เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 226
บทที่ 226 คุณหานเกิดเรื่องแล้ว
วันรุ่งขึ้น อากาศไม่ค่อยดี ท้องฟ้ามืดครึ้ม คล้ายกับฝนจะตก
เพราะอากาศไม่ค่อยดี จึงไม่มีแสงพระอาทิตย์สว่างไสว ส่องผ่านช่องมู่ลี่เข้ามาในห้อง ทำให้ตอนที่ลี่เฉินซีรู้สึกตัว ก็พบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว!
น้อยครั้งนัก หรือแทบจะไม่นอนตื่นสายขนาดนี้
เพราะดื่มหนัก ทำให้เขาปวดหัว เลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเองเปลือยเปล่า
เสื้อผ้าล่ะ
อีกอย่างหนึ่ง เขามองไปรอบๆ ห้องนี้ไม่คุ้นตา นี่มันเรื่องอะไรกัน
ประตูเปิดออก ลู่ส้าวหลิงใบหน้ามีรอยยิ้มถือน้ำผึ้งเข้ามาจากด้านนอก เห็นผู้ชายบนเตียง รอยยิ้มกว้างขึ้น “จำไม่ได้เหรอ เมื่อวานนายดื่มหนัก ฉันเลยพานายกลับมาบ้านฉัน!”
ลี่เฉินซีค่อยนึกขึ้นมาได้ มิน่าล่ะรู้สึกว่าห้องนี้คล้ายจะคุ้นๆ ที่แท้คือบ้านตระกูลลู่
แต่วินาทีต่อมา ความคิดก็ต้องตะลึงอีกครั้ง ——
“งั้นเสื้อผ้าฉันล่ะ อยู่ๆ ดีแกมาถอดเสื้อผ้าฉันทำไมอีก” น้ำเสียงของเขาไม่พอใจ
แต่ทำไมต้องพูด “อีก”
ลู่ส้าวหลิงยักไหล่ไม่สนใจ “เมื่อคืนนายอ้วก! เสื้อผ้าสกปรก ฉันหวังดีถึงช่วยถอดให้ อย่าแปลเจตนาดีผิดๆ นะโว้ย!”
หวังดีงั้นหรือ
ทำไมคำนี้ออกมาจากปากเขา อย่ามาพูดจาไม่เข้าหู!
ลี่เฉินซีลงจากเตียงสีหน้าไม่พอใจ คว้าแก้วน้ำผึ้งจากมือลู่ส้าวหลิงอย่างไม่เกรงใจ เงยหน้าดื่มหมดก้ว แล้วเดินเข้าห้องน้ำ
ถ้าหากยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้งล่ะก็ เขาคงสงสัยลู่ส้าวหลิงชอบอะไรแบบนี้!
เดินออกมาจากห้องน้ำ ลี่เฉินซีอาบน้ำแล้ว ร่างกายกำยำพันเพียงผ้าขนหนู จ้องมองท่าทางสง่างามของลู่ส้าวหลิง “เสื้อผ้าล่ะ”
เขายักไหล่ “เสื้อผ้านายสกปรกมาก ฉันโยนทิ้งไปแล้ว นายไปห้องเสื้อผ้าฉันละกัน ลองหาดูชุดไหนใส่ได้ ก็เอามาใส่ละกัน!”
“…”
เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ลี่เฉินซีสวมชุดสูท เพราะความสูงของเขากับลู่ส้าวหลิงใกล้เคียงกัน น้ำหนักก็พอๆ กัน เสื้อผ้าจึงพอดีตัว จัดเนคไทพลางเดินออกมาข้างนอก ข้างหูก็มีเสียงดังลอยมา——
“เฮ้ย นายรีบคืนดีกับซูย้าวเถอะ! ไม่อย่างนั้นกลางคืนต้องมานอนข้างนอก เกิดวันไหนควบคุมตัวเองไม่ได้ ตื่นมาเจอสาวสวยนอนอยู่ข้างๆ ล่ะก็ เดี๋ยว…”
พูดยังไม่ทันจบ ลี่เฉินซีก็คว้าได้แก้วที่อยู่บนโต๊ะ ปาใส่ด้านหลังของลู่ส้าวหลิง
เขาว่องไว หลบอย่างรวดเร็ว แก้วตกลงบนพื้น แตกเป็นสองเสี่ยง
“เฮ้ย ฉันอุตส่าห์หวังดีปลอบนายนะ! ทำกับผู้มีพระคุณอย่างนี้เหรอ! รอดูต่อไปฉันไม่สนใจนาย!”
เพื่อหลบเลี่ยงลู่ส้าวหลิงโวยวาย ลี่เฉินซีไม่กินข้าวเช้า ขับรถตรงไปบริษัท
เขาทำงานตลอดวัน งานยุ่งจนไม่สนใจเวลา
กระทั่งหวางอี้เตือนเขา ถึงเวลาเลิกงานตอนเย็น เขาสูดลมหายใจลึก ค่อยนึกถึงคำพูดของลู่ส้าวหลิงเมื่อคืนวาน เขาเคยไม่ตั้งใจ ทำร้ายเธอหลายครั้งหลายคราเหลือเกิน ตอนนี้เมื่อรู้สึกตัวแล้ว อยากจะฟื้นความสัมพันธ์ ก็ต้องค่อยๆ จะรีบไม่ได้…
เขาจะชักช้าได้อย่างไร
วิธีที่ใช้กับผู้หญิงทั่วไป ใช้ไม่ได้กับเธอ ไตร่ตรองแล้ว ซูย้าว ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปจริงๆ!
ขณะที่เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่นั้น หวางอี้ก็เข้ามาในห้อง ท่าทางกระวนกระวาย พอเข้ามาก็รายงาน “ประธานลี่ ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเลขาบริษัทHS บอกว่าวันนี้ทั้งวันคุณหานไม่ได้เข้าออฟฟิศ…”
“เอ๊ะ” ลี่เฉินซีย่นคิ้ว จำได้ว่าเมื่อวานตอนแยกกัน เขาบอกว่าวันนี้จะติดต่อเธอ
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาหยิบมือถือขึ้นมา หาเบอร์ของหานฉ่ายหลิงโทรไปหาเธอ
ไม่มีคนรับสาย มีแต่เสียงแจ้งปิดโทรศัพท์
ปิดเครื่องงั้นหรือ
หานฉ่ายหลิงไม่เคยปิดเครื่อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หวางอี้เล่าอีก “เลขาบริษัทHS บอกด้วยว่า วันนี้ทางนั้นมีสัญญาสำคัญต้องเซ็น ก่อนหน้านี้คุณหานทุ่มเทให้โครงการนี้มาเดือนกว่า ไม่น่าจะมาร่วมงานโดยไม่มีสาเหตุ”
ความหมายที่แท้จริงในคำพูดนั้นก็คือ เธออาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ลี่เฉินซีขมวดคิ้ว พยักหน้า ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ เดินออกไปจากห้อง
ตอนที่ขับรถไปถึงบ้านตระกูลหาน ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อมาแล้ว
หลังกดกริ่งประตูบ้าน พี่เลี้ยงก็เปิดประตู พอเห็นลี่เฉินซี ก็มีท่าทางทุกข์ใจกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
สีหน้าของเขาตกใจ มีเสียงของพ่อหานดังมาจากข้างใน “ร้องอะไรนักหนา จะแช่งลูกสาวฉันหรือไง”
พี่เลี้ยงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
พ่อหานเห็นลี่เฉินซี ก็อึ้งไป ทันใดนั้นเหมือนเจออัศวินขี่ม้าขาว รีบสาวเท้าเข้ามาหาเขา “เฉินซีหรือ มาพอดีเลย ทำไงดี ฉ่ายหลิงลูก…”
“ฉ่ายหลิงเป็นอะไรครับ” ลี่เฉินซีมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ ดูท่าแล้ว เหมือนสถานการณ์ไม่สู้ดี
พ่อหานถอนหายใจจนปัญญา จูงมือลี่เฉินซีเดินเข้าไป นั่งลงแล้วเล่าให้ฟัง “ฉ่ายหลิงเกิดเรื่องแล้ว! รายละเอียด ลุงเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อวานฉ่ายหลิงไม่ได้กลับบ้าน…”
“เมื่อวานไม่ได้กลับบ้านหรือครับ” ลี่เฉินซีสายตากังวล เมื่อวานตอนเธอกลับถึงบ้านยังส่งข้อความมา บอกว่าถึงบ้านแล้ว
พ่อหานพยักหน้า “ลุงนึกว่าฉ่ายหลิงนัดกับเพื่อน หรือว่าไปอยู่บ้านเพื่อน เลยไม่ได้ถามอะไรมาก วันนี้ตอนเช้าโทรไปก็ปิดเครื่อง ติดต่อ ฉ่ายหลิงไม่ได้อีกเลย!”
เมื่อพูดอย่างนี้ ลี่เฉินซีก็คลายกังวลลงหน่อย “หรือว่ามือถือแบตหมด ลืมชาร์จแบตหรือเปล่าครับ”
ถึงอย่างไร หานฉ่ายหลิงก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว และโตขนาดนี้ อยู่ข้างนอกวันสองวัน พ่อแม่น่าจะเข้าใจได้
พ่อหานก็คิดเช่นนี้ แต่เขาส่ายหน้า หยิบจดหมายออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ แล้วยื่นให้เขา
ลี่เฉินซีเปิดออกดู เห็นกระดาษเอสี่ใบหนึ่ง ตัวอักษรแต่ละตัวตัดแปะมาจากหนังสือพิมพ์ เป็นวิธีการลักพาตัวที่นิยมใช้กัน เพื่อปกปิดสถานะ
เนื้อความเขียนชัดเจน หากไม่อยากให้หานฉ่ายหลิงตาย ห้ามแจ้งตำรวจ และห้ามติดต่อคนนอก ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงให้เตรียมเงินค่าไถ่สามร้อยล้านให้พร้อม ต้องการเงินสดเท่านั้น ถึงเวลาแล้วจะต้องบอกจุดส่งเงินอีกที
สามร้อยล้าน และยังเป็นเงินสด
เงินมากขนาดนี้ บริษัทHSจะไปหามาจากไหนในเวลาอันสั้น ต่อให้มีกระแสเงินสดก็ยังลำบาก
นอกจากปัญหาเงินค่าไถ่ มากไปกว่านั้น พ่อหานยังกังวลความปลอดภัยของลูกสาว
“บริษัทHS ไม่เหมือนเดิมตั้งนานแล้ว ตั้งแต่แรกเราก็ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร อยู่ๆ บอกว่าจะเอาสามร้อยล้าน นี่มันบีบเกินไปแล้ว!”
หยุดไปครู่หนึ่ง พ่อหานก็พูดขึ้น “ลุงอยู่ในแวดวงธุรกิจมานานขนาดนี้ ต่อให้ทำผิดกับใคร ก็ไม่น่าถึงขนาดทำกับลูกสาว! ลุงมืดแปดด้านจริงๆ!”
ลี่เฉินซีถือกระดาษเอสี่แผ่นนั้น สีหน้าเคร่งเครียด เงียบงันอยู่นานค่อยพูดขึ้น “ถ้าแค่ต้องการเงิน บริษัทลี่ซื่อมี สามร้อยล้านแลกชีวิต ฉ่ายหลิงปลอดภัยไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิด…”
ถ้าหากเป้าหมายการเรียกค่าไถ่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินจะทำยังไง
ไม่ให้แจ้งตำรวจ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ใครจะรับผิดชอบผลที่ตามมา
พ่อหานดูเหมือนจะเข้าใจสีหน้าของเขาบอกเป็นนัยๆ ครู่หนึ่ง ก็กุมมือของลี่เฉินซีแน่น พูดเร็วอย่างร้อนใจ “เฉินซี ลุงมีฉ่ายหลิงเป็นลูกสาวคนเดียว ต่อให้ต้องแลกชีวิตลุงก็ยอม ลุงไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไร! ในจดหมายเขียนไว้ แจ้งตำรวจไม่ได้ ถือว่าลุงขอร้องล่ะ อย่าแจ้งความเด็ดขาด!”
“ถ้าทำให้คนเรียกค่าไถ่ไม่พอใจล่ะก็ ฉ่ายหลิง…อาจเป็นอันตราย!”
พ่อหานอายุปูนนี้แล้ว แสดงความจริงใจเช่นนี้ และยังวิตกกังวล จนเกือบจะคุกเข่าให้ลี่เฉินซี
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ เขายังจะพูดอะไรได้
แต่เมื่อคำนึงข้อดีข้อเสียแล้ว สุดท้ายเขาพูดว่า “ตอนนี้เรายังไม่แจ้งความ ผมจะไปติดต่อเตรียมเงินประกัน และให้คนของบริษัทลี่ซื่อออกตามหาด้วย เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง!”