เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 131
บทที่ 131 ก็เป็นเช่นนี้
“หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นี้ ผมก็ได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง…..”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเฉินซี อาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดี ใบหน้ารูปงามที่ยังคงอ่อนเพลียจากอาการป่วย ริมฝีปากบางเผยอขึ้น เสน่ห์ที่ชวนหลงใหลยังคงมีความอ่อนล้าซ่อนอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะต้านทานเสน่ห์ที่เย้ายวนนั้นได้
หานฉ่ายหลิงประหลาดใจ หัวใจตึกๆได้หยุดเต้น แต่ก็กลับมาเต้นแรงขึ้นในพริบตา
ยอมให้มือใหญ่ๆของเขากุมจับมือน้อยๆของตัวเอง สัมผัสอุณหภูมิในร่างกายของเขา ช่างอบอุ่นจัง สุดถวิลหาความรู้สึกนั้นจริงๆ
เธอโหยหาทุกอย่างที่เป็นเขา หลับตาลง ภาพเก่าๆที่เคยคลอเคลียด้วยกัน ได้เข้ามาวนเวียนอยู่ซ้ำๆ
“ฉ่ายหลิง” ลี่เฉินซีเรียกชื่อเธอเบาๆ สองคำที่เปล่งออกมาจากปาก อ่อนโยนอยู่ที่ปลายลิ้น
จ้องมองดวงตาลุ่มลึกของเธอที่ส่องแวววาวเป็นประกาย
คำพูดวนเวียนอยู่ซ้ำๆที่ริมฝีปาก แต่กลับไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร
ลี่เฉินซีเป็นผู้ชายที่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เขาไม่เหมือนคนอื่นที่สามารถเอ่ยคำมั่นสัญญาออกมาได้อย่างง่ายดาย
เขาจะระมัดระวังการพูดการจาและการกระทำ เมื่อพูดออกมาแล้วจะต้องทำให้ได้ นี่คือปณิธานของเขา
เหมือนกำลังต่อต้านกับตัวเองอยู่ในใจ สุดท้ายคำพูดที่พูดออกมา ทำให้หัวใจของหานฉ่ายหลิงถึงกับสั่นขึ้นทันที
เขาพูดว่า “จำไว้ ไม่ว่าจะเวลาไหน คุณก็สำคัญที่สุดสำหรับผม!”
เพียงแต่….. ความสำคัญนั้น!”
หานฉ่ายหลิงค่อยๆหรี่ตาลง ความหดหู่ได้เกาะรวมกันอยู่เงียบๆที่ก้นบึ้งของหัวใจ
เป็นครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอให้คำมั่นสัญญากับซูย้าว รวมไปถึงการกล่าวคำขอโทษ แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเธอนั้นรักเขาสุดหัวใจ
ความรักมักไม่มีเหตุผล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความดีหรือความเป็นสุภาพบุรุษ
ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อรักคนคนหนึ่งแล้ว ก็ต้องการที่อยากจะครอบครอง อยากได้มา อยากครอบงำทุกสิ่งอย่างที่เป็นคนคนนั้น
หานฉ่ายหลิงก็เช่นกัน
ดังนั้นในใจเธอจึงสับสน ดิ้นรน และยิ่งไปกว่านั้นคือทุกข์ทรมาน
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ของเขา ความหดหู่ที่ยากจะปกปิดได้ปรากฏอยู่บนใบหน้า ผ่านไปสักพัก เธอถึงได้พูดขึ้นอย่างช้าๆ “ค่ะ เฉินซี สำหรับฉันคุณก็สำคัญเช่นกัน ดังนั้นต่อไปฉันจะไม่อนุญาตให้คุณทำแบบนี้เพื่อใครอีกแล้ว!”
เขาพยักหน้า แล้วกุมมือของเธอไว้แน่น
ด้านนอกห้องผู้ป่วย ซูย้าวได้ยินทุกคำพูดที่ไม่ควรได้ยิน จึงค่อยๆหันหลังไป ไม่อยากที่จะอยู่ต่อ และยิ่งไม่อยากจะยอมรับ ว่าความกลัวที่ไร้ขีดจำกัดกำลังจะผุดขึ้นอยู่ในใจ เธอกลัวว่าจะได้ยินคำพูดประโยคต่อไปของพวกเขา
ยิ่งไม่อยากให้รอยแผลของตัวเองที่มีอยู่ในใจ ถูกโรยด้วยเกลือแบบนี้อีกครั้ง
บางครั้งพวกเราก็มักจะเป็นแบบนี้ ยอมที่จะแสร้งทำเป็นโง่ อดกลั้นและอ่อนข้อเพื่อให้ทุกอย่างสงบ จะไม่ยอมทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้น
ขณะที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงจากตึก ก็ได้เจอเข้ากับโอวหยางเช่อ
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมสีขาว กลับจากการเยี่ยมคนไข้พร้อมกับนางพยาบาลคนหนึ่ง เมื่อเจอซูย้าวจึงรีบเข้าไปทักทาย “คุณซู ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะครับ!”
ซูย้าวที่จิตใจกำลังมะรุมมะตุ้ม ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไร จึงฝืนยิ้มให้เท่านั้น ตอนที่กำลังจะแยกจากไป ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นอีกว่า “เรื่องการผ่าตัด คุณได้คิดหรือยังครับ”
เมื่อพูดถึงการผ่าตัด เธอถึงนึกขึ้นได้ ในช่วงนี้เหมือนมีเรื่องต่างๆเข้ามารายล้อม จนทำให้เธอลืมเรื่องคอตัวเองไปเสียสนิท!
เธอรีบทำภาษามือขึ้นทันที “ต้องขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย จึงทำให้ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป ต้องขอโทษคุณหมอโอวหยางด้วยจริงๆค่ะ!”
โอวหยางเช่อส่ายหน้า “อย่าได้เกรงใจกับผมเช่นนี้เลย คุณเป็นคนไข้ของผม ยังไม่ต้องการผ่าตัดในช่วงนี้ก็ไม่เป็นไร หากคุณพร้อมเมื่อไรก็ติดต่อผมได้ตลอดเวลานะครับ”
เธอพยักหน้า
“ใช่แล้ว ถ้ายังไม่ผ่าตัดตอนนี้ อย่างนั้นทานยาจีนไปก่อนนะครับ สามารถช่วยต่อต้านสารพิษในร่างกายและเพิ่มภูมิคุ้มกัน มีประโยชน์และไม่เป็นอันตราย!” เขากล่าว
ซูย้าวชะงักขึ้น ยาจีนเหรอ เอากลับไปต้องต้มต้องตุ๋นอีก เกรงว่าจะไม่มีเวลา
เธอกำลังคิดจะปฏิเสธแบบอ้อมๆ แต่โอวหยางเช่อกลับแสดงความเป็นการเองแบบสุดๆ “คุณรออยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ ผมจะขึ้นไปเอาบนตึก แป๊บเดียว!”
เมื่อพูดเสร็จชายหนุ่มก็ก้าวเท้ายาวเดินขึ้นบันไดไป ไม่แม้แต่จะรอลิฟต์
ช่างเป็นคุณหมอที่ให้ความเป็นกันเองจริงๆ
แม้แต่นางพยาบาลที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็เกิดความอิจฉาขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “ฉันยังไม่เคยเห็นคุณหมอโอวหยางเป็นกันเองกับคนไข้คนไหนเช่นนี้เลย คุณซูช่างเป็นคนพิเศษจริงๆ!”
คำพูดที่แสนจี๊ดทำให้ซูย้าวยิ่งรู้สึกอึดอัดใจขึ้น
แต่ว่าโอวหยางเช่อได้ขึ้นไปหยิบยาจีนบนตึกแล้ว เธอไม่อาจสามารถเดินจากไปโดยไม่บอกกล่าวได้ ทำได้เพียงแค่ยืนรออยู่ตรงนี้
ในขณะที่รอนั้น ได้เห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุประมาณสามสี่ขวบ เดินพลัดหลงกับแม่ จึงยืนร้องไห้งอแงอยู่ตรงนั้น
ระยะห่างอยู่ใกล้กันกับซูย้าว เธอจึงเดินเข้าไปดู
ลูบศีรษะเด็กน้อยแล้วปลอบเธอให้หยุดร้องไห้ จากนั้นก็จูงมือน้อยๆของเธอเดินตามหาแม่
เมื่อซูย้าวเดินจากไป ประตูลิฟต์ก็ได้เปิดออก ซูหยวนเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ในมือถือผลไม้สด ปิ่นโตอาหาร และดอกลิลลี่สีสดใส
ในห้องผู้ป่วย หานฉ่ายหลิงนั่งปอกแอปเปิลอยู่ข้างๆ ลี่เฉินซีสามารถลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆได้แล้ว ในมือถือไอแพดกำลังเคลียร์งานของบริษัท
ซูหยวนได้ผลักประตูเข้ามาในเวลานี้พอดี ขณะที่เดินเข้ามา ก็พูดปากหวานฉอเลาะ “พี่เฉินซีขา…..”
ลากเสียงยาว และสายตาก็เหลือบไปเห็นหานฉ่ายหลิงที่อยู่ข้างๆ
ทันใดนั้น สีหน้าของซูหยวนก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ จึงได้พูดเสียงแหลมขึ้น “ที่แท้คุณหานก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
หานฉ่ายหลิงวางแอปเปิลลงทันทีแล้วยืดตัวตรง “คุณซูมาแล้วเหรอ รีบเข้ามาสิ!”
“ฉันมาเยี่ยมพี่เฉินซี!” ซูหยวนยืนอยู่ข้างเตียง แววตาเย็นชา ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า‘คุณหลบไป’ ”
หานฉ่ายหลิงก็ไม่ใช่คนโง่ ยิ้มจางๆแล้วรีบพูดขึ้น “คุณซูคุยกับเฉินซีเถอะ! ฉันมีธุระ ต้องขอตัวก่อน”
พูดจบก็รีบออกไปจากห้องผู้ป่วยทันที
เมื่อหานฉ่ายหลิงเดินออกไป ซูหยวนก็รีบหยิบผลไม้และดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นก็หยิบปิ่นโตออกมา “พี่เฉินซี ได้ข่าวว่าพี่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันตกใจแทบแย่! เมื่อวานได้มาเยี่ยมพี่ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เลขาหลี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เขาได้บอกว่าพี่พักผ่อนแล้ว ก็เลยไม่ได้เข้ามารบกวน”
ลี่เฉินซีมองเธอด้วยสายตาเย็นชาและไม่สบอารมณ์ พูดเพียงว่า “ตอนนี้ผมก็ต้องการจะพักผ่อนแล้ว!”
“…..”
ซูหยวนขบริมฝีปาก แล้วก็เปิดปิ่นโตออก จากนั้นพูดออดอ้อนขึ้น “อย่าเพิ่งสิคะ คนเขาเพิ่งจะมา พี่เฉินซีเดี๋ยวค่อยพักผ่อนนะคะ ลองชิมซุปฝีมือฉันที่ทำเองกับมือก่อน!”
“เธอทำเองหรอ” ลี่เฉินซีเลิกคิ้ว แววตาจ้องจับผิด
เธอจึงรีบพยักหน้า “ใช่ค่ะ ซุปนี้ตุ๋นตั้งแต่เช้าเลยนะคะ!”
ลี่เฉินซียิ้มเยาะอย่างเย็นชา ถ้าบอกว่าซูย้าวทำอาหารเป็น เขาก็จะเชื่อ ปลายจวักของหานฉ่ายหลิงก็ใช้ได้ แต่คุณหนูอย่างซูหยวน ที่ถูกเลี้ยงแบบลูกผู้ดีมีเงิน สิบนิ้วที่ไม่เคยสัมผัสกับงานบ้าน แล้วจะลงมือทำซุปเองได้อย่างไร!
ซูหยวนมองไม่ออกถึงความไม่เชื่อในดวงตาของชายหนุ่ม ยังคงตักออกมาถ้วยหนึ่งแล้วยื่นไปที่หน้าของเขา “พี่เฉินซี เดี๋ยวฉันป้อนให้นะ ลองชิมดูสิคะ!”
“ไม่ล่ะ ผมเพิ่งทานเสร็จ” ลู่เฉินซีบอกปัดไปอย่างใจเย็น แล้ววางแท็บเล็ตลง แล้วก็เอนตัวพิงที่หัวเตียง “ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ!”
ใบหน้ารูปงามเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ ราวกับว่าไม่เหลือความอดทนเต่อซูหยวนคนนี้แล้ว
เธอเบะปากอย่างน้อยใจ แล้วก็กัดริมฝีปากล่าง “เฉิน….”
คำพูดยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ก็ถูกลี่เฉินซีพูดดักขึ้น “ผมเหนื่อยแล้ว คุณกลับไปเถอะ!”
ง่ายๆ ตรงๆ
แม้แต่คำศัพท์ก็ไม่ต้องประดิดประดอย หางตาและหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความรำคาญ
การออดอ้อนของซูหยวนนั้นไม่เคยได้ผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอจึงไม่กล้าออเซาะต่อไปอีก และก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถือกระเป๋าแล้วจ้องมองเขา “อย่างนั้นพี่เฉินซีพักผ่อนนะคะ รอให้พี่ดีขึ้นแล้วฉันค่อยมาเยี่ยมพี่ใหม่!”
ตั้งแต่ที่เดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ซูหยวนก็อัดอั้นไปด้วยความโกรธ ไม่เห็นตัวหานฉ่ายหลิง ตรงกันข้าม ไกลออกไปนั้น กลับเห็นซูย้าวที่กำลังยืนอยู่กับเด็กน้อย เธอหยีตาขึ้นแล้วปรี่ตัวเดินเข้าไปทันที