เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 30
บทที่30 ใครใช้ให้คุณมา
บ้านใหญ่ตระกูลลี่ แม่บ้านและพี่เลี้ยงช่วยกันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่
เมื่อไปถึงชั้นสาม แม่บ้านลังเลที่จะดึงมือพี่เลี้ยง ไปยืนอยู่ที่ปากทางบันได ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จากนั้นไปที่ห้องนอนเพื่อหาซูย้าว “คุณนาย ชั้นสามไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว คุณคิดว่าควรจะทำความสะอาดสักหน่อยไหม”
ซูย้าวพยักหน้าทันที
แต่แม่บ้านกลับยืนอยู่ที่หน้าประตู ด้วยท่าทางรู้สึกอึดอัด เหมือนลังเลที่จะพูด “แต่ว่า……”
เธอผงะ และนึกขึ้นได้ทันทีว่า ตอนที่เธอมาที่บ้านตระกูลลี่ครั้งแรกก็ได้ยินแม่บ้านพูด และลี่เฉินซีได้สั่งว่า ชั้นสามไม่อนุญาตให้เข้ามา
ราวกับว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงเวลาที่ได้แต่งงานมานานหนึ่งปีกว่า ก็ไม่เคยเห็นใครที่จะเข้าไปยุ่ง……
“แต่ว่าคุณนาย ชั้นบนไม่ได้ทำความสะอาดมาเกือบจะสองปีแล้ว ถ้าไม่ทำความสะอาด ฉันกลัวว่า…..คุณผู้ชายจะไม่พอใจ!” แม่บ้านพูด
ซูย้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็บอกกับแม่บ้านด้วยภาษามือว่า เธอจะมาทำความสะอาดชั้นสามเอง ให้เขาและพี่เลี้ยงลงไปจัดการชั้นล่างก่อน
แม่บ้านก็มีความตั้งใจเช่นนี้ ได้ส่งเครื่องดูดฝุ่นให้กับซูย้าว และรีบเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับพี่เลี้ยง
พื้นที่บนชั้นสาม ซูย้าวไม่เคยไปมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นไปชั้นบน เมื่อถึงจุดหมาย นอกจากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้
ดอกลิลลี่ในแจกันบนทางเดินนั้นเหี่ยวเฉามาเป็นเวลานาน มันแห้งเหี่ยว โซฟาที่มีสีกุหลาบ และเต็มไปด้วยฝุ่น การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไม้ แตกต่างจากชั้นล่างโดยสิ้นเชิง
และตรงมุมนั้น ยังมีแกรนด์เปียโนตั้งอยู่หนึ่งหลัง
ซูย้าวหยิบเครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาด นิ้วมือสัมผัสโดนแป้นเปียโนโดยไม่ตั้งใจ การเคาะจากนั้นมือกลายเป็นเสียงเปียโนที่ไพเราะ
ตอนที่พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอเคยเรียนดนตรีอยู่หลายปี นี่ก็เป็นงานอดิเรกหนึ่งเช่นกัน เมื่อซูย้าวนั่งลงก็ตกอยู่ในห้วงทำนองที่ไพเราะอย่างควบคุมไม่ได้ เปียโนนี้เป็นsteinwayของประเทศเยอรมันซึ่งมีคุณภาพเสียงที่ไม่มีเปียโนใดเทียบได้ ประกอบกับทักษะการเล่นเปียโนที่ยอดเยี่ยมของเธอ เพียงแต่โน้ตง่ายๆก็สามารถทำให้คนหลงใหลได้
ทันทีที่ลี่เฉินซีเดินไปยังทางเข้า ก็ได้ถูกดึงดูดจากเสียงดนตรีอันไพเราะ
เดินขึ้นไปชั้นบนทีละก้าว ชั้นสาม บริเวณนี้เต็มไปด้วยฝุ่นมาเป็นเวลาหลายปี เพลงที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกราวกับต้องมนต์ เดินเข้าไปอย่างลุ่มหลง
มีกลิ่นจางๆในอากาศ ก้องไปด้วยเสียงดนตรี ให้ความสดชื่นชวนให้นึกถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของใครคนนั้น
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปข้างหน้า โอบกอดเธอจากด้านหลัง โน้มตัวลงแล้ววางคางไว้บนไหล่ของเธอ สูดดมความหอมของเส้นผม อาลัยรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ฉ่ายหลิง………”
ลี่เฉินซีหลับตาลง และริมฝีปากบางนั้นได้พึมพำออกมา
ในตอนนั้น เขาและหานฉ่ายหลิงได้พบกันก็เป็นดนตรี C เมเจอร์ของโมสาร์ท ทุกครั้งที่ได้ยินความคิดของเขาก็จะย้อนกลับไปในอดีต จากนั้นไม่นาน เขาก็ยังคงคิดถึงไม่ลืม
เสียงเปียโนหยุดลงกะทันหัน
ร่างกายของซูย้าวแข็งทื่อและปล่อยให้เขากอดเธอเอาไว้ เสียงเรียกข้างหูทำให้เธอเจ็บปวดใจ เธอยิ้มอย่างโศกเศร้า รอยยิ้มที่โศกเศร้าถูกริมฝีปากบางเย็นประกบ ซูย้าวตะลึงไปชั่วขณะ!
เขาจับใบหน้าของเธอ จูบลึกซึ้งที่เหมือนระลอกคลื่น มันเป็นความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีให้เธอ
ซูย้าวผ่อนตัวลง ผลักเขาออกไปอย่างเด็ดขาด ขัดจังหวะการจูบนี้ ในขณะที่ถอยหลัง ร่างกายก็กระแทกลงนั่งกับพื้น
สติที่หลุดลอยของลี่เฉินซีถูกระงับลง เขามองไปยังเธออย่างสงบเสงี่ยม ดวงตาดูเย็นชา
ความอ่อนโยนก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความโหดร้าย สายตาที่คมดั่งเมฆมองไปยังเธออย่างดุดัน น้ำเสียงก็ดูเย็นชา “ใครให้คุณมาแตะต้องเปียโนของเธอ”
เธอมีน้ำตาคลอเบ้า พยุงตัวขึ้นพลางกัดริมฝีปากแน่น เป็นความรู้สึกที่ดื้อรั้นไม่แสดงความอ่อนแอออกมา
ซูย้าวไม่คิดมาก่อน ว่าชั้นสามที่เต็มไปด้วยฝุ่น และเปียโนที่วางไว้เป็นเวลานาน ทั้งหมดเป็นของดั้งเดิมของหานฉ่ายหลิง………..
“ใครใช้ให้คุณขึ้นมา”
เสียงที่เยือกเย็นของเขา แทบจะทำลายแก้วหูของเธอ
มือที่ไร้ความปรานีคว้าข้อมืออันบอบบางของเธออย่างรุนแรง จับชีพจรของเธอด้วยความแรง ความเจ็บปวดจนหายใจไม่ออกเกี่ยวพันกับความเศร้าภายในใจ ซูย้าวจ้องดวงตาของเขาด้วยความเศร้า
เขาแคร์หานฉ่ายหลิงใช่ไหม
ลี่เฉินซีกวาดสายตามองดูด้วยสายตาที่ไร้ความอบอุ่น ค่อยๆโน้มตัวเข้ามาเพื่อรังแกเธอ เผยอมุมปากเบาๆ “รู้ไหมว่าผมเกลียดผู้หญิงแบบไหนที่สุด”
รอยยิ้มเยือกเย็นดุจดั่งลมหนาว ซูย้าวกำมือทั้งสองข้างของเธอแน่นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
มีคำพูดที่เขาค่อยๆพูดเข้าหู แต่ละคำเจ็บปวดใจ “ผู้หญิงแบบคุณไง!”
ซูย้าวตะลึงไปชั่วขณะ ขนตาอันเรียวยาวของเธอสั่นเล็กน้อย ใบหน้าซีดเหมือนกระดาษ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ตัวเองร้องไห้ออกมาพยายามไม่สนใจอาการปวดตรงข้อมือ
เสียง ‘โครม’ ดังขึ้น เขาดึงเธอมาแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง
“ไปให้พ้น!”
เธอยังไม่ทันลุงขึ้นจากพื้น สิ่งที่ทิ้งไว้ให้เธอ มีเพียงเงาด้านหลังที่เยือกเย็นของเขา
ลี่เฉินซีเดินลงไปชั้นล่างและสั่งแม่บ้านด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จากนี้ไปล็อกปิดตายชั้นสาม ห้ามไม่ให้ทุกคนขึ้นไป!”
“……..ได้ค่ะ!”
ซูย้าวนอนอยู่บนพื้นที่เย็นอย่างว่างเปล่า หัวใจเหมือนจะแหลกสลายเป็นผง สลายไปกับสายลม
วันรุ่งขึ้น ซูย้าวพาหนูลี่เจิ้งไปโรงพยาบาลในเมือง เพื่อรับยาวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด และพาไปเดินเล่น
แผนกเด็กของโรงพยาบาลเซ็นเดอร์มีคนอยู่ไม่มาก ซูย้าวอุ้มทารกอยู่ไม่นานก็ถึงคิว หลังจากบดเม็ดยาแล้ว ผสมกับน้ำอุ่น แล้วป้อนให้กับเจิ้งเอ๋อ จากนั้นก็วางเด็กน้อยไว้ในรถเข็นเด็ก และลงไปชั้นล่าง ก็ได้พบกับหานฉ่ายหลิง
อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณซู บังเอิญจังเลย!”
หานฉ่ายหลิงเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดกับหนูลี่เจิ้งที่อยู่ในรถเข็นเด็ก “เจิ้งเอ๋อช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง คิดถึงคุณน้ารึเปล่า”
เจิ้งเอ๋อหัวเราะคิกคัก มือน้อยๆของเขาคว้าหาเธอ
หานฉ่ายหลิงโน้มตัวลง อุ้มเจิ้งเอ๋อขึ้นมาแล้วหยอกล้อ ดูเป็นธรรมชาติ ซูย้าวอังเอิญเห็นประวัติการแพทย์ในกระเป๋าของหานฉ่ายหลิง
ส่วนที่โผล่ออกมา เห็นคำสองสามคำได้อย่างชัดเจน เธอเพ่งมอง
นึกไม่ถึงว่ามันคือ ‘แผนกการเจริญพันธุ์’ !
ย้อนกลับไปนึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินในงานเลี้ยงวันนั้น เป็นไปได้ว่าหานฉ่ายหลิงต้องทนกับอะไรที่……..โรคที่ต้องปิดบังรึเปล่า!
ซูย้าวไม่กล้าที่จะนึกภาพต่อ ยิ้มให้กับหานฉ่ายหลิงเบาๆ และรับเจิ้งเอ๋อกลับมาอย่างระมัดระวัง
“หรือเจิ้งเอ๋อยังชอบที่จะอยู่กับแม่ ใช่ไหม” หานฉ่ายหลิงยังคงหยอกล้อกับเด็กน้อย เจิ้งเอ๋อยิ้มให้เธออย่างมีความสุข
ในใจของซูย้าวมีความแปรปรวน รู้สึกเครียดอย่างอธิบายไม่ได้ ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หานฉ่ายหลิงกลับมองไปที่เธอ และยังพูดอีกว่า “เรื่องเกี่ยวกับบ้านใหญ่ตระกูลซูฉันพยายามถ่วงเวลามาเป็นเดือนแล้ว คุณซูไม่ต้องกังวล ค่อยๆเป็นค่อยๆไป!”
เธอพยักหน้า หลังจากกล่าวขอบคุณอย่างเรียบง่าย ก็พาลูกไปกล่าวอำลา ทันทีที่พลาด เธอก็เห็นผื่นแดงที่ข้อมือของหานฉ่ายหลิง……….
ตลอดทั้งวัน ซูย้าวเต็มไปด้วยความกังวล
ถ้าตัวเองได้ยินมาผิด ตอนที่พบกับหานฉ่ายหลิงที่โรงพยาบาล แล้วเรื่องของผลวินิจฉัยที่อยู่ในกระเป๋าของเธอกับผื่นแดงที่มือ มันคือเรื่องอะไรกันแน่
ตอนกลางคืน ประมาณสี่ทุ่ม รถลัมโบร์กีนีสีแดงได้มาหยุดจอดอยู่ที่ประตูของบ้านตระกูลลี่ หานฉ่ายหลิงได้ปลดเข็มขัดนิรภัยของตนเองออกก่อน หลังจากลงจากรถตอนที่เดินไปยังที่นั่งผู้โดยสาร ลี่เฉินซีก็ได้ลงไปจากรถแล้ว
เธอขยับไปประคองเขา และพูดว่า “คืนนี้คุณดื่มไวน์แทนฉันไปไม่น้อย เฉินซี ขอบคุณนะ!”
เขายิ้มเบาๆ “ไม่เป็นไร”
“แม้ว่าคุณจะดื่มเก่ง แต่ก็จะดื่มแบบนี้ไม่ได้ ทีหลังต้องระวังหน่อย!” เธอถอนหายใจเล็กน้อย ในดวงตาแสดงความกังวลอย่างชัดเจน
ดวงตาที่เปล่งประกายของลี่เฉินซีจ้องมองไปที่เธอ มองไปที่มือขาวที่อยู่ติดกับแขนของเขา หันไปสบตากับเธอ “อยากจะเข้าไปนั่งสักหน่อยไหม”
หานฉ่ายหลิงตกตะลึง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปกผมที่อยู่ข้างหู ส่ายหัวเล็กน้อย “ช่างเถอะ! ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนคุณแล้ว!”
เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย จับมือของเธอแน่นขึ้น “ไม่ได้รบกวนอะไร คุณก็ได้ไปเยี่ยมเจิ้งเอ๋อด้วย….”
“คือ……” หานฉ่ายหลิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ได้ครุ่นคิด และปฏิเสธเขาออกไป “ไว้คราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ!”
“ทำไมเหรอ” ลี่เฉินซีจ้องมองเธอ ด้วยความรู้สึกสงสัย
หานฉ่ายหลิงก็พูดว่า “ฉันรู้สึกว่าคุณซูไม่ชอบให้ฉันเข้าใกล้เจิ้งเอ๋อ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ กลับกันถ้าฉันมีลูก ก็ไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้!”
พูดจบ หานฉ่ายหลิงก็กังวลขึ้นอีกครั้ง และอธิบายเพิ่มว่า “คุณอย่าไปโทษคุณซู ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมาก เฉินซี ถ้าคุณคิดจะทำอะไรที่ผิดละก็ ต่อไปฉันก็ไม่มีอะไรที่จะคุยกับคุณอีก!”
“โอ้”
ลี่เฉินซีค่อยๆก้มหน้า สายตามองส่งหานฉ่ายหลิงขึ้นรถออกไป จากนั้นไม่นาน เขาก็หันหลังแล้วก้าวเข้าไปในวิลล่า
ในห้องชั้นบน ซูย้าวกำลังกล่อมให้เจิ้งเอ๋อนอนหลับ ตัวเองก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตอนที่กำลังจะนอน ประตูของห้องนอนกลับถูกเปิดออก