เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 219
บทที่ 219 รู้คำตอบ
ทุกๆประโยค ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ลี่เฉินซีจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเข้าใจภาษามือตั้งแต่ตอนไหน จริงๆแล้ว เขารู้ภาษาต่างประเทศมากกว่าสิบภาษา ทั้งยังอ่านปากคนออกอีกด้วย
คนไอคิวสูง เรียนอะไรก็ง่ายไปหมด
ส่วนภาษามือ เหมือนเขาจะอ่านออกตอนเขาอายุสิบแปดสิบเก้า
เขาจำได้ว่าวันหนึ่งเขาบังเอิญเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใช้มือขีดเขียนคุยกับคนอื่น ตอนนั้น เขาก็รีบเดินไปที่ห้องสมุดอย่างรวดเร็ว เพื่อหาหนังสือภาษามือสำหรับคนหูหนวกเป็นใบ้มาอ่าน ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็สามารถอ่านภาษามือออก
ผู้ช่วยและเลขา รวมถึงหวางอี้เข้ามาทำงาน พวกเขาก็ต้องเรียนภาษามือกันทุกคน
หลายๆคนต่างก็แปลกใจ และสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม
จนกระทั่งวันหนึ่งได้รู้จักภรรยาใบ้ของเขา
ถึงได้รู้คำตอบในที่สุด
ลี่เฉินซีมองมาที่เธอ ดวงตาแดงฉานทอแววลุ่มลึก นานพอสมควร เขาถึงได้ฉีกยิ้มออกมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มกลับเยือกเย็น อย่างไม่อาจควบคุมได้
“คุณอยากหย่ากับผม ถึงขนาดเตรียมทุกอย่างไว้เลยเหรอ!”
ไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการสิ่งของ สิ่งเดียวที่ต้องการ ก็คือลูกสินะ!
ทั้งๆที่มีสายเลือดของเขากับเธอเหมือนกัน แต่เจิ้งเอ๋อที่อายุยังไม่ถึงสามขวบ ต้องตกอยู่ในความดูแลของเธอคนเดียว
แล้วทำไมถึงไม่เป็นเขา?
สายตาเลื่อนลงมองหน้าท้องของเธอ เธอเสนอหย่า พร้อมกับจะพาเจิ้งเอ๋อและลูกอีกคนในท้องของเธอไปด้วย จนถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ในท้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย!
ผู้หญิงคนนี้……
เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเต้นตุบๆ สายตาที่มองเธอ แดงเถือกและดุร้าย “ซูย้าว คุณแน่นักเหรอ!คิดจะเอาลูกทั้งสองคนของผมไปทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?”
สองคน?
ซูย้าวนิ่งอึ้งอย่างประหลาดใจ แต่ชั่วพริบตาก็หายไป ข้อความถูกกู้คืนมาทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาจะรู้เรื่องที่เธอท้องก็ไม่แปลก
ลี่เฉินซีลุกขึ้น ร่างสายของสูงเขาราวกับภูเขาตั้งตระหง่านที่พกพาไอเย็นๆมาด้วย นัยน์ตาที่แผ่คลุมไปด้วยความเหน็บหนาวจ้องเขม็งมาที่เธอ คำพูดที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความดุร้าย ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว “คุณท้อง แต่ไม่ยอมบอกผม ซูย้าว คุณกล้าถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หรือว่าคุณลืมไปแล้ว ว่าใครกันแน่เป็นผัวของคุณ?”
เขาคิดว่าความรู้สึกที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ กำลังโหมกระพือพายุในใจของเขา นอกจากความโมโหและไฟโทสะแล้ว ก็เหมือนมีมือไร้รูปร่างกำลังบีบคั้นใจของเขาเล่น
มันเจ็บจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ คับแน่นจนหายใจติดขัด ทั้งสองความรู้สึกผสมปะปนเข้าด้วยกัน เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดขึ้นมาบนโครงหน้าหล่อเหลาเงียบๆ
เมื่อซูย้าวเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาต้องโกรธ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้
เธอไม่อยากอธิบายอะไรแล้วจริงๆ การที่เธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดเรื่องหย่าขึ้นมาก่อน ก็ถือว่าใจกล้ามากพอแล้ว ถ้าให้อธิบายเยอะกว่านี้ ก็มีแต่จะทำให้เธอรู้สึกผิดกับการตัดสินใจแบบนี้เท่านั้น!
“คุณคงไม่ต้องการเด็กคนนี้หรอกใช่ไหม?” เธอใช้ภาษามือพูด จากนั้นก็ลูบหน้าท้องของตัวเอง ใกล้จะสี่เดือนแล้ว ท้องจึงเริ่มโป่งออกมาแล้วเล็กน้อย ทารกคนนี้ กำลังเติบโตขึ้นมาช้าๆ
เด็กคนนี้กำลังร่วมหายใจกับเธอ
เขาจึงเป็นเหมือนชีวิตของเธอ เหมือนอย่างที่ลี่เจิ้งเป็น
ทันใดนั้น ซูย้าวก็มองมาที่เขา เผชิญหน้ากับสายตาเยือกเย็นของเขา จากนั้นก็ใช้ภาษามือว่า “แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ให้สิทธิ์คุณตัดสินใจแบบนั้นอีกแล้ว ลูกไม่ใช่ของคุณแค่คนเดียว เขาเป็นของฉันด้วย ฉันจะไม่ทำแท้ง ฉันจะเก็บเขาเอาไว้”
ดวงตาของลี่เฉินซีเครียดเขม็งในทันที เขาไม่เคยพูดให้เธอทำแบบนั้นสักหน่อย!
นี่คิดอะไรอยู่!
วินาทีถัดมา มือใหญ่ของชายหนุ่มก็บีบคางของเธอเอาไว้อย่างแรง แรงจนเหมือนจะบีบคางของเธอให้แตก จากนั้นก็พูดชัดๆออกมาทีละคำว่า “นี่เหรอคือสาเหตุที่คุณปิดบังผม?”
“คงใช่มั้ง!แต่มันมีมากกว่านั้น ฉันก็แค่อยากให้คุณกับคุณหานสมหวังกัน คุณสองคนเหมาะสมกันมาก หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขนะ”
ซูย้าวพูดเสร็จ จากนั้นก็ดิ้นให้หลุดจากการควบคุมของเขา
เขากลับไม่ให้โอกาสนั้น แต่เธอดิ้นแรงมากเกินไป ความโกรธของลี่เฉินซีจึงยิ่งเพิ่มขึ้น เขาจับเธอเอาไว้ด้วยแรงที่มีมากกว่า ซูย้าวออกแรงดิ้น แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด สุดท้ายก็พลาดโดนท้องของเธออย่างไม่ตั้งใจ
เธอเจ็บจนแสดงออกทางสีหน้า ชั่วพริบตาใบหน้าขาวใสของเธอก็พลันบิดเบี้ยวขึ้นมา
ลี่เฉินซีรีบปล่อยมือ พร้อมกับมองเธอโดยทันที “คุณ……”
ซูย้าวฝืนทนเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความโกรธสุดฤทธิ์ เธอกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น ตวัดตามองเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมา แล้วลุกเดินออกไปข้างนอก
ลี่เฉินซีเดินก้าวยาวๆ ไปขวางทางเธอเอาไว้ แต่วินาทีที่จับข้อมือของเธอ เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
ซูย้าวเบี่ยงตัวหลบเขา จากนั้นก็ใช้ภาษามือพูดว่า “ถ้าเป็นเพราะเรื่องสิทธิ์เลี้ยงดูลูก ก็ให้ทนายของคุณมาหาฉัน!ถ้าคุณอยากขึ้นศาล ฉันก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆเหมือนกัน ฉันเตรียมทนายไว้หมดแล้ว คุณรอแค่หมายศาลก็พอ”
ต่อมา เธอก็หลุบดวงตาเฉยชาลงต่ำ แล้วประคองท้องเดินผ่านเขาไป
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู วินาทีนั้น ลี่เฉินซีก็พูดไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพราะเสียใจ หรือเพราะอัดอั้น เขารู้สึกแค่ว่าหน้าอกของเขากำลังไฟลุก ยิ่งลุกลามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น แผดเผาหัวใจของเขาจนเจ็บปวด ประสาทสัมผัสทั้งร่างกายเริ่มกู่ก้อง
ความเจ็บนี้ เหมือนถูกมีดผ่าสดๆ แผลค่อยๆฉีกออกทีละนิด เจ็บจนไม่อาจทนได้ เขากวาดทุกอย่างบนโต๊ะทิ้งด้วยความกรุ่นโกรธ เสียงของแตกกระจาย ดังสนั่นเข้ามาในหูราวกับเสียงฟ้าผ่า
หนังสือยินยอมหย่าตกอยู่บนพื้น มีลายเซ็นของซูย้าวอยู่ตรงหน้าสุดท้าย จินตนาการไม่ออกเลยว่าในตอนที่เธอกำลังเซ็นมัน เธออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ รู้สึกหลุดพ้น? หรือโล่งใจ?
หรือว่าเขามันสุดจะทน ถึงขนาดทำให้เธออยากพาลูกทั้งสองคนหนีไปจากเขาจนอดรนทนรอไม่ไหวเลยเหรอ!
เขาคือปีศาจในสายตาเธอเหรอ?
หรือว่าเขายังดีกับเธอไม่พอ…..
ซูย้าวขึ้นลิฟต์จากชั้นยี่สิบกว่าลงมาข้างล่าง เธอจะไม่ขับรถ เพราะรถคันนี้เขาเป็นคนซื้อให้ เมื่อหย่ากันแล้ว จะยังเอารถไว้ทำไม?
เธอไม่ได้โบกแท็กซี่ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน รู้แค่ว่าเธอไม่อยากหยุด จึงเดินเร็วๆอยู่บนถนน
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ เธอเริ่มรู้สึกมวนท้องจนทนไม่ไหว รีบพุ่งเข้าข้างทาง ค้ำต้นไม้เอาไว้แล้วอวกออกมาอย่างห้ามไม่ได้
อวกจนไม่มีอะไรเหลือ อวกจนมีแต่กรดในท้อง สุดท้าย น้ำตาก็ไหลอาบหน้า
มันจบแล้ว
การแต่งงานที่คอยประคับประคองมาตลอดสามปี ในที่สุดก็จบลงแล้ว
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่เซ็น แต่ไม่ช้าก็เร็วยังไงเขาก็ต้องเซ็น
สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เขาสมหวังกับคนอื่น ไม่มีใครรู้หรอก ว่าวินาทีที่ต้องปล่อยมือ เธอเจ็บปวดและเสียใจมากแค่ไหน!
เธอจดจำทุกการกระทำของเขาได้ จำสัมผัสที่เขาช่วงชิงไปในคืนแต่งงานจำทุกครั้งที่เขาโยนเธอลงบนเตียง จำแผ่นหลังที่แบกเธอไปโรงพยาบาลตอนเธอป่วย จำโจ๊กที่เขาทำให้เธอกิน จำตอนที่เขามาเยี่ยมหลังจากเธอคลอด…..
เธอจดจำความดีของเขาได้ทั้งหมด
แต่ว่า กลับไปไม่ได้แล้ว
ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้รักเธอ แบบนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?
ซูย้าวฝืนให้กำลังตัวเอง ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์ จากนั้นก็ก้าวเดินบนถนนต่อไป
เธอใช้เวลาไปทั้งบ่ายกว่าจะเดินกลับมาจนถึงอพาร์ทเม้นท์ เพราะไม่ทันระวัง เดินไปทางไหนก็ไม่ได้สังเกต ขนาดเดินผิดทาง ก็ยังไม่รู้ตัว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็รู้สึกขาชาไปหมด เจ็บจนยกขาแทบไม่ขึ้น เธอนั่งลงบนพื้นอย่างอยากลำบาก เมื่อเห็นห้องโล่งๆ ก็ยกยิ้มอย่างอ่อนแรง ในรอยยิ้มขมขื่นเปี่ยมไปด้วยคราบน้ำตา