เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 97 คำแนะนำของเฉาซื่ออี๋ (4)
“ตระกูลมีสมาชิกมากมาย ความสัมพันธ์ย่อมซับซ้อน อีกทั้งข้าได้ยินมาว่า นอกจากฮูหยินซั่งกวนแล้ว แทบจะทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานครั้งนี้! คุณหนูและแม่สามีนั้นมีความสันพันธ์อันดีต่อกัน แต่คุณหนูตัวน้อยทั้งสองของท่าน แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ปกติกับมารดา ทว่ากลับสนิทกับซั่งกวนเจวี๋ยอยู่บ้าง ข้ากังวลว่าพวกนางจะ…ที่ลืมคิดไปก็คือ ท่านเป็นลูกสาวของคุณหนูฉิง แล้วจะมาถูกเด็กสาวสองคนนั้นเล่นงานได้อย่างไร” เฉาซื่ออี๋ยิ้มอย่างเย้ยหยันตัวเอง “ความตั้งใจเดิมของข้าคือพาพวกนางไป ไม่ให้พวกนางรบกวนเวลาที่ท่านปลูกต้นรักกับซั่งกวนเจวี๋ยในช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน แต่หลังจากเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างท่านและพวกนางแล้ว ก็ยิ่งปักใจไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจนี้เด็ดขาด!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใคร่ครวญอย่างละเอียดพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา ใช่แล้ว สามวันแรกของคืนส่งตัวเจ้าสาว แม้ว่าซั่งจวนเจวี๋ยจะกลับมาพำนักที่เรือนมีคู่ทุกวัน แต่ก็ล้วนถูกพวกคุณชายเหล่านั้นกรอกสุราจนเมาหัวราน้ำ ไร้สติไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนกลางวันก็ต้องรับมือกับเรื่องต่างๆ ที่ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย เดิมทั้งสองคนก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่ร่วมกัน เวลาที่อยู่ด้วยกันลำพังยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
รอจนเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น ส่งแขกทั้งหมดกลับไปแล้ว ซั่งกวนเจวี๋ยก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้า ย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนไร้เดี่ยว ลู่หลัวและม่านเหอหลังจากถูกเจ้านายทั้งสองที่ไม่รู้ว่าไม่ตั้งใจหรือตั้งใจเปลี่ยนตัวใช้งาน ก็ไม่ได้ถูกเปลี่ยนกลับมาแต่อย่างใด ทุกวันโดยปกติ หลิงหลงและจิงอิ๋ง หลังจากฟ้าสว่างก็วิ่งกันให้ควั่กมาเรือนมีคู่ ตามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้อยๆ จวบจนค่ำ ยามที่ใกล้จะนอนจึงจะกลับไป นอกจากเวลาบนโต๊ะกินข้าว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็แทบไม่เห็นแม้แต่เงาของซั่งกวนเจวี๋ยเลย ถึงแม้เขาจะมา ก็จะถูกจิงอิ๋งและหลิงหลงที่หยอกล้อตั้งท่าคล้ายเขาจะมาแย่งคนก็มิปาน คล้อยหลังนั่งได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก็จากไปแล้ว
“ยามนี้ระหว่างท่านและซั่งกวนเจวี๋ยคือคนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด สิ่งที่ต้องการก็คือการใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มาก มีคุณหนูถึงสองคนใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป อย่างไรข้าพาพวกนางไปน่าจะเป็นการดีกว่า” เฉาซื่ออี๋กล่าวอย่างราบเรียบ “อีกอย่าง สามารถทำให้ข้ามาเชิญกลับไปสั่งสอนถึงสำนักดรุณีได้ สำหรับพวกนางแล้ว นับว่าเป็นเรื่องยาก คนในตระกูลซั่งกวนก็คงกระจ่างใจเช่นกันว่า นี่ล้วนเป็นเพราะท่าน และก็จะดีกับท่านขึ้นไปอีก!”
ใช่แล้ว! นี่เป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์หวนนึกไปถึงในยามที่หลิงหลงเพิ่งจะได้ยินว่าเฉาซื่ออี๋ยอมรับปากที่จะสั่งสอนจิงอิ๋ง ชั่วพริบตาใบหน้านั้นก็ตกตะลึงและอิจฉา ในแววตานั้นปกปิดความผิดหวังแทบไม่มิด หากไม่ใช่เพราะว่าช่วงเวลาอันสั้นนี้ตนเองได้พยายามปรับความสัมพันธ์ให้ทั้งสองคนมาโดยตลอด ให้สองคนตระหนักถึงมิตรภาพพี่น้องที่สำคัญและไม่อาจมีสิ่งใดทดแทนได้ บางทีก็ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะบาดหมางอะไรกันเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ย้อนคิดถึงเมื่อวานอีกครั้งยามที่หลิงหลงรู้ว่าตนเองจะได้ไปเซิ่งจิงด้วยเช่นกัน ใบหน้าก็เผยความสดใสขึ้นมา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัว นางไม่เข้าใจว่า พวกนางได้วางเฉาซื่ออี๋ไว้ในตำแหน่งในใจสูงเท่าใด แต่อย่างไรน้ำใจนี้นางก็รู้สึกซาบซึ้งจริงๆ
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดมาถึงตอนนี้ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกนางเป็นคนในตระกูลซั่งกวนที่บริสุทธ์ไร้เดียงสาที่สุด เพราะว่าชอบข้าจึงได้ชอบคนของข้าด้วย ทั้งยังปกป้องดูแลคนของข้าอย่างไร้เหตุผล ข้าชอบพวกนางมาก คงต้องลำบากท่านแล้ว”
“สะใภ้ใหญ่อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องอะไรที่สามารถทำเพื่อท่านได้ ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว” เฉาซื่ออี๋แย้มยิ้ม “ท่านอย่าได้ใช้เวลาสิ้นเปลืองเด็ดขาด กับซั่งกวนเจวี๋ยนั้น จะต้องรีบ…ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว เช่นนั้นก็ต้องจับกุมคนของเขา ใจของเขาและดวงตาของเขาให้อยู่หมัด ความใจกว้าง ความเมตตานั้นล้วนเป็นดั่งหมอกที่ลอยมาแล้วก็จางหายไป อย่าได้ยึดตัวตนที่ว่าใจกว้างหรือมีเมตตา ปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นเข้ามาในตระกูลได้ จะต้องกำจัดทุกความเป็นไปได้ ถอนรากถอนโคนวัชพืชที่ยังไม่แตกใบนั้นไปให้สิ้น!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มสรวล ไม่ได้รับบทสนทนาต่อ “ข้าจะมีความสุขอย่างแน่นอน ขอท่านโปรดวางใจ!”
“เมื่อวานข้าได้ยินว่าพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลซั่งกวนมีลูกสาวคนหนึ่ง นามว่าซั่งกวนหลิงลี่ ทั้งยังชอบพัวพันกับสะใภ้ใหญ่เช่นกัน” เฉาซื่ออี๋ยิ้มอย่างขมขื่น พวกสาวใช้เป็นคนเปิดเผยข่าวนี้ให้กับเขา ดูเหมือนว่าคนของตระกูลซั่งกวนจะรู้แล้วว่าตัวเองยินดีที่จะพาหลิงหลงไปด้วย เพื่อที่จะให้สองสามีภรรยาได้มีเวลาพูดคุยกัน พัฒนาความสัมพันธ์ต่อกันให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงได้พาพวกคนที่ชอบวุ่นวายในเวลาของสองสามีภรรยาไปด้วย และซั่งกวนหลิงลี่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอยากจะขอให้ตัวเองสอนให้เช่นกัน แต่ไร้ทางที่จะเอ่ยปาก ดังนั้นจึงได้ใช้ทางอ้อมให้ตัวนางได้ทราบถึงข่าวนี้
เฉาซื่ออี๋รู้ว่านี่คือหลุมพราง ไม่สิ เป็นแผนการ แต่เพื่อไม่ให้มีก้างขวางคอระหว่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ย และก็รู้ดีว่าเป็นจุดประสงค์ของคนเหล่านั้น จึงทำได้เพียงต้องก้าวเท้าย้ำเข้าไป ในใจย่อมรู้สึกหงุดหงิดบ้างอยู่แล้ว
“ใช่ เป็นเด็กสาวอายุเก้าขวบ เจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นอย่างมาก เป็นเด็กที่หลักแหลมหัวไวคนหนึ่ง หากท่านได้พบนางแล้ว ย่อมต้องชอบนางแน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พอได้ฟังก็เข้าใจทันที กล่าวยิ้มๆ “ลุงจิ่นเป็นพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลซั่งกวน และในตระกูลซั่งกวน นอกจากฮูหยินซั่งกวนแล้ว เขายังเป็นคนที่ข้าสนิทด้วยเร็วที่สุด ดูแลข้าเป็นอย่างดี อย่างไรก็คงต้องฝากท่านด้วย”
“ท่านนี่ช่างสมแล้วที่เป็นลูกสาวของคุณหนูฉิง ยามที่ไล่ต้อนคนช่างเหมือนกันนัก” เฉาซื่ออี๋กล่าวหงุดหงิดออกมาหนึ่งประโยค ก่อนจะยิ้มอย่างขื่นขม “หากคุณหนูฉิงยังอยู่ก็คงดี ข้ายอมที่จะถูกนางไล่ต้อนไปตลอดชีวิต”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์จมอยู่ในความเงียบไร้คำพูด ท่านแม่ต่างหาก จึงจะนับว่าเป็นคนที่นางรักที่สุด!
“มากที่สุดสามวัน ข้าก็จะเดินทางออกจากลี่โจว อย่างไรก็ขอให้ท่านดูแลแม่นมฉินดีๆ ด้วย ข้ารู้ดีว่าจากตัวของแม่นมฉิน ทั้งตำแหน่งของนางที่มีอยู่ในใจของคุณหนู ท่านย่อมต้องดูแลนางอย่างดีอยู่แล้ว สำหรับข้า แม่นมฉินก็คือมารดาเช่นกัน ในยามที่มารดาผู้ให้กำเนิดข้า แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงผู้นั้นละทิ้งข้า นางเป็นคนที่ขับไล่ความรู้สึกขาดมารดานั้นไป ข้าในยามนี้อยากจะรับแม่นมฉินไปยังเซิ่งจิง เลี้ยงดูตอบแทนนางและดูแลครอบครัวเก่าของนาง แต่ว่าข้ากระจ่างใจดี ท่านคงไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าทำเช่นนั้นหรอก ข้าจึงทำได้เพียงขอร้องให้ท่านดีกับนางขึ้นสักหน่อย” เฉาซื่ออี๋เทียบกับคนในตระกูลซั่งกวนแล้ว
ยังนับว่าเข้าใจในตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากเสียกว่า หากใช้นิสัยของจงเสวี่ยฉิงมาพิจารณา แม้จะไม่ใช่แต่ก็ย่อมใกล้เคียงอย่างแน่นอน
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางย่อมไม่อาจวางใจให้แม่นมฉินไปกับคนที่เพิ่งจะโผล่หน้าออกมาอยู่แล้ว หากนางเป็นคนของอ๋องเหยี่ยน กักแม่นมฉินเป็นตัวประกันไว้ แล้วนางจะทำอย่างไร!
“ทางด้านเซียวเหยาโหว ข้าก็จะจับตามองอย่างไม่คลาดสายตา หากพบว่ามีอะไรแปลกๆ ข้าจะรีบส่งข่าวให้ท่านรู้ทันที!” เฉาซื่ออี๋ยังคงกังวลใจเป็นอย่างมากว่าชายผู้นั้นจะกระโดดออกมาก่อเรื่อง แต่ว่านางรู้ดี ก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะปักหลักอย่างมั่นคงในตระกูลซั่งกวน เขาคงยังไม่อาจปรากฏตัวขึ้นแน่ เว้นเสียแต่ว่าจะมีแผนการที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว เขาจึงจะค่อยโผล่หน้าออกมา ชายที่เลือดเย็นและมีความอดทนสูงผู้นั้น
“เช่นนั้นก็ต้องลำบากท่านแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณความใส่ใจของนางครั้งนี้เป็นอย่างมาก
“รอในยามที่เรื่องของอ๋องเหยี่ยนสิ้นสุดลง ข้าจะมารับแม่นมฉิน เวลานั้นไม่มีความยุ่งยากลำบากอะไรแล้ว ท่านก็คงจะไม่ปฏิเสธข้าแล้วสินะ!” เฉาซื่ออี๋กล่าวยิ้มๆ เวลานั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คงจะกระจ่างชัดถึงจุดยืนและความปรารถนาดีของตัวเอง ไม่อาจเป็นเหมือนตอนนี้ที่ยังไม่กล้าเชื่อใจตนเอง
“เรื่องนี้ยังต้องรอดูทางแม่นมฉินว่าถึงยามนั้นแล้ว นางจะมีท่าทีอย่างไร ข้าไม่กล้ารับปากท่านในตอนนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบกลับย่างนอบน้อม ทว่าในประโยคกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
“ท่านยังคงเหมือนคุณหนูฉิงจริงๆ ข้าว่า คุณหนูฉิงคงได้ฝากเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายทุกหยดของนางไว้ในตัวท่านเป็นแน่ จึงได้สั่งสอนท่านออกมาได้ดีเช่นนี้ ไม่เหมือนข้า ศิษย์ที่เป็นที่น่าพึงพอใจที่สุดกลับถูกยกยอปอปั้นจนเสียคน หนำซ้ำยังถูกขังในห้องบำเพ็ญเพียร ไม่รู้ว่ายามใดจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง” เฉาซื่ออี๋กล่าวทั้งทอดถอนหายใจ นึกไปถึงที่ศิษย์ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ แต่กลับต้องมาขลุกตัวอยู่ใต้ร่มศาสนา
“ท่านพูดถึงคุณหนูชิงหวั่นสินะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้มาจากปากซั่งกวนเจวี๋ย มู่หรงชิงหวั่นนั้นเป็นศิษย์ของเฉาซื่ออี๋ คิดแล้วก็ต้องตกใจ ศิษย์ของนางยังคงล้วนเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่งที่มีชื่อเสียงกันทั้งนั้น!
“ใช่แล้ว สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูฉิงสั่งสอนเจ้าอย่างไร แต่ข้าขอให้ท่านดูเรื่องของชิงหวั่นเอาไว้ อย่าได้เดินซ้ำรอยเดิมกับนาง…” เฉาซื่ออี๋ถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างร่าเริงขึ้นแทน “ไม่พูดถึงนางแล้ว! ฉวยโอกาสยามที่มีเวลา ไปใกล้ชิดแม่นมฉินสักหน่อยเสียดีกว่า!”
———————————–