เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 128
บทที่ 128 เธอเดาไม่ออกเหรอ
อุบัติเหตุทางรถยนต์ ความเป็นความตายของชีวิต
การผ่าตัดที่น่าหวาดหวั่น
หลังจากเข้ารับการผ่าตัด เขาก็อยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลาเกือบ 40 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้น เป็นเรื่องปกติที่จิตใต้สำนึกจะเกิดอาการสับสน
แม้จะเป็นลี่เฉินซี ผู้ซึ่งสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึก และสติสัมปชัญญะได้ดี ก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเข้าลืมตาขึ้น ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้ ยังคงเป็นเป็นภาพที่อยู่ในช่วงการระเบิด เขากอดผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่น ในหัวมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือจะไม่มีทางปล่อยให้หานฉ่ายหลิงได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด!
เพราะอย่างนั้น เมื่อได้สติ ชื่อแรกที่พูดออกมา จึงเป็นชื่อของหานฉ่ายหลิง
เขาเรียกอยู่พักหนึ่ง คอยถามถึงอาการบาดเจ็บของหานฉ่ายหลิงอยู่ตลอด เผยให้เห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายในใจ
ซูย้าวที่ยืนอยู่ข้างเตียง เธอมองเขาอย่างว่างเปล่า ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘ฉ่ายหลิง’ หัวใจของเธอก็เจ็บเหมือนมีดกรีดแทง
ลี่เฉินซีหมดสติไปในช่วงเวลาสั้นๆ และไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆเป็นใคร คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเป็นปม “เธอเองหรอกเหรอ ซูย้าว เธออยู่ที่นี่มาตลอดเลยงั้นเหรอ”
คำพูดอู้อี้ มันแผ่วเบาและไร้ซึ่งความรู้สึก
ซูย้าวพยักหน้า และไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอใช้ภาษามือสื่อความว่า “ฉันจะออกไปเรียกคุณหานให้เข้ามา คุณรอสักครู่!”
เมื่อภาษามือที่สื่อไปสิ้นสุด เธอก็เดินออกไป
ลี่เฉินซีอ้าปาก แต่กลับไม่มีเสียงพูด
เมื่อออกจากห้องผู้ป่วย ซูย้าวรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินที่หนักอึ้งกดทับหัวใจของเธอจนอึดอัด แทบจะหายใจไม่ออก
ส่วนหานฉ่ายหลิงที่เดินออกมาจากวอร์ด เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินมาจึงเดินเข้าไปถาม “เธอเป็นอะไรไป สีหน้าดูไม่สู้ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่า”
ซูย้าวรีบปรับอารมณ์ของตัวเองทันที เธอส่ายหน้าพลางใช้ภาษามือ “เขาตื่นแล้ว อยากเจอเธอ เข้าไปหาเขาเถอะ!”
“คือว่า……”
แม้ว่าในใจของหานฉ่ายหลิงจะอดใจอยากเข้าไปหาลี่เฉินซีจนแทบไม่ไหว แต่ด้วยเหตุผลที่ต้องควบคุม เธอจึงเม้มปากด้วยความลังเล
ซูย้าวจับมือขอเธอพลางดันไปข้างหน้า ส่งสัญญาณให้เธอรีบเข้าไป
หานฉ่ายหลิงพยักหน้าและกล่าว “ขอบคุณ” ก่อนจะเปิดประตูและเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ทางเดินกว้างที่เงียบสนิท ซูย้าวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ม้านั่งคนเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆริมฝีปากก็ยกยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูเบื่อหน่ายกับตัวเอง
ตั้งแต่ที่ได้ยินว่าเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็ไม่ได้ไปไหน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ได้กลับไปหาลูกชาย เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างงี่เง่า
บางทีในโลกนี้ สิ่งเดียวที่เธอใส่ใจ ผู้ชายคนเดียวที่จะเป็นห่วงเป็นใยเธอในอนาคต มีเพียงลี่เจิ้งเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูย้าวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอหยิบกระเป๋าเตรียมจะลงจากตึก
เพียงแค่เดินไปที่ลิฟต์ ประตูก็เปิด เพ้ยส้าวอีก้าวออกมาด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม เมื่อเห็นซูย้าว ใบหน้าที่ไม่แยแสก็เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
“ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งสองวัน คงจะลำบากมากสินะ!” เขาก้าวเข้ามาใกล้เธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
น่าเสียดายที่ความอ่อนโยนที่หาได้ยากนี้ เป็นสิ่งที่เธอไม่สนใจ
เพ้ยส้าวอีเองก็ไม่สนใจเช่นกัน ทันใดนั้น ก็คว้ามือของเธอไว้พลางดึงซูย้าวเข้าไปในลิฟท์
ซูย้าวตกใจ เธอสลัดมือหลุดออกจากมือของเขา ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาที่ชั้นหนึ่ง ในพื้นที่แคบ ๆนี้ เธอไม่มีที่ให้หลบหนี อีกทั้งเธอเองก็ไม่ต้องการหนี เพียงแค่รักษาระยะห่างให้ไม่ดูแย่เท่านั้น
เพ้ยส้าวอีมองเธออย่างสนใจด้วยสายตาที่มีรอยยิ้มอยู่ในนั้น
“คุณสนใจจะไปดื่มกาแฟด้วยกันไหม” เธอเสนอ
เห็นได้ชัดว่า ต่อให้ซู่ย้าวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็จะลากเธอเข้าไปในร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาลอยู่ดี
หลังบ่ายสองโมงเป็นเวลาทำงาน ที่ร้านกาแฟจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก เพ้ยส้าวอีเลือกที่ริมหน้าต่างและนั่งกับซูบย้าว สั่ง Blue Mountain สองแก้ว
ซูย้าวไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยพลางคิดจะรีบไป เธอใช้ภาษามือถามคำถาม “ประธานเพ้ยคะ สามีของฉันเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุ คนลงมือหลบหนี ที่บ้านยังมีเด็กเล็กอีกต่างหาก ไม่มีอารมณ์มานั่งดื่มกาแฟเป็นเพื่อนคุณที่นี่หรอกนะคะ คุณดื่มไปคนเดียวเถอะค่ะ!”
เมื่อพูดจบ ก็ลุกขึ้นพลางจะเดินต่อ แต่แล้วเสียงของเพ้ยส้าวอีก็ดังเข้ามาในหู…
“ถ้าคุณไปแล้วคุณจะเสียใจ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน!”
ซูย้าวขมวดคิ้วและหายใจเข้าลึก ๆ
เขาเล่นกับไฟแช็คโลหะที่ถืออยู่ในมือ พลางพูดติดตลก “ไม่อยากรู้เหรอ ว่าคนร้ายที่ชนรถของเฉินซีคือใคร”
ฝีเท้าของเธอหยุดชะงัก
วินาทีต่อมา เธอกลับไปนั่งที่เดิม ซูย้าวขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมพลางใช้ภาษามือถาม “คุณรู้เหรอ”
“แน่นอนสิ!” เพ้ยส้าวอีจงใจทำหน้าชอบกล
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในประเทศนี้ บริษัทที่แข็งแกร่งและสามารถเทียบเคียงกับบริษัทลี่ซื่อได้ ก็มีแต่กรุ๊ปเพ้ยซื่อเท่านั้น
เพ้ยซื่อมีเส้นสายที่จะเอาไว้สอบถามข้อมูลต่างๆเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ตาม มักจะมีหนทางและวิธีการเป็นของตัวเอง บางที เขาอาจจะรู้จริงๆว่าคนร้ายคือใคร
ความอยากรู้ของซูย้าวอยู่ในกำมือเขา เธอใช้ภาษามือถามอีกครั้ง “คุณรู้จริงๆเหรอ บอกฉันได้ไหม”
เขาส่ายหัวอย่างตรงไปตรงมา ยังคงเล่นกับไฟแช็คที่อยู่ในมืออยู่อย่างนั้น แกร๊ง-กึก เขาเปิดปิดไฟแช็คด้วยท่าทีที่ดูสบายๆ ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับการได้ยั่วความอยากรู้ของคนอื่น
จากนั้น เขาก็โน้มตัวมาด้านหน้า จิบกาแฟก่อนจากเอ่ยขึ้น “แต่ว่า ด้วยความฉลาดของซูย้าวแล้ว อาจจะหาตัวคนร้ายที่ลงมือเองก็ได้นี่!”
ตัวเขา?!
ไม่ผิดแน่ เขาต้องรู้อะไรบางอย่าง
และจากการสืบสวนของตำรวจและคนของบริษัทลี่ซื่อ อีกทั้งคำให้การของหานฉ่ายหลิงแล้ว ระบบปฏิบัติการของรถถูกแฮ็ก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รถเสียการควบคุมจนทำให้รถตกหน้าผา
ตราบใดที่สามารถเรียกกู้ข้อมูลของระบบได้ การตามรอยเพื่อไล่หาตัวคนร้ายก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ว่า…
จู่ๆก็มีประโยคหนึ่งผลุดขึ้นมาในหัวของเธอ ‘เธอควรจะรู้ไว้ ฉันต้องการแค่ผู้หญิงที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ไร้มลทิน สำหรับภรรยาแล้ว ถ้าซับซ้อนไป ก็ตัดทิ้ง !’
ลี่เฉินซีรู้แล้วว่าเธอคือคุณS คาดว่าเขาน่าจะคิดว่าตัวตนของเธอที่เป็นนักแฮ็กเกอร์นั้นคาดเดาได้ยาก ซึ่งเขาไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ และต้องการภรรยาที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาสักคน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นิ้วมือของซูย้าวก็กำเป็นหมัดแน่น
เพ้ยส้าวอีเห็นความกังวลที่ใบหน้าของซูย้าว เธอถอนหายใจพลางเอ่ยอีกครั้ง “คุณไม่หาก็ไม่เป็นไร ระดมสมองของคุณ รวบรวมความคิด และคิดให้รอบคอบ ว่าคนร้ายจะเป็นใครไปได้”
คนที่รู้เรื่องงานเลี้ยงของพวกเขาที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นเมื่อคืนก่อน และสามารถตามเส้นทางของลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงได้ตลอดทาง อีกทั้งยังสามารถบุกรุกระบบปฏิบัติการได้อย่างง่ายดาย คนที่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ จะเป็นใครกันนะ
“วงการนี้จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ จะว่าเล็กก็ไม่เชิง คนที่สะสมความเกลียดชังไว้ จะมีสักกี่คนกันเชียว คุณลองเดาสิ จะเป็นใครไปได้” เพ้ยส้าวอีค่อยๆเผยออกมาอย่างช้าๆ เหมือนอาวุธที่คอยปลุกปั่น กัดกร่อนสติสัมปชัญญะของเธอ
ซู่เหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รูม่านตาหดตัว นิ้วมือพลางชี้ไปที่เขา
“……”
เพ้ยส้าวอีนิ่งอึ้ง และดูเหมือนหมดคำจะพูด
“ผม?คุณคิดว่าเป็นผมงั้นเหรอ?” แต่แล้วจู่ๆก็เจอเข้ากับปัญหาใหญ่ ชั่วพริบตาที่รู้สึกราวกับว่าต่อให้กระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็ไม่สามารถลบล้างความผิดได้
ที่ห้องผู้ป่วยชั้นบนในเวลานี้ หานฉ่ายหลิงนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความรู้สึกอึดอัด มือที่บอบบางถูกเขาจับไว้แน่น ความใกล้ชิดเช่นนี้ ทำหเธอรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ
ในขณะที่ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่นั้น จู่ๆหวางอี้ก็เคาะประตูและเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย
ทันทีที่เห็นฉากตรงหน้า ก็รู้สึกเก้ๆกังๆขึ้นมา “เอ่อคือ…ประธานลี่ คุณหาน ขอโทษครับ!งั้นผมออกไปก่อน… ”
ขณะที่กำลังหันตัวกลับ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของลี่เฉินซีดังขึ้น “ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ!”
หวางอี้หันตัวกลับมา ก็เห็นว่าบอสยังคงจับมือของหานฉ่ายหลิงอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นบัญชาสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
สายตาของเธอลดต่ำ ในมือถือเอกสารที่ตรวจสอบพลางยื่นไปให้เขา เธอเอ่ย “ฉันได้ตรวจสอบหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ มีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง…”
“อะไร”
“ประธานลี่ คุณหาน ถ้าหากเป้าหมายที่แท้จริงของผู้ร้ายไม่ใช่พวกคุณสองคน แต่เป็นคนอื่นล่ะครับ”
ลี่เฉินซีตะลึง “คนอื่นงั้นเหรอ”
หวางอี้รีบพูด “ใช่ครับ อาจจะเป็นนายหญิงส้าว”