดี! เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเฉาซื่ออี๋ซึ่งเป็นอาจารย์หญิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งต้าเยียนที่สง่างามสูงส่งและมีน้ำใจตรงหน้าผู้นี้ เหตุใดนางจึงใช้ชื่อ ‘ต้ายา’ ซึ่งมีความหมายเท่ากับกลิ่นอายของท้องถิ่นและชาวบ้านที่ยากจนตามใจชอบในชื่อนี้ล่ะ?
“เจ้าคือต้ายาหรือ?” แม่นมฉินมองไปที่คิ้วของเฉาซื่ออี๋อย่างละเอียดลออ พยายามหาจุดที่คล้ายกับต้ายาที่แก่นแก้วทโมน คนที่ขึ้นไปฉกไข่นกบนต้นไม้ ตกปลาในน้ำ ทำร้ายจวนสกุลจงจนไม่รู้ว่าดอกไม้ต้นไม้เสียหายไปเท่าใด ทำให้นางต้องไล่ตีเด็กน้อยตลอดทั้งวัน ในคืนนั้น ไล่ก็ไม่ยอมไป ต้องหนีบถุงข้าวเหนียวไว้บนเตียงของนาง นั่นทำให้จงเสวี่ยฉิงมักจะหัวเราะจนตัวงอ ขำเด็กผีทะเลจนปวดท้อง เป็นเด็กฉลาดที่รู้ทุกอย่าง แต่ไม่ชอบเรียนรู้เอาเสียเลย?
“ข้าเอง เป็นข้าเอง!” จู่ๆ เฉาซื่ออี๋ก็พับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่น่าตกใจ บาดแผลที่เหมือนตะขาบอันน่าเกลียดน่ากลั อยู่ที่แขนของเฉาซื่ออี๋ แผลนั่นได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและสะดุดตาเป็นพิเศษ แล้วพูดว่า “แม่นมยังจำได้ไหมว่าเป็นฤดูร้อนของปีนั้น ตอนที่ข้าปีนต้นไม้แล้วตกลงมา เป็นแผลถลอก ในขณะนั้นท่านแทบจะเป็นลม คุณหนูหาแพทย์เฉพาะทางที่ดีที่สุดมาเย็บแผลให้ข้า แต่ก็ยังเหลือรอยแผลเป็นนี้ไว้ ท่านยังบอกว่า เด็กน้อยทโมนอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเด็กชายเคราะห์ร้ายคนไหนจะกล้าแต่งงานด้วยในอนาคต”
“เป็นต้ายาจริงหรือ?” แม่นมฉินโอบกอดเฉาซื่ออี๋ไว้ในอ้อมแขน หญิงชราร่ำไห้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาแล้วพูดว่า “ดวงใจของข้าเอ๋ย คุณหนูบอกว่าเจ้าไม่เชื่อฟัง ส่งเจ้าไปให้คนอื่นแล้ว…ข้าคิดว่าเราสองแม่ลูกจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีก”
“แม่นม…” เฉาซื่ออี๋ก็น้ำตาไหลพรากอาบแก้มอย่างเศร้าตรอมตรมพลางกล่าวว่า “ข้าอยากจะวิ่งออกไปหาท่านและคุณหนูตลอด แต่พ่อแม่อุปถัมภ์เฝ้าดูใกล้ชิดมาก พวกเขาบอกว่านอกจากข้าจะเก่งเหนือชั้นกว่าคนอื่นได้ มิฉะนั้นจะไม่ปล่อยให้ข้ามีโอกาสได้ออกไปข้างนอก ข้ามุมานะพากเพียรเรียนหนักมาก แต่เมื่อข้าประสบความสำเร็จ ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่อุปถัมภ์ ครั้นไปถึงอู๋โจว กลับไม่พบบ้านของตระกูลจง นับประสาอะไรจะรู้ที่อยู่ของคุณหนู ข้าตามหาไปทุกแห่งหนในอู๋โจวคนเดียวราวกับคนสติฟั่นเฟือน แต่พ่อบุญธรรมไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป บังคับให้ข้ากลับเซิ่งจิง ข้าไม่มีความสุขตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าไม่อยากเป็นอาจารย์อะไรนั่น แค่หวังว่าจะได้อยู่เคียงข้างท่าน ได้อยู่ปรนนิบัติข้างกายคุณหนู…ตอนนี้ข้าเป็นสาวใช้ไม่ได้ แต่เป็นแม่นมได้…”
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? “เยี่ยนมี่เอ๋อร์สับสนเล็กน้อย ดูท่าเฉาซื่ออี๋เคยเป็นสาวใช้ข้างกายท่านแม่ ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่นมฉินมาก่อน แต่เป็นคนที่ซุกซนจนถึงขั้นรุนแรง ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านแม่บอกว่าไม่ต้องการนาง ส่งนางไปให้คนอื่น แต่ทำไมนางถึงไม่แค้นเคืองท่านแม่? นางกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของท่านปรมาจารย์เฉามู่ฮุ่ยไปได้อย่างไรกันเล่า?
“ใช่แล้ว ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?” แม่นมฉินก็ประหลาดใจจึงพูดว่า “คุณหนูพาเจ้าออกไปในวันนั้น เมื่อกลับมาเจ้าก็หายไป บอกแต่ว่าเจ้าไม่เชื่อฟัง ไม่ต้องการเจ้า ส่งเจ้าไปให้คนอื่น แม่นมสาวใช้ที่ติดตามกลับบอกว่าคุณหนูทิ้งเจ้าไว้ในถิ่นทุรกันดาร เห็นได้ชัดว่าสุดแสนจะรังเกียจเดียดฉันท์…พอข้าขอให้พวกนางพาข้าไปหา ก็ไม่พบอะไรเลย…”
“คุณหนูไม่อยากให้ข้าชวดโอกาส!” เฉาซื่ออี๋เช็ดน้ำตาแล้วเล่าว่า “คุณหนูบอกว่าก่อนวันที่จะออกจากเซิ่งจิง นางจะไปจุดธูปที่เซียงจีถานเป็นครั้งสุดท้าย จงใจไม่พาท่านไป หลังจากที่เราไปถึงเซียงจีถาน คุณหนูก็จุดธูปอย่างรีบร้อน แล้วรีบกลับไป ข้าพูดสองสามคำ ทันใดนั้นคุณหนูก็อารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อไปได้ครึ่งทางก็ไล่ข้าลงจากรถ บอกว่าไม่อยากเห็นข้าอีกต่อไป ยามนั้นข้าทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมคุณหนูถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ข้าไม่เคยถูกคุณหนูดุเลย เมื่อก่อนข้าก่อเรื่อง เวลาที่ท่านไล่ตีข้า คุณหนูก็จะปกป้องข้า ข้าเอาแต่ร้องไห้ ไม่นานหลังจากคุณหนูจากไป พ่อแม่บุญธรรมก็ปรากฏตัวขึ้น คุณหนูส่งข้าไปที่ตระกูลเฉา ข้าได้รู้จักพ่อแม่บุญธรรม พวกเขาปลอบใจข้า แล้วพาข้ากลับไปที่เมือง”
“แล้วเหตุใดพวกเขาไม่ส่งเจ้ากลับมา” แม่นมฉินถามด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย
“พวกเขาขังข้าไว้ในจวน ไม่ให้ข้าออกไปข้างนอก จนกระทั่งคุณหนูจากไปถึงได้ให้จดหมายข้าฉบับหนึ่ง” เฉาซื่ออี๋ฝืนยิ้มแล้วเล่าต่อ “ตอนนั้นแม้ข้าจะอยู่กับคุณหนูมาเกือบสามปี แต่ไม่เคยเรียนหนังสือสักตัวอย่างจริงจังเลย พวกเขาไม่อ่านให้ข้าฟังเสียด้วยซ้ำ ยังบอกอีกว่าถ้าต้องการเรียน ให้ไปท่องหนังสือตามพี่ชายบุญธรรมได้ ถ้าไม่ต้องการ นั่นก็เป็นเรื่องของข้าเอง ข้าจึงต้องตามพี่ชายไปท่องตำรา สองเดือนต่อมา ข้าถึงรู้ว่าคุณหนูพูดอะไรไว้ในจดหมาย นางบอกว่านางได้ขอร้องให้พ่อแม่บุญธรรมดูแลข้า ทั้งยังบอกว่าข้าไม่ใช่บ่าวของตระกูลจง แต่เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ไม่จำเป็นต้องติดตามนางและเป็นบ่าวตลอดไป ข้าร้องไห้ไม่ยอม พ่อบุญธรรมบอกข้าว่า อันที่จริงเมื่อนานมาแล้ว แม่บุญธรรมชอบข้ามาก และเผยเจตจำนงกับคุณหนูว่าตั้งใจจะรับข้าเป็นลูกสาว แต่คุณหนูตัดใจไม่ได้ ยังประวิงเวลาต่อไป จากนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้น คุณหนูและนายท่านรองจำเป็นต้องออกจากเซิ่งจิง คุณหนูถึงได้ฝากจดหมายไว้ เพื่อปรึกษาทางออกของข้ากับพ่อบุญธรรมและคนอื่นๆ และจงใจทิ้งข้าไว้บนถนน ให้พ่อบุญธรรมมารับไปเลี้ยงดู”
เป็นเช่นนี้นี่เอง! ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจ มิน่าเล่าที่นางจะอ่อนน้อมถ่อมตัวยามที่พูดกับตัวเองเช่นนี้ หากไม่ได้ท่านแม่จัดการ นางก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้
“ข้าไม่ได้ข่าวคราวของคุณหนูเลย ปีที่แล้วฮูหยินซั่งกวนส่งจดหมายมา ขอให้ข้าอบรมสั่งสอนบุตรสาวของนาง ข้าเคยปฏิเสธเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลซั่งกวนยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เดิมข้าปฏิเสธลูกเดียว แต่เนื่องจากคนที่ส่งจดหมายมาคือซั่งกวนเจวี๋ย คุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ข้าจึงต้องฝืนใจเปิดจดหมายอ่านต่อหน้าเขา ไม่ได้คาดคิดว่าในจดหมายจะเอ่ยถึงคุณหนู ทั้งยังบอกว่าคุณหนูจากโลกนี้ไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของคุณหนูกำลังจะแต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ย ตอนนั้นข้าตกตะลึง ข้าไม่รู้ว่าจะส่งแขกนายน้อยซั่งกวนกลับไปได้อย่างไร จำได้ว่ากลับบ้านด้วยความงุนงง กอดแม่บุญธรรมร้องไห้ตลอดทั้งวัน…” ขณะที่เฉาซื่ออี๋พูดอยู่นั้นยังคงทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุดพลางกล่าวว่า “ต่อมาพ่อบุญธรรมบอกว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ดี ข้าถึงได้สงบจิตใจลง แล้วรอข่าวล่าสุด”
“ข้าไม่รู้ว่าข้าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร!” เฉาซื่ออี๋สะอื้นไห้พูดว่า “ข้าหวังว่าข่าวนี้จะเป็นเท็จ หวังว่ามันจะเป็นแค่อุบายของฮูหยินซั่งกวนเพื่อให้ข้าอ่อนข้อรับปาก ถ้าอย่างนั้น คุณหนูจะไม่เหมือนอย่างที่นางพูด คือเสียชีวิตไปแล้ว แต่อาศัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่งที่ข้ามองไม่เห็น ยังคงใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีความสุข นางจะมีสามีที่หล่อเหลาและเอาใจใส่ มีลูกๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดู ลูกสาวที่สวย ใจดีและฉลาดเหมือนกับนาง…แต่ข้าใช้เหตุผลบอกตัวเองว่า มันน่าจะเป็นจริง ถ้าคำโกหกที่ไม่ค่อยมีมูล ก็จะถูกเปิดโปงได้อย่างง่ายดาย…”
“เจ้าเชื่อข่าวตั้งแต่เมื่อใด?” แม่นมฉินลูบหลังของเฉาซื่ออี๋เบาๆ และถามอย่างแผ่วเบา
“เดือนสิบเอ็ดปีกลาย!” เฉาซื่ออี๋กล่าวว่า “ในตอนนั้นเองที่ข้าได้รู้วันแต่งงานของสะใภ้ใหญ่กับตระกูลซั่งกวน!”
“แล้วทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้?” แม่นมฉินไม่ได้เป็นลมล้มพับกับความผูกพันในครอบครัวที่มากะทันหัน
“ข้าเชื่อว่าคุณหนูไม่ต้องการให้ข้าปรากฏตัวก่อนหน้านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่องานแต่งของสะใภ้ใหญ่และนายน้อยซั่งกวน นับประสาอะไรจะให้ทุกคนในงานแต่งรู้ว่าลูกสาวของนางได้แต่งเข้าตระกูลซั่งกวน!” คำพูดของเฉาซื่ออี๋ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวใจกระตุกวูบ ดูท่านางจะรู้ถึงความคิดของท่านแม่เป็นอย่างดี!
“เจ้าเด็กคนนี้นี่!” แม่นมฉินถอนหายใจ พูดด้วยความห่วงใยว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้างในช่วงหลายปีนี้? เป็นฝั่งเป็นฝาหรือยัง? แล้วเจ้ามาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?”
“แม่นมไยร้อนขนาดนี้” เฉาซื่ออี๋คร่ำครวญว่า “เรายังมีเวลาอยู่อีก แล้วข้าจะค่อยๆ เล่าให้แม่นมฟัง”
———————————-