เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 266
บทที่ 266 ทั้งหมดนั้นสำคัญไม่เท่าลูกชายผม
ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองขนาดใหญ่ ด้านข้างก็มีคนเดินเข้าออกกันอย่างพลุกพล่าน รวมถึงพนักงานที่กำลังขายของกันอยู่ บรรยากาศคึกคักมาก ผู้คนเดินไปมาอย่างหนาแน่น
ผู้หญิงคนนั้นก็ลงมือได้โหดร้ายจริงๆ เด็กน้อยคนนั้นก็พึ่งอายุสี่ห้าขวบเอง ต้นคอขาวเนียนถูกตีจนเป็นรอยบวมแดง ไม่รู้ว่าด้านในเสื้อผ้าจะเป็นยังไง
ถึงเด็กน้อยคนนั้นจะไม่วิ่งมา ซูย้าวก็จะเดินเข้าไปห้ามอยู่ดี
อยู่ในสถานที่คนเยอะแบบนี้ ยังกล้าตีลูกได้โหดร้ายขนาดนี้ ถึงจะเป็นแม่ แต่ก็ไม่ควรทำแบบนี้!
แต่ใครจะไปนึกว่า เด็กคนนั้นจะกล้าวิ่งมา แล้วตรงมาหาตัวเอง พร้อมกับกอดขาตัวเองเอาไว้ เพื่อเกาะคนที่จะสามารถช่วยเขาได้ สายตาที่ดูหวาดกลัว แถมเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เหมือนกับร้องขอชีวิตอย่างไงอย่างงั้น และก็อยากให้เธอยื่นมือมาช่วย
“พี่สาว ช่วยผมด้วย!”
ซูย้าวไม่สามารถปฏิเสธเด็กคนนั้นได้ เพียงครู่เดียวเธอก็ใจอ่อนทันที แล้วรีบก้มลงมาเอาเด็กไปไว้ด้านหลัง และในขณะเดียวกันผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาเหมือนกัน
“เด็กเหลือขอ แกมานี่เดี๋ยวนี้!” ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะทนไม่ไหว สีหน้าแดงก่ำ เต็มไปด้วยความน่ากลัว
ซูย้าวจึงพูดขึ้น “คุณผู้หญิงท่านนี้ แค่เด็กน้อยเท่านั้น ไม่เห็นต้องโมโหขนาดนี้เลย!คุณใจเย็นๆ ก่อน อย่าไปลงไม้ลงมือกับเด็กเลย!”
เธอพูดดีมาก คนรอบข้างก็พากันพูดเกลี้ยกล่อม “ใช่ แค่เด็กตัวเล็กๆ เอง จะไปเข้าใจอะไร?ลูกตัวเองแท้ๆ ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย!”
ทุกคนต่างช่วยกันพูด และเป็นคำพูดดีๆ ทั้งนั้น
แต่เหมือนว่า หล่อนกำลังเดือดสุดๆ จึงทำให้ไม่ฟังใครเลย “เด็กแล้วจะทำไมล่ะ?เด็กแบบมันยังถือเป็นเด็กงั้นเหรอ?มัน………”
หล่อนเหมือนกำลังจะพูดต่อ แต่ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหยุดพูดทันที พลางยื่นมือไปหาเด็กคนนั้น “แกมาหาฉันเดี๋ยวนี้!”
ดูเหมือนเด็กไม่ยินยอม แล้วก็เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังซูย้าว เพื่อให้เธอปกป้อง
พอหล่อนเห็นแบบนั้น ก็พลันเปลี่ยนสายตา เพื่อให้ดูอ่อนโยนลง แล้วก็ทำให้ความโมโหลดลงไป พร้อมกับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเหนื่อยหอบ ผ่านไปสักพักถึงพูดขึ้น “คุณผู้หญิง คุณไม่รู้หรอก ว่าเด็กคนนี่มันดื้อมากขนาดไหน!ฉันถึงโมโหขนาดนี้!”
ซูย้าวก้มลงมองเด็กคนนั้น รู้สึกว่าเขาดูหน้าตาน่ารัก ที่ทำให้คนอื่นชอบ
อาจจะเพราะเธอเป็นคนนอก!เลยไม่รู้ว่าตอนอยู่บ้านเด็กคนนี้เป็นยังไง แล้วสภาพแวดล้อมในบ้านเป็นยังไง
พอนึกดูดีๆ ตอนที่เจิ้งเอ๋อยังเล็ก เธอเองก็ไม่ได้อยู่ด้วย เลยไม่รู้ว่าพอเด็กผู้ชายโตขึ้นมาจะเป็นยังไง จะดื้อซนขนาดไหน แต่เธอก็พอจะนึกภาพออก จึงพูดขึ้น “ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง ที่นี่ก็เป็นที่สาธารณะ คุณเองก็เป็นผู้ใหญ่ ไม่ควรจะไปถือสา และลงไม้ลงมือกับเด็กถึงขนาดนี้เลย!”
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว เห็นได้ว่าต้องการจะสวนกลับเธอสักสองสามประโยค แต่พอมองดูคนรอบข้างอยู่เยอะ เลยทำได้แค่อดทนเอาไว้ “อืม ฉันเองก็โมโหมากไปหน่อย!ต่อไปจะระวัง!”
หล่อนพูดเสร็จ ก็ยื่นมือไปหาเด็กคนนั้น “พอแล้ว มากับแม่ได้แล้ว!แกอยากจะกลับไปกับคนที่แกไม่รู้จักงั้นเหรอ?”
เด็กคนนั้นดูจะไม่ค่อยยอม พร้อมกับจับกางเกงซูย้าวไม่ยอมปล่อย จนผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาแล้วดึงตัวเขาไปอุ้ม เขาทนต่อแรงหล่อนไม่ไหวจึงต้องปล่อยมือออก
ตอนที่จากกัน เด็กคนนั้นโดนอุ้มขึ้นก็ยังหันมามองซูย้าวด้วยสายตาที่น่าสงสาร และทำอะไรไม่ได้
เหมือนกับว่าเขาเจอกับความลำบากอย่างหนัก
ซูย้าวหันไปมอง แล้วอยู่ดีๆ ใจก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา โดยไม่รู้สาเหตุ
ทางด้านบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป พอใกล้ถึงเวลาเลิกงาน หานฉ่ายหลิงก็เดินเข้ามาในห้องทำงาน แล้วมองไปที่เขาที่กำลังยุ่งกับงานอยู่ พลันอดถอนหายใจไม่ได้ จึงเดินเข้ามาหาเขา
“จนจะเลิกงานแล้ว ทำไมยังดูยุ่งอยู่ล่ะ?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ราวกับว่ามีน้ำตาลในลำคอ จนคนที่ได้ยินต้องแหบคอเลย
ลี่เฉินซีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ นิ้วเรียวยาวของเขาทั้งสิบนิ้วกำลังจิ้มแป้นพิมพ์อยู่ และพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว
หานฉ่ายหลิงโน้มตัวลงไปหาเขา เอียงตัวลงไปที่โต๊ะเขา แล้วก็เอามือไปกุมมือเขาเอาไว้ พร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยเป็นวงกลม “พอแล้ว เลิกทำงานได้แล้ว พวกเราไปกินข้าวที่หลิงเตี่ยนกันเถอะ!เชฟบรอนได้คิดเมนูใหม่สองสามอย่าง อยากให้พวกเราไปลองชิมดู!”
พอพูดถึงร้านอาหาร ก็เหมือนจะดึงดูดความสนใจลี่เฉินซีได้บ้าง เขาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “กิจการร้านอาหารเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ดีมากเลยล่ะ!บอกได้เลยว่าดีจนไม่น่าจะดีไปกว่านี้แล้ว!” หานฉ่ายหลิงเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ตั้งแต่เชิญหัวหน้าเชฟมาจากประเทศฝรั่งเศส ก็มีคนเข้าร้านเยอะแยะมากมาย จนทุกวันโต๊ะอาหารในร้าน ต้องจองล่วงหน้าถึงสองสามวัน เธอเองก็ไม่นึกว่าจะดังเป็นพลุแตกขนาดนี้
ลี่เฉินซีจึงขยับปากพูดขึ้น “ดีก็โอเคแล้ว”
“นี่ก็ต้องขอบใจคุณมาก!ถ้าไม่ได้คุณออกหน้าให้ เชฟบรอนจะยอมมาทำงานที่ร้านเล็กๆ ของฉันเหรอ!” เธอพูดออกมาอย่างเขินอาย แล้วทำเป็นเอามือไปกุมมือเขาไว้
ในที่สุดลี่เฉินซีก็รีบทำงานอันสุดท้ายจนเสร็จ จึงปิดโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นก็เคลียเอกสารบนโต๊ะ
“ไม่ต้องทำแล้ว!พวกเราไปกินข้าวกัน!นะ?” หานฉ่ายหลิงทำสีหน้าคาดหวัง แล้วมองเขาอย่างลึกซึ้ง
ลี่เฉินซีก้มมองนาฬิกาที่อยู่แขนตัวเอง แล้วพูดขึ้น “กินข้าวคงไม่ได้แล้ว!อีกสักครู่ผมต้องไปที่สถานีตำรวจ หัวหน้าหลี่มีเรื่องอยากคุยกับผม”
หานฉ่ายหลิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “เกี่ยวกับคดีของลี่เจิ้งใช่ไหม?”
เขาพยักหน้า แล้วก็เก็บเอกสารต่างๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปล้างมือ
“เฉินซี มีบางอย่าง ที่ไม่รู้ว่าฉันควรหรือไม่ควรพูด……..”
ลี่เฉินซียังคงล้างมือในห้องน้ำอยู่ เสียงน้ำไหล ซ่าซ่า แต่เขาไม่ได้ปิดประตู เพียงแต่พูดว่า “พูดเลย”
“ไม่ต้องสืบต่อแล้ว!เพราะเรื่องของลี่เจิ้ง ทั้งโรงเรียนก็หยุดแล้ว นักเรียนทุกคนต่างย้ายไปโรงเรียนอื่นหมดแล้ว ครูคนอื่นก็พากันไปทำงานที่อื่น และพวกที่เกี่ยวข้องก็หยุดงานกันหมด ถ้ายังจะสืบต่อไป เกรงว่ามันจะส่งผลเสียได้นะ!”
“ส่งผลเสียเหรอ?” ลี่เฉินซียืนอยู่ด้านหน้ากระจก คนที่อยู่ในกระจกก็ยังคงมีสีหน้านิ่งๆ แล้วก็กดฟองสบู่ใส่มือ “นอกจากพวกที่เกี่ยวข้องไม่กี่คน คนอื่น ไม่ว่าจะย้ายโรงเรียนหรือเปลี่ยนงาน ก็ไม่มีผลเสียต่อการทำงานและการเรียนพวกเขาตามปกติหรอกนะ มันจะมีผลเสียอะไรได้?”
“แบบนั้นก็ไม่ดี!คนอื่นจะคิดยังไง?เจิ้งเอ๋อพึ่งจะแปดขวบ และเป็นวัยที่ซุกซนของเด็กปกติ เลยทำให้ไม่ระวัง จึงเกิดเรื่องขึ้น ฉันรู้ว่าคุณเจ็บปวด แต่มันก็ยากจะหลีกเลี่ยง ควรจะคิดถึงส่วนรวมไว้จะดีกว่านะ!” หานฉ่ายหลิงเดินเข้ามา ทำเสียงอ่อนโยนและพยายามพูดปลอบใจ
นิ่งไปพักหนึ่ง เธอก็พูดขึ้น “คุณดูอย่างชาร์ลี ก็พึ่งจะห้าขวบ ทุกวันก็เอาแต่เล่นซุกซน บางครั้งก็ทำเอาฉันถึงกับร้องไห้!เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละ ทำอะไรไม่ได้!”
เขาเปิดก๊อกน้ำ เสียงน้ำดังซ่าซ่า พลันล้างฟองสบู่ออกจากมือ จากนั้นก็หยิบผ้ามาเช็ดมือ พร้อมกับเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่สายตาของเขาก็ดูนิ่ง แล้วพูดขึ้น “แต่ว่าฉ่ายหลิง คุณควรรู้ไว้อย่าง——-”
“สำหรับผม เจิ้งเอ๋อสำคัญที่สุด ทุกอย่างของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป ไม่สำคัญเท่าลูกชายของผม!”
“…….มันก็จริง!”
หานฉ่ายหลิงยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ แล้วพูดขึ้น “แล้วคุณไม่ไปกินข้าวด้วยกันกับฉันจริงๆ เหรอ?”
“วันหลังเถอะ!” ลี่เฉินซีทำหน้าตานิ่งๆ พร้อมกับหันไปหยิบเสื้อสูทและกุญแจรถ แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานทันที
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็เป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่พูดเรื่องของลี่เจิ้ง เขาก็จะปฏิเสธตลอด แล้วก็มีท่าทีเย็นชาจนทำเอารู้สึกกลัว
ตอนนั้นก็เป็นซูย้าว มาวันนี้ก็เป็นลี่เจิ้ง สองคนแม่ลูกคู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นศัตรูของเธอตลอดชีวิตเลย ไม่ว่าจะที่ไหนหรือตอนไหน ก็จะคอยขัดขวางตลอด!
หานฉ่ายหลิงโมโหจนกัดฟันแน่น ดีที่ลี่เจิ้ง ‘เกิดอุบัติเหตุ’ จนนอนกลายเป็นผักแบบนั้น แผนการขั้นแรกของเธอถือว่าสำเร็จแล้ว เพียงแค่รออีกหน่อย พอรอให้แผนขั้นต่อไปสำเร็จ แล้วหลังจากนั้น ทุกอย่างของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป ก็จะเป็นของลูกชายเธอ ชาร์ลี คนเดียว!
………
ชุมชนในเขตเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ตู้เสื้อผ้าในบ้านหลังหนึ่ง มีเด็กผู้ชายถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ พร้อมทั้งปิดปาก
เสื้อผ้ามอมแมมของเขาเต็มไปด้วยรอยเปื้อน ผิวหนังขาวเนียนก็มีแต่รอยบอบช้ำ
ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยอยู่ในมุมมืด กำลังแอบนั่งร้องไห้ อย่างไม่มีเสียง ในใจก็พยายามบอกตัวเองว่า ‘อย่าร้อง ร้องไม่ได้ ต้องเข้มแข็ง ฉันยังต้องตามหาแม่ ตามหาแม่…..