เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 202
บทที่ 202 เขากลับมาแล้ว
หลินโม่ป่ายได้รับข้อความทางวีแชทก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที เมื่อมาถึงที่แผนก นางพยาบาลจึงได้รีบวิ่งเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย
“คุณหมอหลิน ในที่สุดคุณมา คุณหมอจางที่เข้าเวรกำลังทำการผ่าตัดอยู่ค่ะ จึงไม่สามารถปลีกตัวมาได้!”
ขณะเดียวกันนางพยาบาลได้ยื่นผลการตรวจต่างๆและฟิล์มเอกซเรย์ของอานโล๋ให้ หลินโม่ป่ายจึงรับมาดู จากฟิล์มเอกซเรย์เห็นได้ว่า เดิมทีอานโล๋นั้นเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่แล้ว และอาการค่อนข้างหนัก
ครั้งนี้ก็ยิ่งต้องทำการผ่าตัดทรวงอกผ่านการส่องกล้องเพื่อรักษาภาวะเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด การผ่าตัดเป็นไปค่อนข้างยาก และสภาพร่างกายของอานโล๋ก็ไม่ค่อยจะสู้ดี ตอนนี้อาการทรงตัวอยู่ในขั้นวิกฤติ จึงต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน
“วิสัญญีแพทย์และทีมผ่าตัดเตรียมพร้อมหรือยัง” เขาดูฟิล์มเอกซเรย์แล้วพูด
นางพยาบาลพยักหน้า “เตรียมพร้อมแล้วค่ะ ผู้ป่วยถูกเข็นไปรออยู่ที่ห้องผ่าตัดห้องสามแล้วค่ะ”
หลินโม่ป่ายให้นางพยาบาลออกไปก่อน จากนั้นตัวเองก็ทำการเปลี่ยนเสื้อผ้า
ในขณะเดียวกันก็ได้นำฟิล์มเอกซเรย์ไปส่องไฟ เพื่อทำการศึกษาดูให้ละเอียด สีหน้าของเขาค่อยๆเคร่งขรึม เหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดด้านนอก
หลังจากเข้าใจอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียดแล้ว และก็เข้าใจว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบใดนับจากนี้ ชุดผ่าตัดเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อย หลินโม่ป่ายถึงได้ลงมาจากตึก แล้วมาเจอซูย้าวอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด
เธอกอดอกหันหลังให้กับประตูห้องผ่าตัด ใบหน้าซีดเซียว จนดูไม่ออกว่ามีสีหน้าเป็นเช่นไร
แต่ความรู้สึกในขณะนี้ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าเธอกระวนกระวาย กังวลมากแค่ไหน
“ซูย้าว”
เมื่อได้ยินเสียงของหลินโม่ป่าย ใบหน้าที่นิ่งสงบของเธอ ก็ปรากฏอาการทันที วินาทีที่เห็นเขา ดวงตามืดมนคู่นั้นก็แดงก่ำทั้งเบ้าตา
เธอเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว จับมือของหลินโม่ป่ายไว้อย่างแรง และจ้องมองเขา พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ที่ย่ำแย่ของตัวเองในขณะนี้ไว้ แต่ด้วยอาการที่สั่นเทาของร่างกาย จึงทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมได้
“ไม่ต้องเป็นห่วง คุณน้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!” เขากุมมือเธอกลับ และส่งสายตาที่แน่วแน่มั่นใจให้แก่เธอ
แต่หลินโม่ป่ายก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า อาการของอานโล๋ย่ำแย่แค่ไหนในขณะนี้ ถึงแม้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะทำการผ่าตัดสำเร็จ และผู้ป่วยลงจากเตียงผ่าตัดได้อย่างราบรื่น แต่ก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ป่วยจะมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่
“ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด มีผมอยู่ทั้งคน ผมจะไม่ยอมคุณน้าเป็นอะไรอย่างแน่นอน ย้าวย้าว อย่าเป็นแบบนี้สิ!”
เขาปลอบใจเธอสองสามประโยค จากนั้นก็เข้าห้องผ่าตัดไป
มองดูประตูที่ปิดลงอย่างช้าๆ และซูย้าวก็ตกอยู่ในความกลัวเช่นนี้อีกครั้งเพียงลำพังคนเดียว จนหายใจไม่ค่อยออกและตัวสั่นไปหมด
ดวงไฟสีแดงหน้าห้องประตูสว่างขึ้น การผ่าตัดกำลังจะเริ่มขึ้น
แต่ละวินาทีที่ผ่านไปนั้น ช่างทรมานมากสำหรับซูย้าว เธอรออยู่ที่ด้านนอก ยาวนานราวกับเวลาผ่านไปแล้วหลายศตวรรษ
แต่ในห้องผ่าตัด หลินโม่ป่ายยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อทำการช่วยเหลือ เสียงกริ่งดังทุกๆหนึ่งชั่วโมงนั้นราวกับเสียงกระดิ่งเรียกวิญญาณของปีศาจ ก้อนสำลีที่ใช้ซับเลือดก็ถูกโยนทิ้งลงถังขยะก้อนแล้วก้อนเล่า อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในการผ่าตัดได้สะท้อนแสงแวววับแวบเข้ามาในดวงตานับครั้งไม่ถ้วน และแปดเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ ขั้นตอนเหล่านี้ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานมากแค่ไหน
หลินโม่ป่ายเหงื่อไหลท่วมกาย นางพยาบาลที่อยู่ข้างๆก็ช่วยเขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเช็คเสร็จแล้วก็ไหลออกมาอีก ความตึงเครียดภายในใจก็ยังคงดำเนินต่อไป
ติ๊ดๆๆ——
มีเสียงดังพร้อมกันกะทันหันขึ้น
“”ความดันโลหิตของผู้ป่วยสูงขึ้น!”
“125——88”
“130——90”
“135——93”
“ทำการลดความดันเดี๋ยวนี้!”
เป็นการผ่าตัดที่ยากลำบากมาก แต่ละวินาทียิ่งเพิ่มทวีคูณระดับความยาก ตื่นเต้นน่ากลัว บรรยากาศที่เงียบงันในห้องผ่าตัด แต่ละคนต่างตึงเครียดราวกับลูกศรในคันธนู ที่จะแตกหักได้ทุกเมื่อตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
“ความดันโลหิตของผู้ป่วยยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ!”
“155——100”
“160——110”
“คุณหมอหลิน…..”
ด้านนอกห้องผ่าตัด มีพยาบาลเข้าๆออกๆบ่อยมาก แต่ซูย้าวกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆคนเดียว โดยไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ ราวกับรูปปั้นก็ไม่ปาน นิ้วเรียวยาวที่สอดประสานกันแน่นตลอดเวลา เกินคำบรรยายถึงระดับความตึงเครียดนั้น
เธอเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี เธอจึงไม่ไปเกาะแกะนางพยาบาล และไม่ไปถามเจ๊าะแจ๊ะเกี่ยวกับสถานการณ์ในห้องผ่าตัด เธอก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้ในตอนนี้คือการรอ
ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว เธอยังคงเป็นเช่นนี้ที่ยืนอยู่เงียบๆ นางพยาบาลได้เดินผ่านเธอไปมา เมื่อเห็นเธอแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
โม่หว่านหว่านก็ได้พาเจิ้งเอ๋อมาที่โรงพยาบาล เมื่อเธอได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกไม่วางใจ จึงได้อุ้มเด็กน้อยแล้วรีบมาทันที
เจิ้งเอ๋อก็ไม่มีอาการง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นซูย้าว ก็รีบส่งเสียงเรียกขึ้นทันที “หม่ามี๊ ยายๆ”
แววตานั้นราวกับรับรู้ว่ายายกำลังอยู่ในห้องผ่าตัด สถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
ซูย้าวก็ยิ่งเจ็บปวดใจ กอดลูกชายไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะ น้าอานทำบุญไว้เยอะ พระต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน! อย่ากังวลไปเลย!” โม่หว่านหว่านพูดปลอบใจเธอ ดึงมือของซูย้าวให้มานั่งพัก
แต่ซูย้าวยังคงไม่ยอมนั่งลง เธอไม่มีกะจิตกะใจที่จะนั่ง แล้วก็ส่งลูกชายให้กับโม่หว่านหว่าน จากนั้นตัวเองก็ยืนกอดอกอยู่อย่างนั้น ด้วยสีหน้าที่ทุกข์กังวล
การผ่าตัดดำเนินการไปจนถึงเช้า ท้องฟ้าข้างนอกกำลังจะสว่างขึ้น ขาทั้งสองข้างของซูย้าวยืนจนไร้ความรู้สึก เริ่มเหน็บชา จนกระทั่งไฟในห้องผ่าตัดได้ดับลง เธออยากจะเดินเข้าไปใกล้ แต่กลับพบว่าร่างกายที่เหน็บชานั้น เชื่องช้าไม่ฟังคำสั่ง
ดังนั้นเมื่อหลินโม่ป่ายเดินออกมาจากประตู ก็เห็นร่างที่โซเซจะทรุดแหล่ของเธอ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปพยุงแขนของเธอแล้วโอบเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา
การกระทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ซูย้าวรู้สึกกังวลสงสัย
เธอจึงได้ผลักเขาออกไป สีหน้าลนลาน แต่ข้างใบหูกลับได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “การผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี!”
ซูย้าวกัดฟันอย่างแรง จนริมฝีปากด้านล่างของเธอแตก เธอจ้องตาของหลินโม่ป่าย ร่องรอยของความกังวลสงสัยยังคงไม่คลายลง
“ขอเพียงน้าอานฟื้นขึ้นมาภายในเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงได้อย่างราบรื่น ก็จะปลอดภัย หายห่วง!”
หลินโม่ป่ายรู้ดีว่า ในหลายชั่วโมงที่ทรมานนั้น เธอคงยืนตัวแข็งเป็นท่อนไม้อยู่อย่างนี้ คอยฝืนตัวเอง บังคับตัวเองให้ยอมรับในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ก้มหน้ายอมรับกับการมาของยมทูต มาพลัดพรากคนอันที่รักจากไปอย่างโหดร้าย ไม่ใช่ใครทุกคนที่จะมีความกล้าและอดทนเช่นนี้ได้
เธอเข้มแข็ง และไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
“ปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยจริงๆ!” หลินโม่ป่ายลูบที่หลังเธอเบาๆ แล้วดึงศีรษะเธอให้แนบชิดเข้ามาที่ทรวงอกของตัวเอง สัมผัสถึงอาการที่สั่นเทาบนตัวเธอ ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดทรมาน
ผ่านไปสักพัก เธอราวกับยอมรับได้กับความจริงนี้ ความรู้สึกของแข้งขากับสติทางความคิดค่อยๆฟื้นคืนกลับมา สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเลือด มีเพียงร่างกายที่ยังอ่อนแรงราวกับพลังถูกดูดไปหมด อ่อนเพลียจนซบพิงอยู่ที่อ้อมกอดของหลินโม่ป่าย ไร้เรี่ยวแรงกำลังวังชาที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง
กลิ่นคาวเลือดบนตัวของเขาที่ค่อนข้างมีกลิ่นแรงฉุนจมูกมาก แต่ว่าในเวลานี้กลับเป็นเหมือนพลังที่ทำให้รู้สึกโล่งใจ
แค่เห็นนางพยาบาลเข็นคุณแม่ออกมาจากห้องผ่าตัด เห็นสายห้อยระโยงระยางต่องแต่งไปมาบนตัวของคุณแม่ หายใจรวยรินด้วยเครื่องช่วยหายใจ ผ่านการผ่าตัดครั้งใหญ่ครั้งนี้ จนทำให้แทบจะจำหน้าไม่ได้ ฉับพลันฉุกให้เธอเข้าใจได้ว่า การผ่าตัดในครั้งนี้ เป็นเพียงการยืดชีวิตของคุณแม่เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยรักษาหรือบรรเทาความเจ็บปวดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หลินโม่ป่ายไม่แม้แต่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน รู้ว่าเธอจิตใจเธอย่ำแย่มาก จึงเฝ้าเป็นเพื่อนและปลอบใจเธออยู่ไม่ห่าง
กอดเธอไว้อย่างแน่น มือที่อ่อนนุ่มลูบที่อยู่ศีรษะของเธอเบาๆ น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังก้องอยู่ข้างหูด้วยคำพูดปลอบประโลม
โดยที่ไม่รู้ว่าตรงหัวมุมโค้งมีร่างสูงโปร่งยืนอยู่ และดูเหมือนจะเหนื่อยล้ามากจากการเดินทาง
และต้องชะงักเท้ากับภาพที่อยู่ตรงหน้า
รูม่านตาที่ลุ่มลึกจ้องมองชายหญิงที่กำลังกอดกันเกลียว สีหน้าจมดิ่งลงในอารมณ์ที่ขุ่นมัว จนกระทั่งโทรศัพท์สั่นขึ้น ถึงได้ดึงสติคืนมา
“ประธานลี่ จะจัดให้คุณหานพักที่โรงพยาบาลหรือว่าที่บ้านตระกูลหานดี”
เขาจึงเปิดข้อความดูแล้วก็ตอบกลับในทันที‘โรงพยาบาล’เพียงสามคำ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์แล้วหันหลังเดินไปที่ลิฟต์