เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 130
บทที่ 130 ฉันมีประโยคหนึ่งที่อยากจะบอกกับเธอ
“ว้าว สมกับที่เป็นคู่รักกันตั้งแต่เด็กจริงๆ มีความรู้สึกให้กัน โดยไม่กลัวคนอื่นเขาเอาไปซุบซิบนินทา อยู่ด้วยกันแบบโจ่งแจ้งขนาดนี้ ไม่รู้สึกไม่สบายใจบ้างเหรอ”
ซูหยวนมองไปที่หลินโม่ป่ายและซูย้าว ทันใดนั้นริมฝีปากสีแดงชาดก็พ้นคำพูดเย้ยหยันออกมา
เธอเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด โดยนิสัยของเธอไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว แทนที่จะพูดว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมา มันจะดีกว่าที่จะบอกว่าเธอเป็นคนใจร้ายที่มักจะใช้คำพูดทำร้ายคนอื่น
หลินโม่ป่ายไม่รู้สึกยินดีกับการมาของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย “ซูหยวน เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ทำอะไร?” เมื่อซูหยวนได้ยินคำพูดที่น่าขำ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดซ้ำอีกครั้ง “แน่นอนว่ามาเยี่ยมพี่เขยที่น่าสงสารของฉันไง!”
เธอจงใจอธิบายอย่างเน้นน้ำเสียง ก่อนจะหยุดและพูดต่อ “พี่เฉินซีทั้งหล่อและมีความสามารถขนาดนั้น ไม่ว่าใครในประเทศก็ต่างอยากแต่งงานด้วยกันทั้งนั้น แต่คนบางคนกลับไม่รู้ว่าต้องดูแลสามีที่ดีแบบนี้ยังไง วันๆเอาแต่คิดจะลักกินขโมยกิน!ประเจิดประเจ้อ !”
ซูย้าวใจกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดที่เหน็บแหนม แต่เธอได้ยินมันบ่อยจนชินไปแล้ว จึงเพียงแค่หลับตาลง และคิดจะเพิกเฉย
แต่ซูหยวนจะปล่อยให้เธอทำสำเร็จได้อย่างไร “นี่ พี่บอกมาสิว่าพี่ยังมีอะไรที่ไม่พอใจอยู่อีก มีพี่เฉินซีอยู่ทั้งคน ยังจะคบกับหลินโม่ป่ายอีก ยังไง ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้ลู่ส้าวก็ติดกับพี่นี่ ใช่ไหม”
เมื่อพูดจบ ซูหยวนก็หัวเราะคิดคัก เสียงหัวเราะที่ไพเราะนั่น กลับเป็นเหมือนพิษงูที่ร้ายแรงและพุ่งตรงมายังหูของซูย้าว
“ลู่ส้าวหลิงแย่จะตายไป!แม้แต่ของมือสองพี่ก็ต้องการงั้นเหรอ”
ซูหยวนหัวเราะเยาะ เธอกลอกตาพลางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อ๋อ ลืมไปเลย พี่มันของมือสาม!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็จงใจยกมือขึ้นมานับนิ้ว เพื่อปั่นประสาท
หลินโม่ป่ายไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป เขาก้าวไปคว้ามือของซูหยวนไว้ พลางพูดเตือนอย่างแข็งกร้าว “พอซะที!เก็บคำพูดดูถูกของเธอไว้เถอะ ซูหยวน อย่าทำไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปหน่อยเลย!”
“ว้าว นี่คือน้ำเสียงที่นายพูดกับฉันงั้นเหรอ” ซูหยวนดูจะผิดหวังเล็กน้อย เธอกระพริบดวงตา “ทำไมเมื่อก่อนฉันจำได้ว่าไม่ใช่แบบนี้นะ ตอนที่ซูย้าวแต่งงาน ใครกันที่ดื่มจนเมา กอดฉันแล้วก็ตะโกน ‘ย้าวย้าว’ กันนะ”
ราวกับกำลังแตะต้องข้อห้ามและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจของหลินโม่ป่าย ชายหนุ่มสายตาแข็งกร้าว แรงที่จับข้อมือของเธอก็ทวีคูณขึ้น “ซูหยวน!”
“นายทำฉันเจ็บ!ปล่อย!” ซูหยวนตหวาดเสียงดัง
ใกล้ๆโรงพยาบาล มีแพทย์และผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย จู่ๆเธอก็เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำได้เพียงเดินเข้าไปตีมือของหลินโม่ป่ายเบาๆ ก่อนจะใช้ภาษามือเอ่ย “โม่ป่าย ปล่อยเธอได้แล้ว!”
“ซูย้าว…” หลินโม่ป่ายสะบัดมือของซูหยวน เขาหันตัวกลับ ใบหน้าสีขาวใสกลายเป็นหน้าซีดและดูเก้ๆกังๆ “ฉันอธิบายได้ ตอนนั้นฉันดื่มจนเมาไปจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับ…”
ไม่รอให้เขาได้พูดจบ ซูหยวนก็พูดแทรกขึ้นมา “ใครบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนที่นายดื่มจนเมา นายโอบเอวและก็จูบฉัน!”
หลินโม่ป่ายขมวดคิ้ว ใบหน้าที่หล่อเหลาดูเย็นชา “ซูหยวน เธอยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ เธอเป็นมียางอายอยู่ไหม”
ซูหยวนพูดเย้ยหยัน “แล้วใครใช้ให้นายมีแค่ซูย้าวคนเดียวในสายตากันล่ะ พวกเราก็โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ต่อให้นายจะไม่มีความรักแบบที่ผู้ชายจะมีให้ผู้หญิงกับฉัน อย่างน้อยความรักที่มีให้น้องสาวก็ไม่มีเลยงั้นเหรอ”
เธอเป็นคนขี้อิจฉา จึงจงใจใส่ไฟเพิ่มเข้าไปให้หลินโม่ป่ายโกรธ
“ก่อนหน้านี้ฉันทำไม่ดีกับเธอเหรอ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่ใช่น้องสาวงั้นเหรอ เป็นเธอเองที่ดูถูกซูย้าวครั้งแล้วครั้งเล่า ซูหยวน เธอโตแล้วนะ เลิกทำตัวเป็นเด็กๆซะทีจะได้ไหม!” หลินโม่ป่ายอดที่จะตำหนิไม่ได้
คำพูดเหล่านี้ไม่เข้าหูของซูหยวนอย่างแน่นอน เธอทำเหมือนหูทวนลม ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “ต่อให้ฉันจะทำตัวเป็นเด็กหรือยังไงก็ตาม อย่างน้อยฉันก้จะไม่ยอมให้ผู้ชายของฉันนั่งรถเที่ยวไปกับแฟนเก่าตลอดทั้งคืนแน่นอน ผู้ชายผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ซูย้าว พี่คิดว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะเกิดอะไรขึ้น”
“เธอ…หุบปาก!” หลินโม่ป่ายโกรธจนขีดสุด
แต่คำพูดของซูหยวน กลับเป็นเหมือนขนแปรงที่มาสะกิดแก้วหูของซูย้าวให้ตกใจ
ในรายงานข่าว กล่าวแค่ว่าลี่เฉินซีเกิดอุบัติเหตุรถชนเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดถึงหานฉ่ายหลิงที่บาดเจ็บ
นอกจากตำรวจและคนในบริษัทลี่ซื่อไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องว่าขณะที่เกิดเรื่องนั้น ลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงอยู่ด้วยกัน
อย่างนั้นแล้ว ซูหยวนรู้ได้อย่างไร
เธอไม่ได้เผยความสงสัยนี้ออกมาแม้แต่น้อย ซูย้าวยุติบทสนทนานี้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนการก่อกวนของซูหยวน และเรียกรถกลับบ้าน
เธอไม่ได้เจอแม่และลูกชายมาหลายวันแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาบ้านตระกูลลี่ อานโล๋เองก็ได้ยินข่าวเรื่องอุบัติเหตุ หลังจากที่อธิบายให้กับแม่อย่างละเอียดและปลอบขวัญแล้ว ซูย้าวก็อยู่เล่นกับลูกชายตลอดบ่าย
ตกดึก เธอรู้สึกอ่อนล้ามากเหลือเกิน เพราะเธอไม่ได้นอนเลย สองสามวันที่ผ่านมา ทันทีที่ทิ้งตัวลงนอนก็ผล็อยหลับไป
เมื่อหลับก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว แม้แต่ฝันก็ยังไม่ได้ฝัน
ลี่เฉินซียังคงอยู่ที่โรงพยาบาล กระดูกซี่โครงหัก เพราะเพิ่งจะได้รับการผ่าตัด อย่างนั้นก็ควรทำซุปสักหน่อย!
ซูย้าวยุ่งอยู่ในครัวตลอดช่วงเช้า เมื่อเป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆ เธอก็เก็บข้าวของและเรียกรถไปยังโรงพยาบาล
เธอกอดกล่องอาหารเอาไว้ในอ้อมแขน ข้างในเป็นซุปที่เธอปรุงอย่างถี่ถ้วนตลอดทั้งเช้า ลี่เฉินซีเองก็เป็นคนที่พิถีพิถันเรื่องอาหารอย่างมาก แถมยังเป็นคนเลือกกินอีกต่างหาก เธอรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
น้ำซุปต้องเคี่ยวอย่างช้าๆ ต้มนานกว่าสี่ชั่วโมง วัตถุดิบทุกชนิดเป็นของสดใหม่ที่สุดของฤดูกาล เธอต้องตื่นนอนตอนตีห้าและไปตลาดตอนเช้าตรู่เพื่อซื้อของ
เพราะไม่สามารถพูดได้ โดยปกติแล้วเรื่องพวกนี้พี่เลี้ยงจะมีคนดูแล แต่ในเวลานี้ เธอกังวลว่าพี่เลี้ยงจะขี้เกียจเกินกว่าจะหาวัตถุดิบที่สดใหม่ และทำให้เขาไม่อยากอาหาร
ใครๆก็บอกว่าก่อนที่จะจับผู้ชายสักคนได้ ต้องจับท้องของเขาให้อยู่หมัดซะก่อน
ซูย้าวทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่ผ่านมาหลายปีทำให้ทักษะการทำอาหารของเธอนั่นเยี่ยมยอด แต่น่าเสียดาย ที่เธอไม่ค่อยมีโอกาสแสดงฝีมือมากนัก
เธอออกมาจากลิฟต์พร้อมกล่องอาหารกลางวัน ก็พบกับเลขาหลี่ที่หน้าทางเข้าห้องผู้ป่วย อีกฝ่ายทักทายเธอด้วยความเคารพ เธอยิ้มตอบกลับเมื่อเขาพูดว่า‘นายหญิง’
สีหน้าของเลขาหลี่ ดูผิดวิสัยเล็กน้อย เธอภายในใจสั่นระรัว และเดินเข้าห้องผู้ป่วย VIP ไปอย่างไม่คิดอะไรให้มากความ
ประตูห้องผู้ป่วยไม่ได้ปิด
ซูย้าวยืนอยู่ที่หน้าประตู ขณะที่กำลังจะผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะต้องมาเจอกับฉากที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เธอจะไม่เลือกที่จะตื่นมาทำซุปแต่เช้า และมาโรงพยาบาลนี่เด็ดขาด
“อร่อยมาก เหมือนรสชาติเดิมที่เคยกินเลย” ลี่เฉินซีที่เอนกายอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว เขาดื่มซุปที่หานฉ่ายหลิงและอดไม่ได้ที่จะออกปากชม
หานฉ่ายหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างมองลงต่ำด้วยความเคอะเขิน “ก็แค่กระดูกหมูซีอิ๋วธรรมดาๆเอง!จะไปสู้ฝีมือเชฟได้ยังไง ต่อไปก็ให้เชฟที่บ้านทำให้ก็แล้วกัน!”
“ไม่ ฉันอยากดื่มที่เธอทำ” เขาดื่มน้ำซุปในชามอย่างช้าๆ จนหมด
หานฉ่ายหลิงรับชามเปล่าจากเขาพลางจะหันตัว แต่แล้วก็ถูกเขาคว้ามือเอาไว้ สายตาที่ลึกซึ้งของลี่เฉินซีเป็นประกาย ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยอย่างนุ่มนวล “ฉ่ายหลิง เธอฟังฉันนะ หลังจากที่ผ่านเรื่องราวนี้มาได้ ฉันมีประโยคหนึ่งที่อยากจะบอกกับเธอเป็นพิเศษ…”
ที่ด้านนอกประตู มือของซูย้าวที่ถือกล่องอาหารกลางวันที่นั่นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับเธอได้ยินบางอย่างที่ไม่ควรได้ยิน ดังก้องในหัวของเธอ