เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 258
บทที่ 258 จะไม่รู้สึกผิดต่อเธอได้อย่างไร
ตะลึงครู่หนึ่ง หานฉ่ายหลิงสีหน้าสับสน กล่าวได้ว่าไม่อาจระงับอารมณ์โกรธได้
เธอพยายามฝืนยิ้มพูดกลบเกลื่อนสั้นๆ บนเวที แล้วตามผู้จัดการลงจากเวทีเข้าไปในร้านอาหาร ความโมโหที่เก็บซ่อนไว้ก็ระเบิดออกมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาหารที่เชฟทำล่ะ ไม่ใช่ทำเสร็จก่อนยี่สิบนาทีหรือ จะหายไปได้ยังไง!”
ผู้จัดการตกใจจนสติกระเจิดกระเจิง ก้มหน้างุดอธิบายไม่หยุด “พวกเราหาทั่วแล้ว แต่ไม่มี! ทั้งหมดยี่สิบรายการ มีสิบสองรายการที่เชฟออกแบบใหม่ล่าสุด นี่เป็นการเปิดตัวครั้งแรก พวกเรารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ระมัดระวังเต็มที่ แต่…”
“ไม่ได้เรื่อง! แค่อาหารยี่สิบอย่างดูแลไม่ได้หรือไง” หานฉ่ายหลิงดุพลางเดินเข้าไปในครัวด้านหลังอย่างเดือดดาล
ในห้องครัวยุ่งเหยิงวุ่นวาย หลายคนกังวลเพราะอาหารใหม่หาย บางคนค้นหา บางคนปัดความรับผิด ต่างคนต่างพูด เสียงดังเอะอะมะเทิ่ง แต่เสี้ยววินาทีที่หานฉ่ายหลิงเดินเข้ามา ก็เงียบกริบ
เมื่อยืนยันว่าอาหารที่หายไปทั้งยี่สิบรายการยากที่จะหาเจอ หานฉ่ายหลิงทำได้แค่สูดลมหายใจลึก ปั้นสีหน้ายิ้มแย้มเคาะประตูห้องพักผ่อนของเชฟ
เชฟคนนี้มีชื่อเสียงมาก ร้านอาหารหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างว่าจ้างค่าตัวแพง ครั้งนี้ให้เกียรติมาที่ร้านอาหารของเธอ ก็เพราะเห็นแก่หน้าของลี่เฉินซี
แม้จะโกรธจัดแค่ไหน ก็ไม่อาจระบายอารมณ์กับเชฟคนนี้ได้ ถึงอย่างไร อาหารที่หายไป ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเชฟ
หานฉ่ายหลิงพึมพำกับตัวเองหลายวินาที แน่ใจว่าอารมณ์ผ่อนคลายลงแล้ว ค่อยเคาะประตู “คุณบรอน คือว่า…”
ไม่รอให้เธอพูดจบ บรอนโคโน เดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร รีบยกมือห้าม “เดิมทีเกิดเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับผม แต่ผมเป็นเพื่อนสนิทกับเฉินซีมาหลายปี เห็นแก่เขา ผมจะช่วยหาวิธีเต็มที่ละกัน!”
เมื่อเชฟพูดอย่างนี้ หานฉ่ายหลิงนอกจากขอบคุณ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ในห้องครัวเริ่มงานที่วุ่นวายอีกครั้ง แข่งขันกับเวลา หานฉ่ายหลิงก็รีบไปรับหน้าทุกคน ยังมีสื่อที่ชะเง้อคอรอคอยมานาน ยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น
ลี่เฉินซีให้สัมภาษณ์นักข่าวสั้นๆ ก็เดินกลับเข้ามาในร้านอาหาร ก็พบว่าที่นั่งของลี่เจิ้งว่างเปล่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
เวลานี้หวางอี้เดินมาจากด้านหลัง เห็นเขาก็รีบเดินเข้ามา กระซิบกับเขา “ประธานลี่ คุณหนูอยู่ที่ลานจอดรถ!”
ลี่เฉินซีพยักหน้า
เด็กคนนี้ หลายปีมานี้ไม่ถูกกับหานฉ่ายหลิง ถึงกับเป็นน้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้ แต่ลี่เจิ้งยากที่จะคาดเดา อายุนิดเดียวแต่ควบคุมอารมณ์ได้ดี คนที่ไม่ชอบ ก็อยู่ห่างๆ คนที่ชอบ ก็ไม่สนิทสนมมากเกินไป
วิธีการแบบนี้ ลี่เฉินซีไม่เคยสอนมาก่อน แต่เจ้าลูกคนนี้กลับทำได้ พรสวรรค์จริงๆ!
เขาดูเวลา สัญญากับลูกชายหนึ่งชั่วโมง ใกล้จะถึงแล้ว แจ้งคนที่มาด้วย แล้วให้ กัวหลิน ไปบอกหานฉ่ายหลิง ตัวเองนำหวางอี้ออกทางประตูหลังร้านไปที่ลานจอดรถ
คิดว่าลี่เจิ้งนั่งรอเขาในรถแล้ว นึกไม่ถึง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็ต้องประหลาดใจ
ลี่เจิ้งใส่ชุดสูทเนี้ยบทั้งตัว แต่นั่งยองๆ ตรงหน้าเขา เป็นเด็กชายอายุสี่ห้าขวบนั่งอยู่ ในมือถืออาหารหลายอย่าง กินอย่างเอร็ดอร่อย
เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักมาก ผิวขาวเนียน ดวงตาและคิ้วเรียวงาม เค้าโครงหน้าตาเทพบุตร ตากลมโตเหมือนไข่ห่าน กลิ้งไปมา ท่าทางการกินอาหาร น่ารักน่าชัง ปากเลอะเปื้อนเนย ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ แต่เด็กคนนี้แต่งตัวธรรมดา ค่อนข้างสกปรกด้วยซ้ำ ท่าทางกินมูมมาม เหมือนกับหิวมานาน
หวางอี้คิดจะเดินเข้าไป แต่ลี่เฉินซีห้ามไว้ เขาสังเกตเงียบๆ เด็กคนนี้ ไม่เหมือนเด็กจรจัด แต่ก็ให้ความรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ผิดปกติตรงไหนนะ
เขาเองก็บอกไม่ถูก
เด็กชายพูดพลาง มือเล็กๆ ส่งเค้กสองชิ้น ให้ลี่เจิ้ง “พี่ชาย กินสิ!”
แต่ไหนแต่ไรมา ลี่เจิ้งเลือกกินอาหาร อาหารรสเลิศมากมายที่บ้านไม่กิน แต่ตอนนี้ สนใจเค้กที่เด็กชายส่งให้ ยื่นมือไปรับมา และยังพูด “ขอบใจนะ!”
เด็กสองคนนั่งกันตรงนั้น กินอย่างมีความสุข
หวางอี้กับลี่เฉินซียืนอยู่ไม่ไกล ดูเหมือนจะตะลึง
“พี่ชาย วันนี้ต้องขอบคุณพี่ ไม่อย่างนั้นผมถูกจับได้แน่!” เด็กชายกินไปพอสมควรแล้ว ถูกลี่เจิ้งดึงมือลุกขึ้น
ลี่เจิ้งกลับพูด “ไม่เป็นไร แต่ทำไมนายต้องขโมยของกินด้วย พ่อแม่นายไม่พาไปร้านอาหารกินข้าวหรือ”
เมื่อพูดถึงพ่อแม่ เด็กชายก็ก้มหน้า ใบหน้าเศร้าสร้อย เหมือนเจอคำถามที่ทำให้เจ็บปวด
ลี่เจิ้งรู้สึกได้ รีบขอโทษ “เอ่อ พี่ไม่ควรถาม ขอโทษๆ!”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรครับ พี่ชายเป็นคนดี ขนมชิ้นนี้ ให้พี่ละกัน!”
“…”
ลี่เจิ้งมองขนมที่เด็กชายยื่นให้ รับไปอย่างอายๆ
ลี่เฉินซีกับหวางอี้เดินเข้าไปหา ลี่เจิ้งก็เห็นทั้งสองคน ทำมือลากับเด็กชาย จะขึ้นรถ แต่เหมือนนึกอะไรได้ “จริงสิ น้องชาย นายชื่ออะไร”
“เตียวเตียว!”
“…”
ลี่เจิ้งอึ้ง ชื่อนี้…
ลี่เฉินซีงงงวย ระหว่างทางกลับ ลี่เจิ้งที่แต่ไหนแต่ไรไม่ยิ้มแย้มร่าเริง กลับมองเค้กในมือ ไม่รู้คิดอะไร ยิ้มแล้ว
ยิ้มจริงๆ!
เขาเห็นลูกชายมีรอยยิ้มที่นานๆ ทีจะได้เห็น ความรู้สึกระคนปนเป อย่าลืมว่า เด็กคนนี้เมื่อจากแม่เมื่อห้าปีก่อน ร้องไห้อาละวาดอยู่นานมาก ทั้งวันคอยเอาแต่ถามเขา แม่ไม่ต้องการเขาแล้วใช่ไหม…
ลี่เจิ้งหยิบเค้กขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ กิน
เมื่อหวางอี้สังเกตอีกครั้ง เค้กก้อนนั้น ก็ถูกลี่เจิ้งกินหมดแล้ว ทำให้หวางอี้ตะลึงเช่นกัน สายตามองลี่เฉินซีงงงวย สองคนสบตากัน แสดงว่าไม่เข้าใจ
ช่วงบ่ายวันนั้น ลี่เฉินซีไม่ผิดคำพูด พาลูกชายไปตีกอล์ฟ วันรุ่งขึ้น ก็ไปส่งเจิ้งเอ๋อที่โรงเรียน
ลี่เจิ้งอายุแปดขวบแล้ว เมื่อปีก่อนเริ่มเข้าเรียนชั้นประถม ผลการเรียนดีมาก อาจเป็นเพราะพันธุกรรมดีมาก อายุนิดเดียวแต่ฉลาดมาก เพิ่งเข้าเรียนประถมหนึ่ง ก็เข้าใจความรู้ในบทเรียนได้ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะตัวน้อย
หลายปีมานี้ ลี่เฉินซีไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ทุกวันจะต้องไปส่งลูกชายเข้าเรียนตรงเวลา ตั้งแต่อนุบาลในตอนนั้น จนถึงประถมในตอนนี้ ไม่เคยเปลี่ยน
เดิมคิดว่าวันนี้จะเหมือนทุกวัน แต่นึกไม่ถึง วันนี้กลายเป็นวันที่มืดมิดที่สุดในชีวิตลี่เฉินซี
หวางอี้รีบวิ่งเข้ามาในออฟฟิศ เขายังคุยธุระกับรองประธาน เห็นหวางอี้ลนลานหน้าถอดสี ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
“ประธานลี่ แย่แล้ว คุณหนู…”
เมื่อพูดถึงลูกชาย ลี่เฉินซีแทบหยุดหายใจ ลุกพรวด “เจิ้งเอ๋อเป็นอะไร”
“คุณหนูเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียน ครูเพิ่งโทรมา ตอนนี้ถูกส่งไปโรงพยาบาล!” หวางอี้เล่า
เมื่อได้รับข่าว ลี่เฉินซีที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยหวั่นไหว เผชิญหน้ากับทุกเรื่องอย่างสุขุม แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ปากกาที่ถือในมือร่วงหล่นลงพื้นดังกริ๊ก
รีบไปโรงพยาบาลด่วนที่สุด ก็เห็นแต่ ลี่เจิ้งที่เสียบท่อระโยงระยางถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด ประตูบานใหญ่กันทุกคนไว้ข้างนอก เข้าไปไม่ได้
เกิดอุบัติเหตุหนักแค่ไหน ทำให้เด็กแปดขวบ ต้องถูกเข็นเข้าไปผ่าตัดรักษา
ลี่เฉินซีไม่อยากเชื่อ ความทุกข์และจนปัญญาถาโถมเข้ามา พริบตาซัดสาดใส่เขา
เขาเคยรับปากผู้หญิงคนนั้น จะดูแลลูกชายให้ดี ถ้าหากเจิ้งเอ๋อเป็นอะไรล่ะก็ เขาจะไม่รู้สึกผิดต่อเธอได้อย่างไร!