เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 95 คำแนะนำของเฉาซื่ออี๋ (2)
“ข้ากับพวกนางคบกันแค่เพียงผิวเผิน ไม่อาจพูดได้ว่ารู้สึกอย่างไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่พูดถึงหัวข้อนี้กับคนที่ไม่ไว้วางใจ ถ้าล่วงรู้ไปเข้าหูผู้หญิงพวกนั้น ยังไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นอะไรขึ้นบ้าง
“เอาล่ะ! ข้าไม่ควรถามท่าน!” เฉาซื่ออี๋ยิ้มเฝื่อนๆ อีกครั้ง นางจำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้วที่นางไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงพูดว่า “บรรดาฮูหยินในตระกูลชั้นสูงแบ่งเป็นสองขั้วที่ร้ายกาจมากใช่ไหม? ถ้าไม่โง่เขลาเบาปัญญา ทำทุกอย่างที่ไร้พิษภัย แต่ไม่เป็นโล้เป็นพายตลอดทั้งวัน หรือไม่ก็เป็นคนฉลาดเก่งกาจ ต้องคิดไตร่ตรองทุกอย่างซ้ำๆ มักจะเป็นกุลสตรีที่ทำทุกอย่างได้ดีเยี่ยมเสมอ?”
เป็นเช่นนี้! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นด้วยอย่างมากอยู่ในใจ เช่น ฮูหยินชุย หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและฮูหยินอิ๋งผู้นั้นจะเป็นเช่นนี้ มักจะรู้สึกว่าพวกนางโง่งมและขี้โวยวายในบางครั้ง แต่อีกห้าคนนั้นฉลาดและมีอำนาจอยู่บ้าง คิดๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้น แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้พูดออกมา แค่แสดงรอยยิ้มที่รู้อยู่แก่ใจบนใบหน้า
เอ๊ะ…คุยกับนางเหนื่อยมากเลย! อย่างไรก็ตาม นางระมัดระวังเหมือนกับคุณหนูฉิง! เฉาซื่ออี๋ทอดถอนใจและอาลัยอาวรณ์คิดถึงอีกครั้งแล้วพูดว่า “เช่นนั้น เจ้าสังเกตเห็นจุดที่แตกต่างสุดขั้วระหว่างพวกนางหรือไม่? อย่างเช่น สีหน้าท่าทางและการอยู่ร่วมกันของนายท่านแต่ละคนรวมถึงลูกชายเป็นอย่างไร?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบดูเหมือนจะแตกต่างกันจริงๆ นอกจากฮูหยินสามคนนั้นแล้ว ดูท่าจะมีเพียงฮูหยินหวังเท่านั้นที่มีท่าทีเมตตา เมื่ออยู่กับนายท่านหวังก็รักใคร่กลมเกลียวกันมาก ส่วนอีกสี่คนมักจะมีความขุ่นเคืองใจอยู่ในหางตาเสมอ สายตาจะเฉียบคมกว่าเล็กน้อย ตอนอยู่กับลูกสะใภ้จะแข็งทื่ออยู่บ้าง และไม่เห็นลูกชายลูกสาวเดินล้อมหน้าล้อมหลัง เหมือนกับคนของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่มักจะก่อเรื่องจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ไม่ได้ทำเรื่องอับอายที่ส่งผลกระทบกับภาพรวม มักจะทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เมื่อพบว่ามีบางอย่างผิดพลาดหรือผิดปกติ จะโยนปัญหาไปให้สามีและลูกชายที่ยิ้มอย่างขมขื่นทันที ส่วนสามีและลูกชายของพวกนางแม้จะเต็มไปด้วยคำตัดพ้อ แต่ก็ยังรับหน้าที่สะสางผลพวงที่ตามมา ทำได้แค่ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?
“ฮูหยินเกือบทั้งหมดในตระกูลชนชั้นสูงเป็นสุภาพสตรีสูงศักดิ์ พวกนางได้รับการศึกษาตั้งแต่เด็กคือการให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมและครอบครัว แต่หลังจากที่พวกนางแต่งเข้าตระกูลของสามีแล้ว พวกนางมักจะเข้าสู่ภาวะชะงักงัน นั่นคือตระกูลใดควรจะสำคัญที่สุด!” เฉาซื่ออี๋รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่เป็นฝ่ายพูดอะไรก่อน จึงกล่าวแต่โดยสังเขป
นี่คือเรื่องจริง! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้อยู่ในทางตันเช่นนี้ในเวลานั้น ได้ปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลหวงฝู่มาตลอด แต่เมื่อนางเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและเอาตัวเองไม่รอดก็ไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่พี่น้อง พวกเขายังบอกว่าไม่มีอะไรจะต้องอิจฉา ให้ปฏิบัติต่ออนุภรรยาของซั่งกวนฮ่าวอย่างใจเย็นได้หรือไม่? หากไม่ใช่เพราะนางได้พบกับท่านแม่ ได้ท่านแม่เตือนสติให้ตื่นขึ้น บอกให้ลืมชื่อลูกสาวคนโตของตระกูลหวงฝู่ไปเลย แล้วทำหน้าที่เป็นเพียงลูกสะใภ้ของตระกูลซั่งกวนให้เต็มที่ บางทียามนี้นางอาจจะไม่ได้เป็นคนในตระกูลซั่งกวนแม้จะยังพูดคำไหนคำนั้นไม่ได้ แต่กลับทำให้ซั่งกวนฮ่าวและลูกชายปกป้องฮูหยินซั่งกวนด้วยใจจริง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ซั่งกวนฮ่าวจะเอาอนุภรรยาหลายห้องมาเทียบเคียง นับประสาอะไรกับอนุภรรยาอีกสองสามคน
“ข้าไม่ได้รู้จักฮูหยินชนชั้นสูงเหล่านี้ทั้งหมด ฮูหยินทั่วป๋า ฮูหยินชุยและฮูหยินมู่หรงต่างก็เป็นเพราะลูกสาวของพวกนางได้ร่ำเรียนในสำนักศึกษา ล้วนได้รับการสอนจากข้า มีโอกาสมากที่จะได้พบกันและอยู่ด้วยกันนาน ซึ่งข้ารู้จักฮูหยินชุยดีที่สุด คิดว่าในปีนั้น ฮูหยินชุยเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเซิ่งจิง แต่น่าเสียดายที่คุณหนูฉิงเกิดผงาดออกมาจากฟากฟ้า ทำให้นางที่มีหน้ามีตาโดดเด่นที่สุด ถูกดึงลงจากบัลลังก์ของสุภาพสตรีที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของต้าเยียน ผลักดันคุณหนูฉิงเลื่อนขึ้นไป ในปีนั้นที่เกิดเรื่องของอ๋องเหยี่ยน นางก็แต่งงานกับลูกชายคนโตของตระกูลชุยในเวลานั้น ตอนนี้เป็นนายหญิงของตระกูลชุย” เฉาซื่ออี๋เล่าถึงฮูหยินชุยที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอือมระอามากที่สุด
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮูหยินชุยที่ดูเรียบง่าย รักหน้าตาและชอบสร้างปัญหาแต่กลัวผลที่ตามมานั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นสุภาพสตรีที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของต้าเยียนในเซิ่งจิง? แล้วไปพลาดตรงจุดไหนกันแน่?
“ดูท่าทีของท่านแล้ว น่าจะเคยติดต่อกับฮูหยินชุย!” เฉาซื่ออี๋จับการแสดงออกทางสีหน้าชั่วขณะของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ไวมาก แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าจำได้ว่าเคยพบกับฮูหยินชุยหลายครั้งเมื่อข้ายังเด็กตัวเท่าเมี่ยง ในยามนั้นนางยังเป็นคุณหนูอวี๋ที่รู้จักกันดีในเซิ่งจิง ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลอวี๋ที่เกิดในครอบครัวนายพลที่มีชื่อเสียง นางเต้นเก่ง โดยเฉพาะการรำดาบ โชคดีเป็นบุญตาที่ได้เห็นคุณหนูอวี๋ร่ายรำดาบ ต่างเรียกกันว่า ‘ร่ายรำดาบสี่ทิศ’ แม้แต่คุณหนูฉิงก็เคยชื่นชมนางมาก ในเวลานั้นนางมีความกล้าหาญมาก นางไม่สันทัดบทกวี แต่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊เกินหน้าเกินตากว่าลูกชายของตระกูลอวี๋ ตระกูลชุยจึงมาทาบทามหมั้นหมายในตอนนั้น ถูกใจในร่างอันทระนงองอาจและเก่งกาจนี้”
แล้วตอนนี้ล่ะ? เป็นสัจธรรมสูงสุดคืนสู่สามัญหรือในตอนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา?
“แต่เมื่อหกปีก่อน ตอนที่นางพาคุณหนูอวี่ซวินจากตระกูลชุยมาที่สำนักศึกษานั้น ข้าไม่เห็นวี่แววของคุณหนูอวี๋ที่กล้าหาญ มั่นคงใจดีและฉลาดปราดเปรื่องจะเกี่ยวอะไรกับนางในตอนนั้นเลย จึงรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง ดูเหมือนนางจะพูดจาสับสนเล็กน้อย แต่ประเด็นสำคัญกลับไม่เลอะเทอะแม้แต่น้อย ยังมีเค้าลางของปีนั้นอยู่บ้าง” เฉาซื่ออี๋ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในหนนั้นข้าคิดแทบล้มประดาตายก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ข้าจึงเอาคำถามนี้ไปปรึกษาพ่อบุญธรรม และในยามนั้นพ่อบุญธรรมบอกมาคำหนึ่งว่า ‘ตระกูลชนชั้นสูงเป็นหลุมฝังศพที่หอมกรุ่นทั้งความสามารถและมโนธรรม’ ข้าก็ยิ่งมึนงง แต่พ่อบุญธรรมไม่ได้พูดอะไรมาก แต่บอกว่าข้าจะได้คบค้าสมาคมกับสุภาพสตรีและฮูหยินจากตระกูลชนชั้นสูงหลายคนในอนาคต ให้ข้าสังเกตด้วยตัวเองก็จะได้ข้อสรุป”
“ข้ารู้จักฮูหยินของตระกูลขุนนางคนที่สองคือฮูหยินทั่วป๋า! นางเป็นคนในวงศ์ตระกูลที่รู้จักกันดี เป็นลูกสาวของผู้หลักผู้ใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน ก็มีวาสนาได้พบกันเพราะลูกสาวเช่นกัน นางแตกต่างจากฮูหยินชุยโดยสิ้นเชิง ฮูหยินชุยดูงุ่มง่ามและสับสนเล็กน้อย รักศักดิ์ศรีเป็นที่สุดไม่เต็มใจจะยอมรับข้อเสนอแนะใดๆ ในขณะที่ฮูหยินทั่วป๋านั้นตรงกันข้าม นางเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ พูดจามีระเบียบมาก ไม่แสดงสีหน้าอะไรแปลกๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก” เฉาซื่ออี๋ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “แต่พวกนางอายุห่างกันเพียงสามปีเท่านั้น ฮูหยินชุยผิวพรรณผุดผ่อง ไม่มีริ้วรอยที่หางตาเลย ดวงตาสดใส มักจะเผยให้เห็นยิ้มจากใจโดยไม่ระวังตัว ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสุขเปี่ยมล้น ส่วนฮูหยินทั่วป๋าได้รับการดูแลอย่างดี ผิวพรรณเนียนนุ่มมีเลือดฝาด มีริ้วรอยรอบดวงตาไม่อาจปกปิดได้ มีความเหนื่อยล้าเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ดวงตาลึกลับหม่นหมอง รอยยิ้มเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่จงใจ เมื่อหมุนตัวจะสลัดท่าทีสนิทสนมออกแล้วแทนที่ด้วยความหมางเมินน้อยๆ”
ดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้! เยี่ยนมี่เอ๋อร์แอบเปรียบเทียบทั้งสองคนนี้ซึ่งไม่ต่างจากที่เฉาซื่ออี๋พูดมากนัก
“พวกนางสองคนเข้ากันได้ไม่ดีนัก ล้วนแต่งงานกับลูกชายคนโตของตระกูลชนชั้นสูง ตอนนี้ทั้งคู่เป็นนายหญิงของตระกูลสูงศักดิ์ แล้วทำไมถึงแตกต่างกัน ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ ข้าจึงตรวจสอบข้อมูลของทั้งสองคนโดยละเอียด พบจุดที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!” เฉาซื่ออี๋มองออกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์สนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มขบคิดอย่างจริงจัง
“นายท่านทั่วป๋ารับอนุภรรยาสองคนหลังจากที่แต่งกับฮูหยินทั่วป๋าเข้ามา ว่ากันว่าทั้งคู่เป็นหญิงงามคนสนิทที่พบขณะเดินท่องยุทธภพ หลังจากฮูหยินทั่วป๋าคลอดบุตรชายคนโตแล้ว อนุภรรยาทั้งสองก็คลอดบุตรด้วย จากนั้นนายท่านทั่วป๋าไม่สามารถควบคุมได้ ตอนที่ข้าพบกับฮูหยินทั่วป๋านั้น มีอนุภรรยาอยู่แล้วเก้าห้อง และไม่กี่ห้องก็เสียชีวิตด้วย เมื่อฮูหยินชุยแต่งเข้ามา ช่วงที่ตั้งครรภ์ลูกชายคนโต นายท่านชุยรับอนุภรรยามาคนหนึ่ง คือสาวใช้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายแม่ของเขา ต่อมาทยอยรับอนุภรรยาอีกสองคน ซึ่งทั้งสองมาจากผู้อาวุโสประทานให้ สาวใช้เมียบ่าวคนหนึ่งคือสาวใช้สินเดิมของฮูหยินชุย นอกจากนี้ก็ไม่มีอนุภรรยาคนอื่นๆ” เฉาซื่ออี๋กล่าวว่า “เมื่อหลายคนเห็นสิ่งนี้ จะเข้าใจผิด คิดว่านายท่านทั่วป๋าเจ้าชู้ แต่นายท่านชุยเป็นสุภาพบุรุษ”
ไม่ได้สำคัญนัก! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางเข้าใจเพียงเล็กน้อยว่าหัวหน้าตระกูลสูงส่งเหล่านี้มีภรรยาและลูกได้มาก
อยู่แล้ว จึงไม่ได้คำนึงถึงที่มาของอนุภรรยาพวกนั้นมากสักเท่าใด
“ฮูหยินทั่วป๋าเกิดจากตระกูลชวีในเซิ่งจิง ตั้งแต่นางแต่งเข้าตระกูลทั่วป๋า ฝืนใจยอมรับเรื่องภายในของตระกูลทั่วป๋าเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งต้องการมีส่วนร่วมตัดสินใจเรื่องภายนอกแต่โดยพื้นฐานแล้วนางตัดสินกิจการภายใน ด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของตระกูลชวี ท่ามกลางความคลุมเครือนั้น ความแข็งแกร่งได้เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ขณะที่นางหมายใจจะให้หลานสาวแท้ๆ แต่งงานกับลูกชายนั้น ก็ถูกทั่วป๋าฉินหลิ่งปฏิเสธ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่เดิมทีก็ธรรมดามาก เริ่มตึงเครียดขึ้น ส่วนฮูหยินชุยหลังจากที่แต่งเข้าตระกูลชุย ก็กลายเป็นสะใภ้ใหญ่อย่างสบายๆ นางไม่ข้องเกี่ยวงานภายนอก กิจการภายในก็ได้แม่สามีดูแล ทั้งยังฝึกพ่อบ้านฝีมือดีสองสามคนจากสาขาตระกูลชุย ช่วงที่รอให้แม่สามีส่งมอบอำนาจให้นางนั้น นางดูแลเฉพาะทิศทางทั่วไป เรื่องเฉพาะเจาะจงจะให้พ่อบ้านจัดการ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชุย ถูกนางจัดว่าเป็นเรื่องภายนอก จะปัดให้พ้นตัวเอง และตระกูลชวีไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากนาง โดยพื้นฐานแล้วการแต่งงานของลูกชายคนโตของนางจะขึ้นอยู่กับนาง แต่นางเลือกลูกสาวของตระกูลหวังที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลชุยและมีความสัมพันธ์แบบปกติกับตระกูลชวี”
เป็นการพูดถึงคนคนหนึ่งที่แต่งงานในฐานะภรรยา หรือแม้กระทั่งเป็นแม่คนแล้ว ยังไม่เต็มใจจะสละประโยชน์ให้กับพ่อแม่พี่น้อง ต้องการให้ครอบครัวฝ่ายหญิงและครอบครัวสามีเกิดความสมดุล ปฏิบัติทั้งสองอย่างอย่างเท่าเทียมกัน แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการสิ้นเปลืองแรงทั้งสองฝ่าย ทำลายผลประโยชน์ของครอบครัวสามี ทั้งยังปลูกฝังความโลภและความเอื่อยเฉื่อยของครอบครัวฝ่ายหญิง คิดว่าการเลี้ยงดูลูกสาวจะใช้มาขุดรากฐานบ้านของลูกเขยได้
วิธีหนึ่งคือการเอาตัวเองออกจากผลประโยชน์ของครอบครัวสามีและครอบครัวฝ่ายหญิงได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าพวกเขาจะทะเลาะหรือเถียงกันอย่างไร ตัวเองก็แค่แกล้งทำเป็นโง่เท่านั้น จะไม่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของครอบครัวสามี เมื่อครอบครัวฝ่ายหญิงเกิดมีปัญหาจริงๆ ผลย่อมจะไปตกกับลูกเขย ตัวเองเป็นลูกสะใภ้ที่ดี สามีเป็นลูกเขยที่ดี นับประสาอะไรจะให้ตัวเองกลายเป็นปลิงสูบเลือดสามี เช่นนั้นความเรียบง่ายและโง่เขลาของฮูหยินชุยจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการสวมหน้ากาก…ต่อให้ตระกูลอวี๋จะร้องขออะไรบางอย่าง เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนไม่เอาไหนก็จะส่ายหัว ไปหาลูกเขยจะมั่นใจกว่า?
“และในการตรวจสอบของข้า ฮูหยินซั่งกวนแม่สามีของท่านก็เคยเป็นคนอย่างฮูหยินทั่วป๋า เบาปัญญาที่คิดจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา เชื่อว่าสิ่งที่ไม่สำคัญบางอย่างน่าจะโน้มเอียงไปทางตระกูลหวงฝู่ได้ ครั้งหนึ่งนางจึงเคยถูกนายท่านซั่งกวนเย็นชาใส่ จึงตกอยู่ในทางตันในช่วงเวลานั้น มิหนำซ้ำตัวเองก็วุ่นวายหาอนุภรรยามาประเคนให้นายท่านซั่งกวนครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมาไม่รู้ว่าเป็นใคร…ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคุณหนูฉิง ช่วยชี้แนะนาง มันสายเกินไปที่นางจะแสร้งทำเป็นโง่ จึงตรงเข้าบุกประชิดภายใต้แรงกดดันของอนุภรรยา จนยอมจำนน หลุดพ้นจากเรื่องยุ่งยากของตระกูลซั่งกวนได้อย่างราบรื่น แม้ตระกูลหวงฝู่จะมีบางเรื่องอยากให้นางออกมือช่วย นางสามารถบอกกับคนของตระกูลหวงฝู่ได้อย่างน่าเศร้า เพราะนางไม่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวที่นางเกิด โดนพวกอนุภรรยายึดอำนาจไปหมดแล้ว ดังนั้นตระกูลหวงฝู่จึงทำให้นางลำบากใจไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้?
“กระนั้น ข้าบอกท่านว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ให้ท่านทำเลียนแบบพวกนาง ทว่าไม่อยากให้ท่านมองข้ามพวกนาง เพราะพวกนางเสแสร้งแกล้งทำมาหลายปี!” เฉาซื่ออี๋พูดอย่างจริงจังว่า “พวกนางอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโง่ขนาดนี้ที่ยังแสร้งทำอยู่ แต่พวกนางเกิดมาพร้อมกับความเก่งและฉลาดซึ่งจะไม่หายไป คนที่แสร้งทำได้หลายปีถึงจะเป็นคนที่มีภูมิปัญญาอย่างแท้จริงในหมู่ฮูหยินของตระกูลชนชั้นสูง เมื่อผลประโยชน์พื้นฐานของพวกนางและคนที่พวกนางให้ความสำคัญที่สุดไม่ได้รับอันตราย พวกนางก็เป็นแค่ผู้หญิงเรียบง่าย แต่เมื่อผู้หญิงเช่นนี้โผล่ออกมา มันก็น่ากลัวอย่างยิ่ง”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเตือนตัวเองว่า อย่าปลุกพยัคฆ์ที่หลับใหลหรือแหย่แม่เสือหลับที่ไม่กินเนื้อสัตว์มาหลายปี ผลที่ตามมาแม้แต่ตัวเองก็จะทนไม่ได้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็นการสอนในวันนี้ หลายวันที่ผ่านมาซั่งกวนฮ่าวปฏิบัติอย่างไรกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางก็เห็นอยู่ในสายตา ถ้าไม่ใช่เพราะความทุ่มเทของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ซั่งกวนฮ่าวประจักษ์แก่สายตาเช่นกัน มันจะไม่เป็นอย่างในตอนจบของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าแน่นอน ฉะนั้นตนเองต้องการจะเป็นผู้หญิงที่โง่เขลาเช่นนี้หรือไม่?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อนข้างเหนื่อยและรับไม่ได้ นางสามารถรักษารูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและมีน้ำใจไว้ได้ตลอดเวลา แต่จะไม่ให้ตัวตนที่หลงทางปรากฏขึ้น บางครั้งการปล่อยตัวตามอำเภอใจเช่นนี้ก็อาจจะยอมรับได้ หากเป็นเช่นนั้นเรื่อยไปก็จะหมดแรงได้ แต่แกล้งทำตัวโง่เขลาหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดตัวสั่นไหวไม่ได้ มันน่าพรั่นพรึงแค่ไหน…
———————————-