เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 246
บทที่ 246 อย่าไปเชื่อเธออีกเลย
ข่าวการเสียชีวิตของอานโล๋ ไม่ถึงครึ่งวันข่าวก็ได้แพร่กระจายถึงคนที่เกี่ยวข้องทราบกันถ้วนหน้า
ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่วนรายละเอียดนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสองรายและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จึงเป็นอุบัติเหตุประเภทรุนแรง การตรวจสอบต้องเป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบแน่นอน เพื่อให้ผู้คนหายข้องใจ
เพียงแต่การเสียชีวิตต้องแจ้งให้กับทางญาติได้ทราบ เพื่อมารับศพกลับไป แต่หลินโม่ป่ายกลับรับหน้าที่เป็นคญาติของอานโล๋ในการรับศพแล้วเก็บรักษาไว้ในโลงชั่วคราว
ในเวลานี้ซูย้าวยังเป็นผู้ต้องสงสัยถูกคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจเพื่อสอบสวน และเธอยังตั้งครรภ์อยู่ เพื่อความปลอดภัยของลูกในครรภ์ จึงยังไม่มีการบอกข่าวร้ายนี้ให้กับเธอทราบชั่วคราว
ดังนั้น โม่หว่านหว่านจึงเห็นด้วย รวมทั้งหลินเวยและทุกคนต่างช่วยกันปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องของอานโล๋ เก็บไว้แล้วค่อยคุยกันทีหลัง
แต่ทางด้านฝั่งบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป ทันทีหวางอี้ได้รับข่าว ก็อยากจะมารายงานให้เจ้านายทราบทันที แต่เมื่อเห็นรองประธานหลายท่านกับผู้บริหารระดับสูงกำลังสนทนาหารือกันเรื่องงาน ทันใดนั้นจึงเกิดอาการลังเลขึ้นมา
และบังเอิญเข้ากับที่หานฉ่ายหลิงดันเข้ามาในเวลานี้พอดี
“คุณหานครับ ประธานลี่กำลังคุยสนทนากับเหล่าท่านรองประธานอยู่ในห้องครับ!” หวางอี้ทำการอธิบาย
หานฉ่ายหลิงพยักหน้า แต่เมื่อเห็นท่าทางของหวางอี้แล้วจึงได้ขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป มีเรื่องด่วนอะไรเหรอ”
ในเมื่อฝั่งตรงข้ามถามขึ้น หวางอี้ก็ไม่สามารถที่จะไม่พูด จึงได้บอกเรื่องข่าวการเสียชีวิตของมารดาซูย้าวให้กับหานฉ่ายหลิงทราบ
เมื่อเธอได้ยินแล้วไม่มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด เธอพูดอย่างเฉยเมยว่า “อืม ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปบอกข่าวให้กับเฉินซีทราบเอง!”
หลังจากนั้นไม่นานรองประธานต่างๆทยอยกันออกจากห้องสำนักงานไป ส่วนเหล่าผู้บริหารระดับสูงก็ทยอยกันจากไปด้วย หานฉ่ายหลิงถึงได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปที่ห้องสำนักงาน
ลี่เฉินซียังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน พักนี้งานช่างเยอะแยะมากมายจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน จนสมองเริ่มมีอาการเจ็บเล็กน้อย จึงได้ยกมือขึ้นมานวดที่ขมับ และก็เหลือบไปเห็นหานฉ่ายหลิงที่กำลังเดินเข้ามา
“คุณมาแล้วเหรอ!” เขาเย็นชา และแววตาสังเกตเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ค่อนข้างซึมเศร้า ดวงตาแดงเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เป็นอะไรเหรอ”
หานฉ่ายหลิงเดินตรงไปที่โซฟาแล้วนั่งลง นั่งมองแก้วน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย แล้วส่ายหน้าขึ้น เสแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร “ไม่มีอะไรค่ะ เฉินซีคุณกำลังยุ่งอยู่เหรอ”
เขาชำเลืองมองเอกสารบนโต๊ะและงานในคอมพิวเตอร์ที่ยังจัดการไม่เสร็จ จึงพูดว่า “งานนี้ ทำทั้งคืนทั้งวันก็ไม่เสร็จ แต่ไม่เป็นไร คุณบอกมาก่อนว่าคุณเป็นอะไร”
ขณะที่ลี่เฉินซีพูด ได้ลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงที่โซฟา
ใบหน้าทุกข์ใจของหานฉ่ายหลิงได้ซบเข้าไปที่อ้อมอกของเขา และโอบเข้าที่แขนอันแข็งแกร่งและทรงพลัง โดยที่แก้มแนบชิดกับทรวงอกของเขา “เฉินซี ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น!”
“ไม่สบายใจอย่างนั้นเหรอ” เขาชะงัก “อยู่ ดีๆ ไม่สบายใจเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
หานฉ่ายหลิงค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า กัดริมฝีปากที่กำลังสั่นเทา และแสดงท่าทีที่น่าเวทนาจนคนอดไม่ได้ที่จะสงสาร
“พูดมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาถามขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงโดยไม่ต้องพูดก็รู้สึกได้
หานฉ่ายหลิงกุมมือของเขาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ถ้าฉันพูดแล้วคุณอย่าได้เสียใจนะ และต้องใจเย็น ตกลงไหม”
เขาขมวดคิ้วขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“ฉันก็เพิ่งรู้จากหวางอี้เมื่อสักครู่ว่า เมื่อตอนกลางวันที่ถนนผูขุยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีผู้เสียชีวิตสองรายและได้รับบาดเจ็บมากมาย หนึ่งในผู้เสียชีวิตคือแม่ของซูย้าว”
คำพูดเบาๆ ฉับพลันนั้นราวกับดาบที่แหลมคม ทำให้รูม่านตาของลี่เฉินซีตึงขึ้นทันที
แม่ของซูย้าวเสียชีวิตแล้ว?!
หานฉ่ายหลิงจ้องใบหน้ารูปงามของเขา และสังเกตท่าทางการแสดงออกของเขา จากนั้นเสียงที่นุ่มนวลก็เริ่มขึ้นและกล่าวต่อว่า “อีกอย่างฉันยังได้ข่าวมาว่า ทางตำรวจได้หลักฐานใหม่ที่มัดแน่นชี้ชัดว่าซูย้าวคือผู้อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัว เธอถูกจับกุมตัวไปที่สถานีตำรวจแล้ว…..”
ทันใดนั้นใบหน้าหล่อเข้มของลี่เฉินซีได้หม่นลง ดวงตาดำขลับกะพริบขึ้น จากนั้นก็ได้ปล่อยมือเธอออก ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉ่ายหลิง ต้องขออภัยที่วันนี้ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณได้ คุณกลับไปพักผ่อนก่อนนะ”
“ แต่ว่าเฉินซี……” เธอร้อนรนขึ้นฉับพลัน รีบลุกขึ้นแล้วดึงมือของเขาไว้
ลี่เฉินซีหันหลังมา “เป็นอะไร”
“ฉันรู้ ตั้งแต่เกิดเรื่องการลักพาตัว คุณก็ไม่เชื่อว่าซูย้าวคือผู้อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากพวกคุณเคยเป็นสามีภรรยา บอกตรงๆว่าฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อ!”
หานฉ่ายหลิงพูดมาถึงตรงนี้ เบ้าตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้น น้ำตาเริ่มไหล ราวกับว่าเสียใจเป็นอย่างมาก ลืมตากลมโตขึ้น โดยที่น้ำตาไหลนองอาบแก้ม
เธอดึงมือของเขาไว้ด้วยท่าทางที่อ่อนแอยิ่งทำให้รู้สึกว่าไร้เดียงสา “เมื่อก่อนฉันเห็นว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ! จะไปเชื่อได้อย่างไรว่าเธอจะสามารถทำร้ายฉัน แต่……เฉินซี ถ้าหากว่าไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น ฉันจะต้องไปแก้ต่างให้กับเธอที่สถานีตำรวจอย่างแน่นอน แต่ว่า……”
หานฉ่ายหลิงยิ่งพูดยิ่งปวดใจ ยิ่งร้องไห้ฟูมฟาย ราวกับว่าไม่สามารถหยุดน้ำตาได้ เธอก้มหน้าลงแล้วสะอึกสะอื้น “คุณรู้ไหมว่าพักนี้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อหลับตาลงก็เห็นภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น สองคนนั้นบังคับฉัน ถอดเสื้อผ้าของฉัน และล่วงเกินฉัน…..”
แต่ทว่าในใจยังมีรักอยู่หน่อยๆ เมื่อได้ยินคำเหล่านี้แล้ว ย่อมเหมือนกับมีดที่คมกริบทิ่มแทงเข้ามาที่ดวงใจของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
มีชายคนใดที่จะยอมให้หญิงที่ตนรักถูกชายอื่นล่วงเกิน
หานฉ่ายหลิงจงใจพูดเช่นนี้ เพื่อต้องการทดสอบปฏิกิริยาการตอบสนองของเขา
แต่ว่ามีหนึ่งประโยคที่พูดไว้ว่าอย่างไรนะ
อย่าได้ไปทดสอบคนคนหนึ่งว่ารักคุณอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะว่าผลลัพธ์อาจเหนือไปจากที่คุณคาดคิดไว้ และอาจจะสามารถทำลายความสัมพันธ์ลงได้
หานฉ่ายหลิงไม่เชื่อ และเธอต้องการอยากจะลอง
คนที่รักกันปานจะกลืนในตอนนั้น จะลืมความสัมพันธ์ตอนนั้นไปได้อย่างไร! เธอเชื่อว่าเขายังคงรักตัวเองอยู่
เพียงแต่ว่าถูกคนใบ้คนนั้นคั่นระหว่างกลางไว้ และกักขังควบคุมความคิดของเขาไว้ก็เท่านั้น แต่ว่าตอนนี้เขาได้ถูกปลดปล่อยแล้ว เขาได้หย่าแล้ว เพราะฉะนั้นเขาสามารถปล่อยวางทุกอย่างแล้วมารักกับเธอได้อย่างสบายใจได้แล้ว!”
โดยไม่ต้องมีใครมาขัดขวางพวกเขาได้อีก…..
แต่หานฉ่ายหลิงกลับรอแล้วรอเล่า ร้องจนแทบจะร้องไม่ออกแล้ว เธอก็ยังไม่เห็นมีวี่แววหรือได้ยินคำพูดใดๆจากเขา
จนในที่สุดเธอจึงทำได้แค่เงยหน้าขึ้น และสิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นดวงตาดำขลับราวกับต้องมนต์สะกดของเขา และคิ้วที่ขมวดแน่นขึ้น
“เฉิน เฉินซี……”
ทันใดนั้นหานฉ่านหลิงชะงักค้าง จนลืมไปเสียสนิทว่าควรจะตอบสนองเช่นไร!
“ดังนั้น?”
แค่เพียงหนึ่งคำที่พูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่อุณหภูมิกลับเย็นยะเยือก จนทำให้เธอถึงกับหนาวสั่นไปทั้งตัว
จมูกหานฉ่ายหลิงพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้า พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตา “ดังนั้นฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าความจริงได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ทราบว่าทำไมเธอถึงทำเช่นนี้ แต่เรื่องที่เธอได้ทำร้ายฉัน มันเป็นเรื่องจริง!”
พลางพูดเธอก็พลางเดินก้าวมาด้านหน้า แล้วจับมือของเขาไว้แน่น ด้วยแววตาคาดหวัง “อย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกของเธอครอบงำอีกได้ไหม คุณกับเธอได้หย่ากันแล้ว ต่อไปก็ควรจะมีชีวิตของใครของมัน อย่าให้เธอได้มาปรากฏตัวต่อชีวิตของพวกเราอีกเลย เฉินซี ฉันกลัวจริงๆ!”
เธอนำร่างเล็กๆที่อ่อนแอของเธอพิงซบเข้าไปที่อ้อมอกของเขา ราวกับกำลังร้องขอความอบอุ่นเพื่อหลบลมพายุที่ถาโถม ท่าทางน่าสงสารจนทำให้ไม่อาจจะปฏิเสธได้ลง
ลี่เฉินซียกมือขึ้นมาลูบผมยาวสลวยของเธอ คู่ดวงตาที่เศร้าหมองของเขาไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง พูดเพียงว่า “กลัวอะไร”
“ฉันกลัวว่าเธอจะทำร้ายฉันอีก! ครั้งนี้ทำให้ฉันกลัวมากพอแล้ว สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันเจ็บปวด ชาตินี้ก็คงไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เฉินซี ถือว่าทำเพื่อฉันเถอะนะ อย่าไปเชื่อเธออีกเลยจะได้ไหม”