เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 129
บทที่ 129 เธอไม่เข้าใจ
ขณะที่หวางอี้พูดออกมา ลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงต่างก็ตกตะลึง
เขาหยิบเอกสารขึ้นมาดูรายละเอียด ส่วนหานฉ่ายหลิงเองก็ดูจะแปลกใจ “หวางอี้ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ซูย้าวเป็นคนจิตใจดี ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจกับใคร และจะมีศัตรูได้ยังไงล่ะ”
“คุณหาน ประธานลี่ครับ ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีมูลความจริงนะครับ ตำรวจเองก็กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่!” หวางอี้พูด
ในบรรดาเอกสารที่ลี่เฉินซีกำลังดูอยู่นั้น มีแบบจำลองรถที่ลู่ส้าวหลิงขับในคืนนั้น มันเป็นแบบเดียวกับโรลส์รอยซ์ของลี่เฉินซี
เป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นระดับสากล โดยเมื่อลี่เฉินซีถอยรถนี้ออกมา ลู่ส้าวหลิงเองก็ชอบเช่นกัน จึงสั่งให้เขาเพิ่มอีกคัน
ในประเทศจึงมีเพียงแค่สองคันเท่านั้น
ในวันนั้น ลู่ส้าวหลิงตั้งใจจะพาซูย้าวไปด้วย
เพราะรถรุ่นเดียวกัน จึงเป็นไปได้ที่คนร้ายอาจจะสับสน
อีกทั้งเมื่อมองจากระยะไหล ภายในรถยังเป็นชายหญิง ลักษณะของซูย้าวและหานฉ่ายหลิงเองก็คล้ายคลึงกัน ลี่เฉินซีและลู่ส้าวหลิงเองก็ไม่ต่าง ทั้งคู่สูงร้อยแปดสิบเจ็ดเหมือนกัน ไม่อ้วนไม่ผม อีกทั้งยังสวมชุดสูทสีเข้มเหมือนกันอีกต่างหาก
แต่เมื่อตัดสินจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ดูจะมีมูลเหตุ อีกทั้งทางฝั่งตำรวจก็มีหลักฐานมากมาย
หวางอี้พูดขึ้น “คนของเรา และคนของฝั่งตำรวจได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วครับคุณหาน แต่ก็ไม่พบศัตรูที่ไหนเลย”
ในแวดวงนี้แล้ว บริษัทHSไม่นับว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่โตมากนัก เป็นเพียงองค์กรขนาดกลางธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นประธานหานหรือหานฉ่ายหลิง ในแง่ของธุรกิจ ล้วนยึดมั่นในหลักของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องของธุรกิจหรือสัญญาใด
หรือถึงขั้นที่ว่าคับแค้นใจจนถึงจุดคิดจะฆ่าแกงกัน
สำหรับลี่เฉินซีแล้ว แม้บริษัทลี่ซื่อจะมีขนาดใหญ่โต สร้างศัตรูไว้นับไม่ถ้วน แต่ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทลี่ซื่อ แม้ว่าจะมีคนคิดอยากจะทำอะไรจริงๆก็ตาม แต่ก็ไม่กล้าทำโจ่งแจ้งเช่นนี้
หวางอี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่ามีประโยคหนึ่งติดอยู่ที่คอของเธอ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันออกมาดีไหม
ลี่เฉินซีมองดูเอกสารที่อยู่ในมือ เขาสังเกตเห็นท่าทีของหวางอี้จึงเงยหน้าขึ้นพูด “นายอยากพูดอะไรก็พูดออกมาสิ!”
เขาถึงได้กล้าพูดออกมา “ประธานลี่ครับ คุณเคยพิจารณาไหมครับ ว่าถ้าหากเป้าหมายของคนพวกนั้นคือนายหญิงส้าว อย่างนั้นแล้วบริษัทซูซื่อ ก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ที่สุด”
ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น!
หานฉ่ายหลิงตกตะลึง เธอกล่าว “ไม่หรอก!ทางฝั่งบริษัทซูซื่อน่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นญาติของซูย้าวหรอกเหรอ จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง”
เมื่อพูดออกมาเช่นนั้น หวางอี้เองก็ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร
ลี่เฉินซีไม่สนใจร่างกายของตัวเองพลางลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ย “เธอไม่เข้าใจ”
หานฉ่ายหลิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทซูซื่อในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซูย้าว จากคุณหนูรองที่อยู่ดีมีความสุขจากตระกูลซู กลับกลายมาเป็นผู้หญิงใบ้ที่โดดเดี่ยวอย่างทุกวันนี้
เมื่อลี่เฉินซีลุกขึ้นนั่ง เธอก็รีบห้ามไว้ “นายเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จได้ไม่นาน การเคลื่อนไหวอาจจะทำให้ปากแผลเปิดได้นะ!รีบนอนลงเลย!”
หานฉ่ายหลิงพูดพลางดึงเขาให้นอนลงด้วยแรงที่มากพอ
ลี่เฉินซีก็คือคนป่วยคนหนึ่ง ร่างกายยังคงอ่อนแอ อีกทั้งไม่ทันตั้งตัว จึงถูกเธอดึงจนล้มลงอย่างง่ายดาย เขานอนลงอีกครั้ง พลางรู้สึกเวียนหัว คิ้วหนาขมวดขึ้นเป็นปมแน่น
“ฉันไม่เป็นอะไร” เขาพูดเสียงเข้ม
“ไม่เป็นอะไรที่ไหนล่ะ ไม่ว่าตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่นายต้องทำก็คือนอนอยู่ที่นี่นิ่งๆ!” เธอพูดกำชับ
คนพูดไม่มีเจตนา แต่คนฟังจำใส่ใจ
หวางอี้ที่ฟังอยู่อีกด้านหนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดถึงนั้นอาจจะหลวมตัวไปหน่อย จึงรีบขอโทษและหยิบเอกสารก่อนจะออกไป
เดินได้ไม่กี่ก้าว ลี่เฉินซีก็เรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน…”
เมื่อได้ยิน หวางอี้ก็รีบหันตัวหลับ “ประธานลี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“นายส่งคนไปตรวจสอบบริษัทซูซื่ออีกทีสิ ตรวจสอบการเดินทางของซัวฉ่ายลี่และแม่ของซูหยวนในสองสามวันที่ผ่านมา รวมทั้งการนัดพบด้วยว่าเจอใครบ้าง ถ้าหากไม่มีอะไรน่าสงสัยก็แล้วไป แต่ถ้ามี ให้รีบมารายงานฉัน!” เขาพูด
หวางอี้พยักหน้ารับ “ครับท่าน!”
ดวงตาที่ลึกล้ำของลี่เฉินซีดูมืดครึ้ม เขาลืมบริษัทซูซื่อไปได้อย่างไร คนพวกนั้นจ้องจะตะปบบริษัทลี่ซื่อและซูย้าวมาโดยตลอด…
ที่ร้านกาแฟชั้นล่าง ซูย้าวไม่อยากจะเสียเวลาอยู่กับเพ้ยส้าวอีไปแม้แต่วินาทีเดียวอีกต่อไป เมื่อดื่มกาแฟแก้วใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าจนหมด เธอก็ใช้ภาษามือเอ่ยอีกครั้ง “ขอบคุณประธานเพ้ยนะคะสำหรับกาแฟ!”
หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไป
ส่วนเพ้ยส้าวอีเองก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับกาแฟอีกต่อไป หลังจากชำระเงินเสร็จก็เดินตามเธอออกนอกร้านไป
“เธอยังไม่ได้คิดเลย ว่าการที่เขาประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ อาจเป็นเพียงการรับเคราะห์แทนก็ได้นะ”
เพ้ยส้าวอีก้าวเท้ายาว พลางกระซิบขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้เธอ
ซูย้าวขมวดคิ้วแน่น รับเคราะห์แทน?ลี่เฉินซีเนี่ยนะ
ทันใดนั้น หัวใจของเธอก็กระตุก จู่ๆก็นึกบางอย่างได้
ถ้ามื้อค่ำในเย็นวันนั้น ไม่ใช่เพราะจู่ๆลู่ส้าวหลิงก็พาเธอไป เหตุการณ์ในวันนั้น ก็น่าจะเป็นลี่เฉินซีและเธอที่อยู่ในรถคันนั้น อย่างนั้นแล้ว คนที่ถูกรถชนก็คือเธอ!
เมื่อเห็นตาใสๆของเธอ ที่มุมปากของเพ้ยส้าวอีก็ยกยิ้มขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ร้านกาจ อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่เย้ยหยัน
“เขารับเคราะห์แทนใครกันนะ”
ทุกอย่างล้วนมีความหมายซ่อนอยู่!
ซู่เหยาหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ ดูเหมือนว่าเธอจำเป็นต้องกลับไปตรวจสอบอีกครั้ง
ไม่รอให้เธอได้หลุดพ้นความพัวพันของเพ้ยส้าวอี เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยก้ดังมาแต่ไหล…
“ซูย้าว!”
เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วหันไปสบตากับเสียงนั้น ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน ร่างสูงของหลินโม่ป่ายก้ปรากฏขึ้น ภายใต้แสงแดดทำให้เธอมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด แต่ก็สามารถแยกแยะได้จากความคุ้นชิน
เมื่อมีคนปรากฏตัว ความสนใจของเธอก็ถูกดึงดูดไปจนหมด ริมฝีปากของเพ้ยส้าวอียังคงยกยิ้มพลางกระซิบข้างใบหูเธอ “ดูเหมือนว่า จะมีคนที่ใส่ใจเธอมากกว่าฉันซะอีก!ซูย้าว ไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะ!”
ลมหายใจอุ่น ๆ รดที่ใบหูของเธอ ลมหายใจที่แผ่ละเลง ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ซูย้าวอดที่จะสะท้านไปทั้งตัวไม่ได้ ราวกับถูกไฟช็อต
ไม่รอให้เธอตอบกลับ หลินโม่ป่ายก้ข้ามทางม้าลายมาถึงแล้ว มาหยุดตรงหน้าเธอ สายตาพลางมองไปที่เพ้ยส้าวอีที่กำลังขึ้นรถ ก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เขามาหาเธอทำไมเหรอ”
ซูย้าวถอนหายใจอย่างจนปัญญา ใช้ภาษามือตอบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก โม่ป่าย นายกลับมาแล้ว!”
เขาพยักหน้า ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ กว่าจะยื่นขอส่งตัวกลับประเทศได้นั้นไม่ง่ายเลย เมื่อลงจากเครื่องบินแล้วได้ยินว่าที่บริษัทลี่ซื่อเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับซูย้าว แต่หลินโม่ป่ายก็อยากจะมาดูด้วยตาของตัวเอง
“เธอไม่ได้อยู่กับเขาตอนที่รถชนเหรอ” เขามองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย
ในแววตาของเขา เธอสามารถเห็นได้ถึงความรัก ความอ่อนโยน ความหลงใหล และความพิถีพิถันที่อยู่ในนั้นทั้งหมด
แน่นอนว่าการชอบใครสักคน สามารถมองเห็นได้จากดวงตา
ในสายตาของหลินโม่ป่ายนั้น สามารถเห็นเธอได้เพียงคนเดียว แต่ในสายตาของเธอ กลับเห็นเพียงเขาคนนั้น
เมื่อคิดดูให้ดี ความสัมพันธ์ของคนไม่กี่คน กลับซับซ้อนและน่าขำ
เธอส่ายหัวและเริ่มตอบคำถามของเขา “นั้นฉันไม่ได้อยู่ด้วย หานฉ่ายหลิงอยู่ข้างเขา แต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ฉันได้ยินมาวันตอนที่รถเกิดเหตุก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้ไปส่งเธอที่บ้านเหรอ” ดวงตาของหลินโม่ป่ายหรี่เล็กลง เมื่อค้นพบจุดสำคัญ
เธอใช้ภาษามืออธิบาย “ตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ส้าวหลิงเป็นคนไปส่งฉันน่ะ”
“ลู่ส้าวหลิง?” หลินโม่ป่ายพึมพำเบาๆ ตอนนี้มีลู่ส้าวหลิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่แปลกที่เมื่อเกิดรถชนขึ้น การตรวจสอบของตำรวจจึงไม่เป็นไปได้ด้วยดี
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บุคคลภายนอกจะตรวจสอบความคับข้องใจส่วนตัวของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย
ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ที่ที่ไหลออกมา รถสปอร์ตสีแดงคันเล็กหยุดที่ทางเข้าโรงพยาบาล ซูหยวนลงจากรถอย่างมีเสน่ห์