เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 323
เจี่ยงเวินอี๋มองดูหญิงสาววัยเยาว์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ รอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และความนัยไม่ชัดเจน
คิดไม่ถึงว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้เสียงกลับมาเป็นปกติแล้ว จะต่างจากเดิมที่ดูขี้ขลาดไปโดยสิ้นเชิง พูดจาฉะฉาน ตรงไปตรงมา
ดูท่าว่า ก่อนหน้านี้เธอคงจะดูถูกยัยเด็กใบ้คนนี้เกินไปหน่อย
“ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินซี ดูเหมือนเธอจะตั้งท้องด้วยสินะ !” เจี่ยงเวินอี๋เปิดปากขึ้น ในที่สุดก็ได้คุยประเด็นสำคัญในการนับพบครั้งนี้แล้ว
ซูย้าวมองดูเธอ และก็เดาได้ตั้งแต่กลับมาในประเทศแล้ว ว่าเจี่ยงเวินอี๋จะต้องติดต่อเธอมา เพราะเรื่องของซีซี
และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องที่คนรู้ๆกันอยู่แล้ว
“ก็ท้องค่ะ หลังจากนั้นก็คลอดลูกสาวออกมา” เธอบอกออกมาตามตรง
เจี่ยงเวินอี๋พยักหน้า “ฉันก็ได้ยินมาแล้ว เด็กคนนั้นตอนนี้ห้าขวบแล้ว ครั้งนี้กลับประเทศมากับเธอด้วย”
“ดังนั้นถ้าคุณป้าเจี่ยงอยากพบเด็กล่ะก็ ติดต่อฉันล่วงหน้าได้ค่ะ ฉันจะจัดการให้พวกคุณได้พบหน้ากันเอง” เธอพูด
เจี่ยงเวินอี๋ยิ้มบางๆ และไม่ได้รู้สึกดีกับความ”ใจกว้าง”แบบนี้ของเธอเท่าไหร่นัก และตัดเข้าประเด็กหลักทันที “ฉันไม่ได้อยากเจอตัวเด็ก แต่อยากรับหลานสาวมาอยู่กับฉันต่างหาก”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเธอก็พูดต่อว่า “ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านี้ ก็คือฉันอยากให้หลานสาวของฉันกลับไปที่ตระกูลลี่ เพื่อกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่”
ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว สีหน้าของซูย้าวก็หมองลงทันที แววตาเย็นชา และแผ่ความเยือกเย็นออกมา “คุณป้าเจี่ยงคะ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ฉันก็ยอมรับเสมอว่าคุณคือคุณยายของลูกสาวฉัน และลี่เฉินซีก็คือพ่อของเธอ เธอสามารถใช้แซ่ลี่ได้ และสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของตระกูลลี่ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตระกูลลี่ได้ แต่ประเด็นหลักก็คือ ฉันจะไม่มีทางแยกกับลูกสาวฉันเด็ดขาดค่ะ”
ที่ตอนแรกเธอยอมประนีประนอมกับเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลี่เจิ้งเพราะไร้ทางเลือก และนั่นได้กลายเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของซูย้าวไปตลอดกาล ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่มีวันยอมแพ้ในเรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกสาวแน่ !
แต่เจี่ยงเวินอี๋กลับพูดว่า “ถ้าเด็กกลับไปที่ตระกูลลี่ พวกเราสามารถให้ชีวิตและอนาคตที่ดีกว่าให้เธอได้ และดีกับตัวของเด็กเองด้วย นอกเหนือจากนั้น ฉันก็รับปากเธอได้ ว่าเธอสามารถไปเจอเด็กได้ตลอด และเธอก็จะเป็นแม่ของเขาตลอดไป”
พอได้ยินแบบนั้น ซูย้าวก็ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา แล้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ดูท่าว่า ปัญหานี้ ฉันกับคุณคงไม่มีทางมีความเห็นตรงกันได้ !”
เธอไม่มีอารมณ์จะคุยต่อแล้ว ซูย้าวหยิบกระเป๋าขึ้นมา และเตรียมตัวจะลุกออกไป
เจี่ยงเวินอี๋มองดูเธอ แล้วพูดอีกว่า “เธอน่าจะรู้ดี ว่าที่ฉันมานั่งคุยกับเธอดีๆ เหมือนอย่างในตอนนี้นั้น มันแสดงถึงอะไร ?”
คนอย่างเจี่ยงเวินอี๋ แม้จะไม่ถึงขั้นชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง แค่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้เท่านั้น ที่สามารถมานั่งคุยกันอย่างเงียบสงบแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ และหมายความว่าเธอเคารพต่อคนคนนั้น
แล้วซูย้าวมีหรือจะไม่รู้ อย่างไรก็ตาม เธอก็เคยเป็นลูกสะใภ้ของคนคนนี้มาก่อน
เรื่องในอดีตก็เหมือนกับหมอกควัน ที่พัดผ่านจิตใจ จู่ๆซูย้าวก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่น้ำเสียงที่ออกมาจากปากกลับยังคงอ่อนโยน “จะแสดงถึงอะไรฉันทราบดี แต่ไม่อยากรู้ แต่ว่า ถ้าจะคุยกันเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีก ก็เชิญคุณเรียกทนายมาหาฉันที่บริษัทได้เลยค่ะ !”
หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ขณะที่ซูย้าวกำลังลุกขึ้นนั้นก็พูดเสริมอีกว่า “ถึงตอนนั้น ทนายของฉันจะเป็นฝ่ายต้อนรับเอง”
เจี่ยงเวินอี๋จับจ้องเงาอันเยือกเย็นของเธอที่เดินจากไป แล้วความโกรธก็ผุดขึ้นมาในใจ เธอไม่เพียงแค่มองยัยใบ้คนนี้ผิดไปตั้งแต่แรก แต่ประเมินเธอต่ำเกินไปด้วย !
เลขาหลี่เดินเข้ามาในเวลาที่เหมาะสม แล้วโน้มตัวลง “คุณผู้หญิง”
“ไปติดต่อทนายจิน ให้เขาหาเวลาช่วงบ่ายมาพบฉัน” เจี่ยงเวินอี๋ออกคำสั่ง
เลขาหลี่พยักหน้า “ได้ครับ ผมจะไปติดต่อเดี๋ยวนี้”
ในเมื่อซูย้าวดื้อดึงขนาดนี้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องชั่งใจอีกต่อไป ยังไงซีซีก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลี่ ไม่มีทางปล่อยให้ติดตามผู้หญิงคนนั้น ไปใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเด็ดขาด !
ระหว่างทางที่กลับไปบริษัท ซูย้าวก็ติดต่อไปที่เลขาของตัวเอง แล้วกำชับให้เธอเชิญทนายหลินเวยมาหา
ห้าปีก่อน หลินเวยเป็นตัวแทนที่ช่วยเธอทำคดีความ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าตอนนั้นเธอไม่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายลักพาตัว คิดว่าหลินเวยเองก็คงมีโอกาสที่จะชนะคดีความสูงมาก
ครั้งนี้จู่ๆเจี่ยงเวินอี๋ก็มาพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้น สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกสาว ก็ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ที่เธอต้องเริ่มให้ความสำคัญ
ขับรถไปพลางและกำชับให้เลขาทำงานไปพลาง พอวางสายแล้ว ซูย้าวก็มองตรงไปข้างหน้า ดวงตาคู่สวยหดตัวไม่หยุด สิ่งที่อยู่ในหัว คือเรื่องในตอนนั้นที่ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ
ชีวิตแต่งงานเมื่อหลายปีก่อนนั้น และความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้และแม่สามี ตอนนี้มาคิดดูแล้ว มันช่างเหมือนกับความฝันจริงๆ
เจี่ยงเวินอี๋คิดจะแย่งซีซีไปจากข้างกายเธอ ช่างกล้าจริงๆ นิสัยช่างโอหัง เธอไม่เคยพูดด้วยซ้ำว่าจะพาเจิ้งเอ๋อออกมาจากตระกูลลี่ แต่อีกฝ่ายกลับคิดจะลงมือก่อน งั้นก็ดี !
ลูกสาวก็อยู่ตรงนี้ ลองดูสิว่าใครจะแย่งไปได้
พอคิดถึงลูกของตัวเอง สายตาของซูย้าวก็ยิ่งลุ่มลึกขึ้น นิ้วเรียวที่จับพวงมาลัยรถ ก็ยิ่งแรงขึ้นไปอีก
……
พอเจี่ยงเวินอี๋สั่งการเสร็จ เลขาหลี่ก็ใช้เวลาติดต่อทนายจินอย่างเร็วที่สุด จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งรออยู่ที่โรงน้ำชา
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า การเฝ้ารอในครั้งนี้จะกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง
อย่าว่าแต่เจี่ยงเวินอี๋จะโมโหเลย ขนาดเลขาหลี่เองก็ยังทนไม่ไหว หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไปข้างนอก แล้วกดโทรออก
“ทนายจิน ไหนคุณบอกว่ากำลังจะถึงแล้วไง ? นี่มันสองชั่วโมงแล้วนะ คุณผู้หญิงรอคุณมาตลอดเลยนะ !”
พอโทรติดแล้ว ความไม่พอใจของเลขาหลี่ก็ปะทุขึ้นมาทันที จนแทบจะลุกโชน ขนาดอยู่อีกฝั่งของสายยังสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธของอีกฝ่าย
แต่ทางนี้ กลับไม่มีคำพูดนอบน้อมของทนายจินตอบกลับ กลับกัน มีเพียงน้ำเสียงเย็นยะเยือก และแผ่วเบาของชายหนุ่มลอยเข้ามาในหูของเลขาหลี่
“โรงน้ำชาเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย นั่งดื่มชาเป็นเพื่อนคุณแม่ผมอีกสักหน่อยเถอะ ! เลขาหลี่”
ทำไมถึงเป็น……
ลี่เฉินซี ?!
เลขาหลี่เผลอชะงักไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามกลับไปในโทรศัพท์ว่า “ประธานลี่เหรอครับ ? ทำไมคุณถึงได้ถือโทรศัพท์ของทนายจินไว้ได้ ? นี่มัน……”
“ทนายจินอยู่กับผมที่นี่ ผมมีธุระกับเขา อีกไม่กี่วันจะส่งตัวเขาไปทำงานนอกสถานที่ คงต้องไปหลายเดือน ดังนั้นเลขาหลี่ ช่วยฝากไปบอกแม่ผมหน่อยนะ ว่าช่วงเวลาครึ่งปีต่อจากนี้ทนายจินคงไม่มีเวลาว่าง” น้ำเสียงแหบพร่าของลี่เฉินซี ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้
ยังไม่ทันที่เลขาหลี่จะทันได้ตอบสนอง โทรศัพท์ก็ถูกวางสายไปแล้ว
เขาชะงักอยู่ครู่ใหญ่ แต่ยังไงก็ยังต้องนำคำพูดที่อยู่ในสายโทรศัพท์ ไปรายงานต่อเจี่ยงเวินอี๋
“ลี่เฉินซีดึงตัวทนายจินเอาไว้งั้นเหรอ ?” เจี่ยงเวินอี๋มีสีหน้าประหลาดใจ แต่เพียงไม่นาน ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เลยลุกพรวดขึ้นมาด้วยความโกรธ “เฉินซีเจ้าลูกคนนี้ จะต้องถูกผู้หญิงคนนั้นล่อลวงจนหลงมัวเมาแน่ๆ !”
เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันหลังเดินออกไปด้านนอกอย่างโกรธเกรี้ยว
จะต้องเป็นซูย้าวแน่ๆ พอออกไปแล้วก็ไปบอกลี่เฉินซี เขาถึงได้จงใจดึงตัวทนายจินเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ของดีอะไรจริงๆ เป็นตัวอัปมงคลจริงๆ จำเป็นต้องรีบแย่งตัวเด็กมาจากเธอให้เร็วที่สุดซะแล้ว !
เจี่ยงเวินอี๋ตั้งใจแน่วแน่ พอขึ้นรถแล้ว ก็สั่งการเลขาหลี่ทันที “ไปบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป”
“ตอนนี้เหรอครับ ?” เลขาหลี่ดูออกว่านายหญิงใหญ่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กังวลจริงๆว่าถ้าไปตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นอีก
ท่าทีของเจี่ยงเวินอี๋หนักแน่นมาก “ไปบริษัทลี่ซื่อ ต้องให้ฉันพูดซ้ำอีกไหม ?”
เลขาหลี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก สตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
แต่กลับไม่รู้ว่า ด้านหลังมีรถตู้สีเทาคันหนึ่ง กำลังแอบตามมาทางด้านหลังช้าๆ คนขับลดหมวกที่เขาสวมลง แล้วยิ้มเย็นยะเยือก สะท้อนอยู่ในกระจกหลัง
ส่งทางฝั่งบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป
ทนายจินนั่งอยู่ในห้องประธานคณะกรรมการ ท่าทางกระสับกระส่าย ใจสั่นระรัวไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“คือว่า ประธานลี่ครับ ผมว่าผมไปหาคุณนายใหญ่สักหน่อยดีกว่า……”
ถึงแม้ว่าเจี่ยงเวินอี๋จะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในบริษัท แต่ในมือก็มีหุ้นของบริษัทลี่ซื่อเป็นจำนวนมาก อีกอย่างก็เป็นแม่แท้ๆของลี่เฉินซีด้วย มีฐานะสูงส่ง ทนายจินจะไปกล้ามีเรื่องด้วยได้ยังไง ?
แต่ลี่เฉินซีกลับยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างนั้น จัดการงานที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ นิ่งเงียบไม่พูดจา