เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 204
บทที่ 204 ทำไมต้องอารมณ์เสีย
ท้องฟ้าที่แจ่มใสไร้กลุ่มเมฆ ฉับพลันมืดครึ้มอึมครึมจากนั้นฝนก็ตกหนักลงมา
ฝนตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาถึงสองวัน ในช่วงเวลาสองวันนี้คุณแม่ลืมตาแค่เพียงสามครั้ง แต่ละครั้งลืมตาไม่ถึงหนึ่งนาที
จากห้องผู้ป่วยไอซียูย้ายมาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยวีไอพีธรรมดา ซูย้าวได้นำสิ่งของต่างๆมากมายมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของจำเป็นของคุณแม่ที่ต้องใช้ในแต่ละวัน และก็ของตัวเอง รวมถึงของเจิ้งเอ๋อ
เพราะที่นี่คือโรงพยาบาล เธอต้องดูแลคุณแม่ตลอดเวลา จึงต้องวานให้โม่หว่านหว่านช่วยดูแลลูกน้อยชั่วคราว
โชคดีที่เจิ้งเอ๋อก็ค่อนข้างชอบโม่หว่านหว่าน จึงไม่ค่อยงอแงร้องไห้ ในแต่ละวันที่อยู่กับคุณน้าก็มีความสุขดี ซูย้าวจึงรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ
ช่วงเวลากลางวัน หลินโม่ป่ายได้เดินเข้ามาที่ห้องผู้ป่วย เธอก็เหมือนกับหลายๆครั้งในก่อนหน้านี้ ที่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง จ้องมองคุณแม่ที่หายในอ่อนแรงอยู่บนเตียงอย่างไม่กระดุกกระดิก แววตาเหม่อลอย ราวกับมองใบหน้าที่ขาวซีดของอานโล๋ทะลุไปถึงพื้น
หลินโม่ป่ายเหลือบไปมองโจ๊กและอาหารเช้าบนโต๊ะที่เขาเป็นคนส่งมาให้ในตอนเช้า อาหารยังอยู่ในถุง ยังไม่ได้แกะออกมาทานแม้แต่คำเดียว
“ซูย้าว”
เขาขานชื่อเธอ จึงได้ดึงซูย้าวกลับมาจากความคิดที่สับสนวุ่นวาย
เธอจึงหันมา ลักษณะท่าทางยังคงเหมือนปกติเช่นอย่างเคย แม้แต่การพยายามฝืนยิ้มเพื่อทักทายเขา
หลินโม่ป่ายเห็นเธอที่เป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะวางใจลงได้ สภาพของเธอเหมือนกับการปิดหูขโมยกระดิ่ง หลอกตัวเองว่ายังสบายดี
เพราะฉะนั้นเขาจึงเดินเข้าไป กุมมือของเธอไว้ และลูบที่ไหล่ของเธอ จากนั้นพูดปลอบโยนว่า “ย้าวย้าว คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ! และต้องทานอาหารบ้างนะ!”
แต่เธอกลับพยักหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยภาษามือ “ฉันสบายดี และก็ไม่หิว ฉันไม่เป็นไร”
สองวันมานี้ เธอพูดคำเหล่านี้ด้วยภาษามือครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินโม่ป่ายทอดถอนใจอย่างจนปัญญา และก็ยิ่งเพิ่มความกังวลที่มีต่อเธอ มือที่จับอยู่ที่ไหล่เธอได้บีบแรงขึ้น “อย่าพยายามฝืนตัวเองแบบนี้เลย คุณเหนื่อยแล้วจริงๆ ต้องการพักผ่อน! กลับบ้านไปกับผมแล้วนอนพักผ่อนสักตื่น ดีไหม”
ซูย้าวกลับจ้องมองเขา สักพักก็ดึงมือของเขาออก และส่ายหัวอย่างดื้อรั้น ใบ้ด้วยภาษามือขึ้น “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ”
ไม่ใช่ว่าเธอนั้นจะอวดเก่ง แต่ด้วยคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือแม่ของเธอ
ในชีวิตนี้ของอานโล๋มีแต่เสียสละและทำเพื่อลูกสาว ตอนยังเล็กๆ ต้องทนความเจ็บปวดจากการพลัดพราก เพื่ออนาคตที่ดีของซูย้าว จึงต้องส่งเธอกลับไปที่บ้านตระกูลซูด้วยความขมขื่น
ระหว่างที่เธอเจริญเติบโต คุณพ่อก็มาด่วนจากไป อานโล๋จึงกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่อยู่ในกำมือของซัวฉ่ายลี่เพื่อใช้ควบคุมซูย้าว เธอถูกขังอยู่ที่โรงพยาบาลบ้าหลายแห่ง เพื่อนลูกสาวแล้ว เธอพยายามฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระให้ซูย้าว
หลังจากที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ เธอจึงได้แกล้งโง่แกล้งเป็นบ้า
สามารถกล่าวได้ว่า เพื่อซูย้าวแล้ว เธอต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆมากมาย
กว่าจะจะออกมาจากกรงได้และมีวันเวลาที่งดงาม แต่ก็เพียงไม่นาน ก็มาป่วยหนักแบบนี้ ถ้าหากครั้งนี้ไม่สามารถที่จะฝ่าฟันโรคนี้ไปได้ ซูย้าวแทบจะไม่กล้าคิด หากตัวเองนั้นสูญเสียคุณแม่ไป แล้วจะเป็นอย่างไร
หลินโม่ป่ายมองดูท่าทางดื้อดึงของเธอ ถึงแม้ว่าไม่อยากจะทนดู แต่ก็ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวเธอได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้เธอทำตามใจ และพูดเตือนให้เธออย่าลืมทานอาหาร
ในเวลาขณะเดียวกันที่บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป ในห้องของประธาน หวางอี้นำเอกสารมาให้เจ้านายเซ็น
ลี่เฉินซีที่หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน เมื่อจัดการงานที่อยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว ก็จัดสรรเวลามาอ่านเอกสารเหล่านั้น จากนั้นก็หยิบปากกามาตวัดเซ็นลายเซ็นอย่างงดงาม
หวางอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆได้พูดขึ้นว่า “ประธานลี่ครับ ได้ถามทางโรงพยาบาลแล้ว นายหญิงอานยังไม่ฟื้นครับ ส่วนคุณผู้หญิงคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอด ติดต่อกันสองวันสองคืนแล้วครับ”
หยุดชะงักไปชั่วครู่ มองใบหน้าที่เคร่งขรึมรูปงามไม่เปลี่ยนของลี่เฉินซีแล้ว หวังอี้จึงพูดเสริมขึ้นอีกว่า “อีกทั้งยังไม่ดื่มไม่ทานอาหารด้วยครับ”
ลี่เฉินซีเบนสายตามองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพ่งเล็งข้อความที่กำลังพิมพ์อยู่ในอีเมล ความคิดถูกรบกวนให้กระเจิดกระเจิงด้วยสาเหตุใดก็ไม่ทราบได้
จึงบังเกิดความกลัดกลุ้มขึ้นในใจ คว้าเอกสารที่อยู่ข้างๆมาเปิดดู
ทั้งที่ได้เซ็นลายเซ็นไปแล้ว และก็ดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาแล้วด้วย
เขาเปิดวนดูซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แล้วหยิบปัญหาเล็กน้อยขึ้นมา จากนั้นหยิบโทรศัพท์บ้านโทรหาแผนกวางแผน “ร่างการออกแบบนี้คืออะไร นี่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในไตรมาสนี้ ซึ่งคาดว่าจะผูกขาดกับตลาดในประเทศ ทำไมพวกคุณถึงไม่ให้ความสำคัญสักนิดเดียว ร่างการออกแบบพวกนี้ใช้ไม่ได้ ไปทำมาใหม่ แล้วนำมาให้ก่อนเลิกงาน!”
สายโทรศัพท์ที่โกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ ความโมโหที่ไม่สามารถอธิบายได้
หวางอี้มองร่างออกแบบที่เจ้านายโยนมา จึงเกิดความสงสัยขึ้นอย่างมึนงง ก่อนหน้านั้นลี่เฉินซียังเห็นดีเห็นงามอยู่เลย ทำไมจู่ๆถึง…..
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด
ลี่เฉินซียกกาแฟที่อยู่ข้างๆขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ถุยออกมา “เย็นแล้วนิ ให้เสี่ยวหลี่ไปชงมาใหม่!”
“ครับ!”
หวางอี้พยักหน้า แล้วก็ออกมาบอกให้เลขานำกาแฟแก้วใหม่ไปเสิร์ฟให้อีกครั้ง
เสี่ยวหลี่เป็นเลขาฯสาวคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา เมื่อยกกาแฟร้อนเข้าไปเสิร์ฟแล้ว ก็ได้ยินเสียงเจ้านายดังลอยมาจากในห้อง อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหจนผิดสังเกต
ในวันปกติลี่เฉินซีค่อนข้างที่จะควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่ค่อยเสียอารมณ์กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เหมือนว่าวันนี้การกระทำนั้นค่อนข้างผิดปกติ หวางอี้ครุ่นคิด และมองเลขาฯสาวที่เดินออกมาพร้อมกับน้ำตา จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปที่ห้องของท่านประธาน
“ประธานลี่ครับ ได้ยินคนที่อยู่ทางโรงพยาบาลบอกว่า สภาพร่างกายของคุณผู้หญิงตอนนี้แย่มากเลยครับ ท่านจะแวะไปดูหน่อยไหม” หวางอี้เอ่ยปากถามขึ้น
แต่สิ่งที่ได้รับคือ เสียงของเจ้านายที่ตวาดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ผมให้คุณส่งคนไปที่โรงพยาบาลเหรอ ใครให้คุณตัดสินใจโดยพลการ!”
“…..”
“ไปเรียกคนกลับมา!” ลี่เฉินซีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
หวางอี้พยักหน้า “ครับ”
เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา หลังจากกู้คืนประวัติข้อความสนทนาทางวีแชทได้ เขาก็มองดูหน้าต่างหนึ่งของข้อความสนทนา ใบหน้ารูปงามนั้นได้หม่นหมองจมดิ่งลง
แต่ละวันล่วงเลยผ่าน กาลเวลาล่วงหมุนไป พริบตาเดียวผ่านไปแล้วอีกสองวัน
หลินโม่ป่ายมองดูหญิงสาวที่ยังคงเฝ้าอยู่ข้างเตียงโดยไม่หลับไม่นอนในห้องผู้ป่วย คิ้วจึงขมวดขึ้นด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายก็ห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ จึงได้ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
“ซูย้าว คุณจะทรมานตัวเองแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ!” เขาดึงมือของเธอ “ต่อให้คุณไม่นึกถึงตัวเอง คุณก็ควรนึกถึงลูกในท้องบ้างสิ!”
สองวันมานี้ เธอซูบผอมลงไปเยอะ จนคู่ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียว หลินโม่ป่ายจ้องมองเธอเขม็งด้วยสายตาที่ซับซ้อน สุดท้ายจึงตัดสินใจว่า ถ้าเธอยังไม่เชื่อฟังอีก ก็จะฉีดยาระงับประสาทให้เธอสักเข็ม
ซูย้าวกลับจ้องมองเขา แล้วพยักหน้าอย่างอ่อนแรง พูดด้วยภาษามือว่า “ฉันจะนอนพักในอีกสักครู่ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไร”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปมองคุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียง แล้วก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้นต่อไป
หลินโม่ป่ายขมวดคิ้วขึ้น เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่กลับเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของซูย้าวตึงเข้มขึ้นทันใด
เปลือกตาของอานโล๋ที่นอนอยู่บนเตียงเกิดการเคลื่อนไหว การกระเพื่อมขึ้นลงของลมหายใจในช่วงอกก็เห็นได้ชัดกว่าตอนที่นอนสลบก่อนหน้านี้
หลินโม่ป่ายจึงรีบหันไปดูความเปลี่ยนแปลงบนเครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ สีหน้าตื่นเต้นที่ปรากฏเมื่อสักครู่ ฉับพลันได้เปลี่ยนเป็นความวิตก
แต่แววตาของซูย้าวกลับยังคงตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่คุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในรอบหลายวันที่ผ่านมา เห็นอานโล๋ที่ค่อยๆลืมตาขึ้น เธอจึงรีบจับมือของคุณแม่ และขยับอย่างระมัดระวัง และก็รอดูเธออย่างใจจดใจจ่อ
หลินโม่ป่ายที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียกขึ้นเบาๆว่า “น้าอานครับ ซูย้าวอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ตลอด!”
อานโล๋เหมือนได้ยินชื่อของลูกสาวตัวเอง ดวงตาจึงค่อยๆลืมขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แต่ทว่าก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ ม่านตาหย่อนอ่อนแรงและเหม่อลอย มองเพียงแต่เพดาน ไร้ชีวิตชีวา
“คือน้าอาน……”หลินโม่ป่ายรอยากบอกความจริงกับเธอ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของซูย้าว คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไร
ซูย้าวรีบใช้ภาษามือใบ้ถามขึ้น “คุณแม่ของฉันตื่นแล้วใช่ไหม ใช่ไหม”
เขาไม่อยากทำลายความหวังของเธอ จึงได้พยักหน้าขึ้น
เธอดีใจอย่างมาก กุมมือของเธอไว้ แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้คุณแม่ เพื่อต้องการฟังในสิ่งที่คุณแม่พูด
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงฟังไม่ชัดเจน
เครื่องตรวจวัดหัวใจไฟฟ้าที่อยู่ข้างๆกลับดัง ‘ตี๊ดๆๆ’เข้ามาในใบหู หลินโม่ป่ายตกใจจึงผลักเธอออกไป “คุณน้าหัวใจหยุดเต้น ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน!”
ในขณะที่เขากำลังพูด ก็พลางกดกริ่งข้างเตียง แล้วก็ดึงชุดผู้ป่วยของอานโล๋ออก จากนั้นก็ทำCPRช่วยเหลือทันที