เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 110
บทที่ 110 เธอเรียกลูกชายของฉันว่าอะไรนะ
ที่อพาร์ทเม้นท์สองชั้นในถนนเหออี้ เสียงร้องไห้ดังโหวกเหวกโวยวายจนก้องฟ้า
“แว้ แว้……”
เสียงร้องไห้ของเด็กดังติดต่อกันมา อย่างเจ็บปวดรวดร้าว เห็นได้ชัดว่าโดนเสียงที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย
อานโล๋พยายามปลอบโยนหลานตัวน้อยที่อยู่ในอก กล่อมอย่างเบามือ และเอามือมาบดบังดวงตาของเด็กเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาเห็นเงาผู้คนรอบสี่ด้านที่บ้าคลั่ง
อพาร์ทเม้นท์ที่กว้างใหญ่ ทั้งชั้นบนชั้นล่าง เกือบจะมีคนมาอยู่สิบกว่าคน ทุกคนล้วนใส่ชุดทำงานสีน้ำเงินอย่างมืออาชีพ ใส่ถุงมือไว้ และถือไม้เบสบอลโลหะเอาไว้ และเดินไปเดินมาในห้อง แทบจะเห็นอะไรก็ทุบอันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือว่าของใช้ประจำวัน โต๊ะเก้าอี้ ไม่เว้นอะไรไว้สักอย่าง
อานโล๋นั่งอยู่บนรถเข็น นอกจากปกป้องหลานตัวเล็กที่อยู่ในอกเอาไว้แล้ว อย่างอื่น ก็ไม่สนใจทั้งนั้น
หลังจากที่ทุบไปนาน บ้านที่กว้างใหญ่ ก็พังพินาศไปทั้งผืน แทบจะไม่มีอะไรที่เหลือเป็นชิ้นดี ๆ แล้ว คนพวกนี้ถึงได้ค่อย ๆ ทยอยถอยออกไปจากบ้าน
ผ่านไปไม่นาน ประตูที่ทางเข้าก็โดนคนถีบเปิดออก จากนั้น ซูหยวนที่ใส่ชุดสีดำพลิ้วไหวรัดรูปทั้งตัว แล้วรัดรูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาได้อย่างสวยงามดึงดูดผู้คน ดวงตาที่มีเสน่ห์ เต็มไปด้วยความเกลียดชังมองไปที่อานโล๋และเด็ก
“ซูย้าวล่ะ?” เธอมองสองยายหลานมาจากที่ไกล ๆ แล้วถามขึ้นเสียงเย็น
ถึงแม้ว่าอานโล๋จะไม่รู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน และถึงแม้ว่ารู้ ก็ไม่มีทางบอกเขาหรอก!
และเหมือนกับว่าซูหยวนก็พอจะเอาผลแบบนี้ออก รองเท้าส้นสูงหลบหลีกความวุ่นวายบนพื้นออกย่างสง่างาม แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวไปใกล้อานโล๋ และโน้มตัวที่หยิ่งยโสลงมา ปากแดงอ้า ๆ หุบ ๆ ขึ้น “น้าอาน อย่าพูดอย่างอื่นเลย การแสดงของคุณแบบนี้ ฉันนับถือมาตั้งแต่เล็กจนโตเลย! ไม่ไปเป็นนักแสดงสักคนนี้ ช่างน่าเสียดายแล้วจริง ๆ!”
มุมปากที่เย็นชาของอานโล๋นั้นเบ้ขึ้นเล็กน้อย เหมือนยิ้มและไม่ยิ้ม กลับยักคิ้วกวาดตามองเธออย่างไม่สูญเสียความเคร่งขรึม เพียงแค่พูดตอบไปอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “พอ ๆ กันแหละมั้ง!”
“ในตอนที่ฉันเป็นเด็กคุณก็เป็นแบบนี้ ใช้คำพูดสองสามคำ น้ำตาไม่กี่หยด ก็สามารถหลอกให้พ่อของฉันใจอ่อน ในตอนที่ยังไม่มีคุณแล้วซูย้าว ทั้ง ๆ ที่พวกเราก็เป็นครอบครัวสามคนอย่างมีความสุข แต่กลับมีคุณปรากฏตัวขึ้นคนหนึ่ง ยังมียัยเด็กชั้นต่ำที่คุณคลอดออกมา มารบกวนความสุขของพวกเราทั้งบ้าน……”
ตั้งแต่ตอนที่ซูหยวนยังเด็กมานั้น ก็ไม่เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรหลังจากที่พ่อมีแม่และตัวเองแล้ว ทำไมยังไปรักอานโล๋เข้าอย่างใจจดใจจ่ออีก แล้วคลอดซูย้าวออกมาอีก
ปกติแล้วตระกูลแบบนี้ สำหรับลูกนอกสมรสแล้ว ก็มักจะไม่สนใจไยดี ไม่ได้ออกหน้าออกตา หรือแม้กระทั่งจะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากคนในครอบครัวด้วยไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไม การปฏิบัติที่สองแม่ลูกอานโล๋และซูย้าวได้รับนั้น กลับตรงกันข้ามล่ะ?
ตั้งแต่ที่มีพวกเขา ซัวฉ่ายลี่กับซูหยวนถึงได้กลายเป็นคนที่ไม่ได้รับความสนใจคนนั้น บิดาที่เคยรักใคร่สนิทสนม ครอบครัวสามคนที่เคยมีความสุขกันมาก่อน ก็ได้พังพินาศลงมาจริง ๆ ได้แล้ว!
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เธอถึงได้เข้าใจทั้งหมด
“ซูหยวนในฐานะที่ฉันเป็นผู้อาวุโส ฉันก็ไม่ควรที่จะทำลายแม่ของเธอต่อหน้าเธอ แต่ว่าเธอก็โตขนาดนี้ และก็รู้จักความรักระหว่างหนุ่มสาวแล้ว ถ้าหากว่าแม่เธอรักพ่อของเธอจริง ๆ ถ้างั้น แล้วทำไมถึงได้แต่งานใหม่กับคนอื่น ในระยะเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว?” อานโล๋พูดขึ้น
สีหน้าของซูหยวนขรึมลงไปหลายเท่าในพริบตา
ที่จริง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือว่าความจริง เธอก็เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว
ก็เหมือนอย่างกับที่ประธานจางได้พูดไว้ทั้งหมด ซูย้าวถึงจะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของซูป๋อลอน ตัวเองก็เป็นแค่ลูกที่ซัวฉ่ายลี่เล่นชู้กับคนอื่นแล้วคลอดออกมาเท่านั้น!
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เล็กจนโต บิดาก็แค่ดีกับเธอแค่ภายนอกเท่านั้น กับซัวฉ่ายลี่ก็แค่แสดงละครกันเท่านั้น จนกระทั่งเขากับอานโล๋กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง……
ความแค้นระหว่างคนรุ่นก่อน เธอไม่อยากจะไปสืบเสาะและไปพูดคุยแล้ว แล้วก็รีบสลัดความมืดขรึมในดวงตาออกไป แล้วเธอก็พูดขึ้นอีกว่า “เรื่องของพวกคุณ ฉันไม่สน และฉันก็ไม่อยากจะถามเรื่องที่คุณแกล้งบ้าอยู่ที่สถานพักฟื้น น้าอาน ซูย้าวอยู่ที่ไหน?”
“เธอจะหาลูกสาวฉันทำไม?”
ซูหยวนยิ้มเย็น ในตอนที่ยืดตัวตรงนั้น อยู่ความเกลียดแค้นในใจก็พุ่งขึ้นมา แล้วพูดโหดเหี้ยมขึ้น “ดูบริษัทซูซื่อตอนนี้ซิ ลุงเซียวโดนจับแล้ว และติดหนี้มหาศาล อาจจะล้มละลายได้ทุกเมื่อ ซึ่งเรื่องทั้งหมดของทั้งหมดนี้ ก็เป็นสิ่งที่ซูย้าวทำขึ้นมาทั้งนั้น! คุณว่าฉันจะมาหาเขาทำไมล่ะ?”
“เรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าสองผัวเมียซัวฉ่ายลี่และเซียวควนหาเรื่องใส่ตัวเองทั้งนั้น จะมาโทษย้าวย้าวไม่ได้” อานโล๋ปกป้องลูกสาวของตัวเอง สาวตาที่เย็นเฉียบไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด
ซูย้าวกลับพูดขึ้น “หาเรื่องใส่ตัวเหรอ? งั้นฉันล่ะ? ฉันก็โดนซูย้าวทำให้ซวยไปด้วยเลยนี่!”
ชื่อเสียงป่นปี้ ภาพหลุดของก่อนหน้านี้ก็ยังไม่จางหาย ไม่ว่าซูหยวนจะเดินไปถึงไหน ก็จะโดนคนซุบซิบนินทาต่าง ๆ นานา ยิ่งติดต่อกันไม่ขาด
อานโล๋ยักคิ้วขึ้นทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “หยวนหยวน ถ้าไม่ทำเรื่องไม่ดีก็ไม่ต้องกลัวผีมาเคาะประตู ในเมื่อเธอกล้าทำแล้ว ทำไมถึงไม่กล้ารับผิดชอบล่ะ? คนเรานั้นต่างก็ทำผิดด้วยกันได้ แต่ว่ารู้ว่าผิดแล้วแก้ไขก็พอแล้ว”
“มันสายไปแล้ว!” ซูหยวนระเบิดออกมาในที่สุด ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนกับสัตว์ที่ร้องโหยหวน จนทำให้เด็กตกใจร้องแว้แว้ขึ้นมาอีก
พอลี่เจิ้งร้องไห้ขึ้นมา ในใจของอานโล๋ก็เหมือนอย่างกับโดนเข็มทิ่มแทงยังไงอย่างงั้น และก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดจนโกรธเคืองว่า “สิ่งที่เธอควรจะทุบก็ทุบไปแล้ว ควรจะโวยวายก็โวยวายไปแล้ว ยังอยากจะทำอะไรอีก? ซูหยวน เชิญเธอออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!”
“ออกไปเหรอ? มีสิทธิ์อะไร? ถ้าหากว่าคุณไม่บอกมาว่าซูย้าวไปไหนแล้ว วันนี้ฉันจะ……”
คำพูดของเธอยังไม่จบ สายตาก็ไปตกอยู่ที่เสี่ยวเจิ้งเอ๋อที่อยู่ในอกของอานโล๋ เด็กร้องไห้โวยวายไม่ยอมหยุด เสียใจจนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
อานโล๋เองก็เหมือนกับว่าพอจะเดาความคิดของเธอออกแล้ว แต่ว่าคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็น จะสามารถเปรียบเทียบความเร็วของการตอบสนองกับซูหยวนที่เป็นคนร่างกายแข็งแรงได้อย่างไร?
ซูหยวนคว้าทีเดียวก็แย่งเจิ้งเอ๋อที่อยู่ในอกของเธอไปได้ และบีบแขนเล็ก ๆ ของเด็กไว้อย่างไม่ประสงค์ดี “มองเห็นเด็กร้องไห้แล้วคงจะไม่สบายใจมากเลยซิ? อานโล๋ บอกฉันมาว่าซูย้าวอยู่ที่ไหน? ฉันก็จะปล่อยเจ้าเด็กนอกคอกนี่ไป!”
“แกเป็นลูกที่เกิดจากย้าวย้าวกับลี่เฉินซี เธออย่าเอาแต่พูดว่าเด็กนอกคอกคำแล้วคำเล่า!” อานโล๋โกรธจนควันออกปากออกจมูกแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่ตอนนี้ตัวเองยังลุกขึ้นยืนไม่ได้ เธออยากจะพุ่งเข้าไปตบเธอสักไม่กี่ฉาดจริง ๆ!
“ใครจะไปรู้ว่าตกลงแกเป็นลูกที่ซูย้าวมีกับพี่เฉินซีจริง ๆ หรือเปล่า? หรือว่ามีกับผู้ชายเถื่อนคนอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้? ในเมื่อพี่เฉินซีก็ไม่ได้ชอบเขา บางทีอาจจะไม่อยากจะแตะต้องตัวเขาด้วย ก็ไม่แน่!”
ซูหยวนยิ้มเรียบ ๆ ขึ้น ที่ริมฝีปากแฝงไปด้วยการดูถูกอย่างพึงพอใจ และก็ พูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อคุณรักและเอ็นดูลูกสาวที่รักของคุณขนาดนี้ งั้นก็จะให้คุณได้สมปรารถนา งั้นก็มาชดใช้แทนลูกสาวคุณซะดี ๆ ละกัน!”
สายตาของอานโล๋กระตุกขึ้น ไม่รอให้ตั้งตัวได้ ซูหยวนก็โบกมือให้ข้างหลังเล็กน้อย ปากก็ออกคำสั่งไปว่า “ยกผู้หญิงแก่คนนี้ขึ้นรถ!”……
แต่ที่ข้างหลังกลับไม่มีคนตอบสนอง เธอหันหลังกลับไปดู แล้วพบว่างเปล่าไม่มีใคร
คนสิบกว่าคนเมื่อกี้ล่ะ?
ซูหยวนกำลังหงุดหงิดว่าคนพวกนั้นไปไหนแล้ว อยากจะออกไปตามหา แต่ปรากฏว่าคนยังไม่ทันได้เดินไปถึงทางเข้า ก็โดนรูปร่างสูงใหญ่ของคนที่เข้ามาจากข้างนอกคนหนึ่งสกัดกั้นเอาไว้แล้ว
พอเห็นว่าเป็นลี่เฉินซี ซูหยวนก็ตกใจจนสูดอากาศเย็น ๆ เข้าไปทีหนึ่ง แล้วก้ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างอัตโนมัติ “พี่ พี่เฉินซี?”
“คุณมาได้ยังไงกัน? ฉัน……”
ซูหยวนร้อนรนขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ที่จริงพอมองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของลี่เฉินซี กลิ่นอายความโหดเหี้ยมทั้งตัวก็ยิ่งทำให้คนกลัว ดวงตาดำที่ลึกก็ปกคลุมไปด้วยความเหี้ยมโหดไว้ตั้งนานแล้ว น่ากลัวอย่างกับปีศาจที่เดินออกมาจากนรก
“ฉันเพียงแค่……เพียงแค่มาหาซูย้าวเท่านั้น! ฉัน……”
ยังไม่รอคำพูดของเธอพูดจบ เด็กในอ้อมกอดก็ร้องแว้ขึ้นอีกคำ ร้องได้หนักยิ่งกว่าเก่าอีก
อานโล๋ปวดใจจนเคลื่อนหมุนรถเข็น แต่กลับโดนของวุ่นวายที่อยู่บนพื้นมาขัดไว้ จึงได้แต่พูดขึ้นว่า “ซูหยวน เธอวางเด็กลงก่อน!”
สายตาของลี่เฉินซีมองที่ลูกชายที่อยู่ในอกของซูหยวน และก้าวเดินขึ้นหน้า มือใหญ่ที่เยือกเย็นคว้าทีหนึ่งก็เอาลูกออกมาจากอกเธอและเอามาอุ้มไว้ ชายหนุ่มที่ใส่สูทรองเท้าหนัง แล้วอุ้มเด็กผู้ชายที่ตัวไม่โตนักคนหนึ่งไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างแข็งแรง ใบหน้าที่ขรึมเย็นเมื่อกี้ได้โดนความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่ตั้งนานแล้ว และกล่อมเบา ๆ ขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เด็กดี อย่างร้องนะ!”
เจิ้งเอ๋อก็เป็นเด็กดีเชื่อฟังมากจริง ๆ แค่อยู่ในอกของพ่อไม่กี่วินาที ก็หยุดร้องโวยวายแล้ว
จากนั้นลี่เฉินซีก็เงยหน้าขึ้น แล้วก็เป็นความเหี้ยมโหดที่สูงส่งอีกครั้ง “ลูกนอกคอกเหรอ? ซูหยวนเธอใช้ศัพท์แบบนี้ มาเรียกแทนลูกชายของฉันเหรอ?”