เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 243
บทที่ 243 เธอเป็นคนกำกับเองแสดงเอง
เหลืออีกสามวัน ก็จะถึงเวลาการขึ้นศาลในครั้งต่อไป
ซูย้าวรู้สึกมั่นใจในตัวของหลินเวยเป็นอย่างมาก อีกทั้งที่ผ่านมาได้คิดไตร่ตรองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ได้เตรียมใจหากแพ้คดี และพร้อมมอบสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลี่เจิ้งให้ตกเป็นของลี่เฉินซี
หรือบางทีอาจเป็นเหมือนที่เขาพูด เขาเป็นพ่อแท้ๆของลูก แล้วจะทำร้ายลูกได้อย่างไร
ในเมื่อชีวิตคู่การแต่งงานของทั้งสองไปต่อไม่ได้ อย่างนั้นลูกสองคนนี้ อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาหลงเหลือไว้ให้กับการแต่งงานในครั้งนี้!
เนื่องจากอาจมีปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีในชั้นศาล หลินเวยจึงได้นัดเธอไปพบที่สำนักงานเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ว่าในตอนเช้านั้น เธอกลับได้รับข้อความจากคุณแม่
ซูย้าวไม่สามารถพูดได้ โดยทั่วไปเธอมักสื่อสารกับผู้คนผ่านข้อความหรือวีแชท
คุณแม่ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบของเธอกับลูกๆ วินาทีที่ตอบกลับไปนั้น เธอก็รู้สึกใจหายว่าเธอนั้นได้หย่าแล้ว และลูกก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ แล้วเธอยังต้องแต่งเรื่องโกหกคุณแม่ของเธออีก ทำแบบนี้ช่างอกตัญญูจริงๆ!
แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า
จะปล่อยให้คุณแม่คอยกังวลเหมือนตัวเองตอนนี้ไม่ได้
เมื่อตอบข้อความเสร็จแล้ว ซูย้าวก็เก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋า แล้วก็หันกลับมาคุยสนทนาหารือกับหลินเวย ต่อทันที
โดยที่ไม่รู้ว่าในเวลานี้ที่บ้านพักคนชรา ในห้องของอานโล๋ยังมีแขกอีกคนอยู่ในนั้น
“คุณน้าคงจะส่งข้อความไปหาซูย้าวใช่ไหม” หานฉ่ายหลิงที่ริมฝีปากสีแดงสด จ้องมองหญิงชราคนนี้ด้วยใบหน้าที่เย็นชา
อานโล๋มองข้อความที่ลูกสาวตอบกลับมาทางวีแชท ถึงแม้ว่าซูย้าวจะตอบกลับมาเพียงว่า ‘สบายดีค่ะ’ แต่คำเหล่านี้กลับทำให้อานโล๋กังวลมากขึ้นไปอีก
นิสัยของลูกตัวเองเป็นแบบไหน มีหรือที่เธอจะไม่รู้
ยิ่งไปกว่านั้น หานฉ่ายหลิงยังนำหนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อหาข่าวที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาด้วย เป็นข่าวต่างๆนานาที่เกิดขึ้นภายในเดือนนี้ เริ่มตั้งแต่ข่าวผู้ต้องสงสัยในการลักพาตัวไปจนถึงข่าวการหย่าร้าง แม้กระทั่งเรื่องการฟ้องร้องคดีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกที่วุ่นวายจนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลกันในตอนนี้
อานโล๋เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็รู้สึกตกใจมาก ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าลูกสาวในตอนนี้กำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่! แล้วจิตใจจะย่ำแย่มากมายเพียงใด……
“คุณน้าคงจะรักและเป็นห่วงซูย้าวมากเลยนะคะ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะท่านเป็นคุณแม่ของเธอนิ! เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ปิดบังเรื่องการหย่าไม่บอกกล่าวให้ท่านทราบ” หานฉ่ายหลิงกล่าวต่อ
อานโล๋เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเศร้า “เธอมาพูดเรื่องเหล่านี้กับฉัน เธอต้องการจะทำอะไร”
“ซูย้าวหย่าแล้ว ฉันก็แค่ต้องการให้คุณน้าไปบอกกับเธอดีๆ! ให้ไปบำบัดจิตใจซะ และให้เธอล้มเลิกเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเจิ้งเอ๋อได้แล้ว” หานฉ่ายหลิงกล่าว
อานโล๋ขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมต้องให้ลูกสาวของฉันล้มเลิกเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกด้วย ลูกไม่ใช่เป็นของลี่เฉินซีฝ่ายเดียว! อีกอย่างหนึ่ง มันก็ไม่ใช่หน้าที่ธุระกงการอะไรของเธอที่จะมายืนพูดฉอดๆอยู่ตรงนี้มั้ง!”
หานฉ่ายหลิงยกริมฝีปากของเธอเล็กน้อยและยิ้มอย่างเย็นชา “ก็จริงอย่างที่ว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อฉันเป็นแฟนของเฉินซี!”
นิ่งไปชั่วขณะ แล้วเธอก็พูดเสริมขึ้น “ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ตอนนี้ฉันเป็นคู่หมั้นของเขาแล้ว เพียงแต่ติดขัดด้วยคดีนี้ จึงไม่สามารถประกาศความสัมพันธ์ชั่วคราวได้”
ความจองหองเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ สายตายังซ่อนด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง โดยสื่อเป็นนัยให้ทราบว่าที่ลี่เฉินซีหย่าขาดกับซูย้าวก็เพื่อเธอ
อานโล๋โมโหมาก จนต้องกัดฟันเก็บอาการไว้ ใบหน้ามืดพูดด้วยความโกรธ “เธอเป็นคู่หมั้นของเขาแล้วยังไง เธอยังไม่ได้แต่งงานกับเขาสักหน่อย ยังไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงของลี่เจิ้งสักหน่อย และเธอถือสิทธิ์อะไรมาบอกให้ลูกสาวของฉันล้มเลิกสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก”
“ท่านใจเย็นๆก่อนสิคะ! ท่านก็รู้บารมีของบริษัทลี่ซื่อดี ถ้าหากลงมือทำจริงๆแล้ว ท่านคิดว่าคดีการฟ้องร้องครั้งนี้ ซูย้าวจะชนะได้หรือ” หานฉ่ายหลิงถามกลับ
ทันใดนั้นดวงตาของอานโล๋ตึงเครียดขึ้นจนหมดคำพูด
หานฉ่ายหลิงยังพูดขึ้นอีก “ในเมื่อรู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้ว ทำไมยังต้องทำเรื่องให้ไปถึงจุดจุดนั้นด้วยเล่า เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน! อีกอย่างซูย้าวเองก็ยังตั้งท้องอยู่! ต่อไปเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไหนจะต้องดูแลลูกอีก หาเงินหาทองไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ ควรจะประหยัดๆหน่อยไม่ใช่เหรอ”
ก้นบึ้งจิตใจของอานโล๋โกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟ คำพูดจึงดุเดือดรุนแรงขึ้น “แม้กระนั้นเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเสแสร้งแสดงเป็นคนดีที่นี่! หานฉ่ายหลิง อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เรื่องผู้ต้องสงสัยการลักพาตัวเธอก่อนหน้านี้”
หนังสือพิมพ์ที่เธอเพิ่งนำมาเมื่อสักครู่ ได้รายงานเนื้อหาทั่วไปอย่างพอสังเขป อานโล๋เพียงแค่ชำเลืองดูผ่านๆ แต่หัวข้อข่าวที่พาดตัวอักษรใหญ่ชัดเจนนั้น ก็สามารถพอจะทำให้เข้าใจได้
หานฉ่ายหลิงจึงไม่ปกปิดอีกต่อไป จึงพยักหน้ารับตรงๆ “ใช่ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะฝีมือของลูกสาวของท่านไง!”
“ผู้หญิงแบบเธอเนี่ยนะจะถูกลักพาตัว ฉันเป็นคนคลอดซูย้าว ฉันย่อมจักรู้นิสัยของเธอดี บางอย่างเธอสามารถทำได้ แต่บางอย่างต่อให้ฆ่าเธอให้ตาย เธอก็ไม่มีทางที่จะทำ! ส่วนคดีลักพาตัว เธอคงเป็นคนกำกับเองแสดงเองมั้ง”
อานโล๋หรี่ตามองเธออย่างดุเดือด คำที่พูดออกมานั้นก็ยิ่งทำให้คนตกใจ
หานฉ่ายหลิงตกใจค้าง เธอประเมินหญิงชราคนนี้ต่ำเกินไป เจ็บป่วยออดๆแอดๆ บ้าๆบอๆมาครึ่งค่อนชีวิต กลับไม่ได้ทำให้สมองเลอะเลือน!
เมื่อเห็นหานฉ่ายหลิงเงียบไม่พูดไม่จา อานโล๋ก็รู้ว่าตัวเองนั้นเดาทางได้ถูกต้อง “นี่เธอใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้มาใส่ร้ายลูกสาวของฉัน เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ!”
“ท่าน…..” จู่ๆหานฉ่ายหลิงก็ถูกเปิดโปงความจริง จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคน ถึงได้รวบรวมความกล้าแล้วพูดอย่างเหิมเกริมขึ้นว่า “ท่านอย่าได้พูดมั่วซั่วนะ ! ฉันต่างหากคือเหยื่อผู้ถูกกระทำ พูดพล่อยๆแบบนี้พูดออกไป จะมีใครหน้าไหนที่จะเชื่อท่านล่ะคะ”
แต่อานโล๋กลับพูดว่า “ฉันจะให้คนอื่นเชื่อฉันไปทำไม ในเมื่อตัวฉันเองก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกสาวของฉันคืนดีกับลี่เฉินซี ตราบใดที่ผู้หญิงอย่างเธอมีชีวิตอยู่ ต่อให้พวกเขาจะยังไม่ได้หย่า ก็คงจะไม่มีความสุขอยู่ดี!”
หานฉ่ายหลิงชะงักค้างอีกครั้ง เมื่อได้สติขึ้นได้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแสยะขึ้น “ นึกไม่ถึงว่าสมองของหญิงชราอย่างท่านจะปราดเปรื่องเช่นนี้!”
ในที่สุดก็รู้ว่าที่ซูย้าวสามารถอ่านใจคนได้ มียีนที่เก่งด้านจิตวิทยานั้นได้สืบทอดมาจากใครแล้ว
“พวกเขาหย่าขาดจากกันก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ลูกๆนั้น เป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากตัวของลูกสาวของฉัน ไม่ว่าจะต่อสู้หรือยอมแพ้คดีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ก็เป็นสิทธิ์ของลูกสาวของฉันในการตัดสินใจ ส่วนคนอื่นไม่มีสิทธิ์!” อานโล๋กล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยแววตาแน่วแน่ จนทำให้คนไม่กล้าที่จะตอบโต้
การสนทนากันในครั้งนี้คงจะล้มเหลว แต่ถึงอย่างไรหานฉ่ายหลิงก็บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว โชคดีที่เธออยู่ต่อไม่นาน สักพักก็หันหลังจากไป
หลังจากที่เธอจากไปแล้ว อานโล๋ก็ได้นั่งอยู่คนเดียวในห้องอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ได้ไปหยิบขวดยาในลิ้นชักออกมาแล้วกลืนเข้าไปสองสามเม็ด จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเรียกแท็กซี่มาหนึ่งคันเพื่อเข้าไปในเมือง
รถคันสีดำที่มาจอดอยู่ข้างๆบ้านพักคนชรามาโดยตลอด หานฉ่ายหลิงเห็นหญิงชราที่จากไปอย่างรีบร้อน จึงผุดรอยยิ้มขึ้น
การสนทนากันเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้อานโล๋เกิดการเคลื่อนไหว ต่อไปนี้ต่างหากเล่าถึงจะเป็นสาระสำคัญ
เธอหยิบโทรศัพท์สำรองออกมา แล้วกดโทรออกอย่างรวดเร็ว
“เตรียมลงมือได้เลย! หญิงชราคนนั้นได้ออกไปแล้ว จำไว้ว่าเวลาลงมืออย่าออมมือ และจัดการให้เรียบร้อยด้วย ฉันจะให้ค่าตอบแทนเป็นสองเท่า ส่วนทะเบียนรถคือ…..”
เมื่อวานสายโทรศัพท์ ริมฝีปากบางของหานฉ่ายหลิงยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา
เดิมทีกะว่าจะลงมือนิดๆหน่อยพอหอมปากหอมคอ เพื่อเป็นการสั่งสอนซูย้าว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหญิงชราอานโล๋คนนี้ สมองช่างฉลาดปราดเปรื่องนัก จนเธอแทบจะตามไล่ไม่ทัน และสามารถมองเกมเธอออก หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้อีกแล้ว!
หันหน้าไปดูบ้านพักคนชรา หานฉ่ายหลิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อใครบางคน และรับสั่งว่า “บ้านพักคนชราท่ายคางที่อยู่ชานเมือง กล้องวงจรปิดของที่นี่จงจัดการให้เรียบร้อย ภาพที่ฉันเดินเข้าออกจงลบทิ้งซะ!”
เมื่อวางสายเสร็จ เธอก็ลงจากรถอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปที่บ้านพักคนชรา มองไปยังนางพยาบาลต้อนรับที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ และได้พูดขึ้นว่า “ห้องทำงานของคณบดีของพวกคุณอยู่ชั้นไหนคะ”
“ชั้นห้าค่ะ”
“ค่ะ รบกวนคุณจะเดินขึ้นไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม” หานฉ่ายหลิงกล่าว
นางพยาบาลก็พยักหน้าแต่โดยดี “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณขึ้นไปนะคะ”
หานฉ่ายหลิงยิ้มกว้างก็ยิ่งดูน่ากลัว ต้องการที่จะอุดปากของนางพยาบาลคนนี้ เห็นทีต้องใช้กลอุบายสักหน่อย……