เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 199
บทที่ 199 ฉันค่อนข้างจะสนิทกับเขา
เพราะอาหารเป็นพิษที่เกิดจากแป้งมัน ซูย้าวและโม่หว่านหว่านจึงต้องนอนโรงพยาบาลสองสามวัน โชคดีที่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ทำให้ไม่เป็นอะไรมาก
ร่างกายฟื้นฟูได้ดีและก็ได้เวลาออกจากโรงพยาบาล โดยสองสามวันมานี้นอกจากจะมีหลินโม่ป่ายคอยดูแล้ว ยังมีโอวหยางเช่ออีกด้วย
เธอได้ตรวจลำคอซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อกำหนดรายละเอียดและปรึกษาหารือเกี่ยวกับเวลาในการผ่าตัดโดยประมาณ รวมถึงสิ่งต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น
ครั้นเมื่อจะออกจากโรงพยาบาล ซูย้าวตั้งใจว่าจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปขอบคุณเขาด้วยตัวเอง เธอเคาะประตูห้องทำงาน โอวหยางเช่อเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าใครมา รอยยิ้มก็ผลุดขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างเคย
“วันนี้ได้กลับบ้านแล้วเหรอ ร่างกายหายดีแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
ซูย้าวพยักหน้า เกือบจะหายดีแล้ว
“หายแล้วก็ดี เธอตั้งครรภ์อยู่นะ จะกินอะไรก็ต้องหลีกเลี่ยงบ้าง จะกินตามใจชอบไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ต้องใส่ใจตลอดเวลา” โอวหยางเช่อกล่าวเตือนเธอ โดยคำพูดเหล่านี้เคยพูดไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ซูย้าวยิ้มพลางใช้ภาษามือ “หมอโอวหยาง ขอบคุณนะคะ”
แต่เขากลับทำท่าทางปวดหัว “กี่วันมานี้ เธอขอบคุณฉันเป็นสิบๆครั้งได้ เลิกเกรงใจกันขนาดนี้ได้แล้ว!”
นิสัยของซูย้าวนั้นเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด ถึงภายนอกจะดูบอบบาง แท้จริงกลับแข็งแกร่ง ต่อให้ต้องพบเจอกับความยากลำบากเท่าไหร่ ก็มักจะกัดฟันและสู้ด้วยตัวคนเดียวเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น จึงไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
โอวหยางเช่อมองมาที่เธอ “เธอรู้สึกว่ามันยากที่จะรับการช่วยเหลือจากฉันเหรอ”
เธอขมวดคิ้วพลางใช้ภาษามือถามกลับ “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็ฉันไม่เห็นเธอจะพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ กับหมอหลินเยอะเท่านี้นี่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ซูย้าวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ก่อนจะใช้ภาษามืออธิบาย “ฉันรู้จักเขามาตั้งแต่เด็กๆ เขาอยู่ในใจฉันอย่างกับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยกันน่ะค่ะ!”
เพราะความคุ้นเคยและความเข้าอกเข้าใจกัน ดังนั้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือบ้างเป็นครั้งคราว เธอจะเอ่ยคำขอบคุณ โดยที่ไม่รู้สึกลำบากใจ
“งั้นก็ดี!แต่ถ้าเธอไม่รังเกียจจะถือว่าฉันเป็นพี่ชายคนหนึ่งด้วยก็ได้นะ จะได้ไม่ดูห่างเหินกันแบบนี้ไง!” เขาพูด
ซูย้าวหัวเราะออกมาเบาๆ สีหน้าเขินอายเล็กน้อย
โอวหยางเช่อมองมาที่เธอพลางเอ่ยถาม “แล้วนี่ ลี่เฉินซีกลับมาจากต่างประเทศหรือยัง เธอได้บอกเขาเรื่องที่เธอตั้งครรภ์หรือเปล่า”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ ซูย้าวก็นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาเอ่ยคำว่า ‘หย่า’ ออกมาและปล่อยให้เธอแท้งเด็กในท้องอย่างไร้ความปราณี
เพราะอย่างนั้น เธอจึงเลือกที่จะเงียบ ทำให้โอวหยางเช่อตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะก้าวก่ายมากเกินไป
“จริงด้วย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เขานึกบางอย่างขึ้นได้ “อะ ฉันเตรียมชาสมุนไพรมาให้ ถ้าดื่มมากๆมันจะดีต่อคอของเธอล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นฉันได้ปรึกษากับหมอแล้วนะ ไม่มีผลกระทบต่อทารกในท้องแน่นอน อีกอย่างยังช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย”
เขาใช้สมุนไพรหลากหลายชนิดที่ช่วยในการบำรุงร่างกาย นอกจากจะทำให้ชุ่มคอและปอดโล่งแล้ว ยังดีต่อลำคอ และยิ่งไปกว่านั้นยังดีต่อทารกในครรภ์อีกด้วย
โอวหยางเช่อหยิบกระเป๋าออกมาจากลิ้นชัก
ซูย้าวอึ้งไปครู่หนึ่ง
“มันไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างแน่นอน แค่ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะหรือจะใส่กินกับโจ๊กก็ได้ สามารถกินเป็นอาหารเสริมได้ด้วย” เขาพูดพลางยื่นห่อให้กับเธอ
ซูย้าวรับยามาอย่างงงๆ โดยที่ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไรกันแน่
เธอลังเลที่จะใช้ภาษามือเอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มของเขา ก็ทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ เธอจึงเปลี่ยนภาษามือที่จะสื่อทันที “ลำบากคุณแย่เลย!”
โอวหยางเช่อเห็นท่าทางเคอะเขินของเธอ ก็ลอบยิ้มออกมา “ถ้าเธออยากจะขอบคุณฉันจริงๆ งั้นก็ดูแลเด็กให้ดี รอให้เด็กน้อยได้ลืมตาดูโลก ผ่าตัดเรียบร้อยและฟื้นฟูร่างกายแล้ว ถึงเวลานั้นเธอค่อยขอบคุณฉันก็แล้วกัน!”
“……”
ณ ตอนนั้น ซูย้าวไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบกลับไปอย่างไร
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องไป แต่ดูเหมือนว่าเธอจะลังเลเล็กน้อย ที่ฉันบนก่อนหน้านี้ โม่หว่านหว่านลากเธอไปคุยกับโอวหยางเช่อที่คอยช่วยเหลือและทำให้ต้องลำบาก และบอกให้เธอเลี้ยงข้าวเขาเป็นการตอบแทน
ไม่ใช่ว่าเธอมองเจตนาของยัยนี่ไม่ออก เพียงแต่จู่ๆก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวแบบนี้ โอวหยางเช่อจะตอบตกลงเหรอ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะชวนใครไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นถึงเพียงนี้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะยากกว่าการทำงานเป็นหลายร้อยเท่า
โอวหยางเช่อเองก็มองออกว่าเธอยังมีเรื่องอื่นอยู่อีก เขามองสีหน้าที่ดูอึกอักของเธอก็ลอบยิ้มออกมา
“ซูย้าว เธอยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”
จู่ๆก็ถูกถามเช่นนี้ ซูย้าวกลับรู้สึกยิ่งเขินอายมากยิ่งขึ้น เธอหายใจเข้าลึกๆพลางกัดฟันใช้ภาษามือเอ่ย “ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะเลี้ยงข้างหมอโอวหยางสักมื้อค่ะ!”
เมื่อภาษามือสิ้นสุด ซูย้าวกับไม่รู้สึกโล่งใจในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับเชิญให้ไปกินข้าวด้วยวิธีแบบนี้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เธออย่างลึกซึ้ง หญิงสาวพยายามเก็บสีหน้าให้ดูเรียบเฉยพร้อมกับใบหูสีชมพูระเรื่อ มันดูมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ
“เอาสิ!” เขาโพล่งออกมา
ในที่สุดซูย้าวก็โล่งอก ถ้าหากโอวหยางเช่อเกิดปฏิเสธขึ้นมา เธอก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรต่อ
วันนัดคือวันหลังจากนั้นถัดมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หวังว่าวันนั้นโอวหยางเช่อจะว่าง อีกทั้งโม่หว่านหว่านเองก็จะได้ใช้ช่วงเวลาในวันหยุดไปกับการพักผ่อน
เมื่อลงมาจากชั้นบน โม่หว่านหว่านรอเธออยู่ที่ชั้นล่างอยู่แล้ว เธออุ้มนายน้อยพลางเอ่ยถาม “ชวนได้ไหม ชวนได้หรือเปล่า”
ยัยนั่นรีบถามซ้ำอย่างรวดเร็ว
ซูย้าวพยักหน้า และเดินตามเธอเข้าไปในลิฟต์
“เยี่ยมไปเลย!” ท่าทางของโม่หว่านหว่านดูจะดีใจไม่น้อย เธอก้มศีรษะลงและประทับจูบบนใบหน้าของนายน้อย
ซูย้าวมองไปที่เธอ พลางใช้ภาษามือถาม “ทำไมเธอไม่เป็นฝ่ายชวนเขาล่ะ”
“เอ่อ……”
โม่หว่านหว่านไม่ได้พูดอะไรออกมา ความขี้แยของสาวน้อยค่อยๆปีนขึ้นไปอยู่บนใบหน้าของเธอ เธอเม้มปากและไม่ยอมพูดอะไรออกมา
ไม่ใช่ว่าซูย้าวจะมองไม่ออก หนุ่มสาวที่อยู่ในวัยที่เหมาะสม ต่างก็อยู่ลำพังกันทั้งคู่ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกและก็เป็นเรื่องดีที่จะหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อสานสัมพันธ์ต่อ
ณ โรงพยาบาลในออสเตรเลีย หานฉ่ายหลิงมองดอกไม้ที่เพิ่งมาส่งที่ห้องคนไข้ ใบหน้าของเธอผลุดรอยยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงคนที่ส่งมาให้
เสียงของพยาบาลที่กำลังอิจฉาลอยเข้ามาในหู “คุณหานโชคดีจังเลยนะคะ ที่ได้เจอแฟนที่รักคุณมากขนาดนี้ ไม่ทราบว่าคุณทั้งสองจะแต่งงานกันเมื่อไหร่เหรอคะ”
แต่งงาน……
คำคำนี้พุ่งตรงมาที่หัวใจของหานฉ่ายหลิงทันที ทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
พยาบาลรับรู้ได้ว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “จริงด้วย คุณหานคะ เมื่อครู่คุณลี่โทรเข้ามาบอกว่าจะพาคุณไปทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร Rose ค่ะ”
ดวงตาแบบแอปริคอทของหานฉ่ายหลิงวูบไหว เธอเหลือบมองเวลาพลางรีบลุกขึ้นจากเตียง “งั้นฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ ไม่อย่างนั้นไม่ทันแน่!”
พยาบาลพยักหน้า “ค่ะ คุณรีบไปเปลี่ยนเถอะค่ะ!”
เมื่ออกไปด้านนอก ก็บังเอิญเจอกับพยาบาลอีกคนหนึ่งที่โถงทางเดิน ทั้งสองคุยกัน มีคำสองคำลอยเข้ามาในหูของหานฉ่ายหลิง
“คุณหานเอาแต่ออกไปข้างนอกทุกวัน ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด!”
“จริง มะเร็งในกระเพาะอาหารมันร้ายแรงมากเลยนะ ดูอย่างคุณสตีฟที่อยู่ห้องถัดไปสิ เขาอาเจียนทุกวันเลย แถมในอุจจาระยังมีเลือดปนอยู่อีก!”
“……”
หานฉ่ายหลิงที่เพิ่งหยิบชุดของเธอออกมาจากตู้ มือของเธอแข็งทื่อราวกับน้ำแข็ง เธอไม่กลัวคำนินทาหรือข่าวลือต่างๆนานา เดิมทีไม่คิดว่าจะแร้งป่วยนานขนาดนี้ แต่ถ้าเปิดเผยเรื่องทุกอย่างทันที เธอก็จะเสียทุกอย่างไป
ซึ่งสิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ ลี่เฉินซี
เขาเป็นคนฉลาด ไวต่อความรู้สึกและมีไหวพริบ ในขณะที่ทุกคนต่างก็ดูออก แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันนะ
หานฉ่ายหลิงนั่งถือชุดของเธออยู่บนโซฟา สายตากังวล เธอแทบไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงสิ่งต่างๆมากมาย ครั้งนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และถ้ามันเกิดล้มเหลวล่ะก็