เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 340
“เธอว่าอะไรนะ?”
เถียนลี่ลี่โมโหสุดขีดขึ้นมาทันที ตอนที่พูด ก็ยื่นมือไปตบหน้าของซูย้าวอย่างรวดเร็ว
“พ่อฉันกลายเป็นแบบนี้แล้ว เธอยังจะเหยียดหยามเขาอีกงั้นเหรอ? ซูย้าว เธอมีหัวใจหรือเปล่า!”
เถียนลี่ลี่เสียสติไปแล้วคว้าคอเสื้อของเธอ ออกแรงเขย่า “เธออยากจะให้พ่อฉันแบกรับภาระอะไร? ตอนที่เธอกับพ่อฉันอยู่ในห้องทำงาน เธอทำอะไรเขากันแน่?”
“นอกจากพ่อฉันจะฟื้น กลับมาแข็งแรง เหมือนเดิม ไม่งั้นเธอก็คือฆาตกร เธอมันเป็นฆาตกรที่ทำร้ายจนพ่อฉันกลายเป็นอย่างนี้!”
เถียนลี่ลี่ตะโกนกล่าวหาอย่างสุดเสียง ราวกับในตอนนี้ยืนยันแน่นอนแล้วว่าซูย้าวเป็นอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรง อดไม่ได้ที่จะเข้าไปบีบคอนักโทษเพื่อประหารชีวิตในทันที
คนรอบๆด้านรุมล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ซูย้าวพยายามดิ้นรน แต่กลับจนปัญญาที่จะไปสู้กับพละกำลังที่มุทะลุอย่างนั้นของเถียนลี่ลี่ หมดหนทางที่จะหลุดพ้น
แรงมหาศาลคุมขังคอของตนเองอยู่ รู้สึกได้เลยว่าขัดขวางการหายใจ ในตอนนี้เอง จู่ๆด้านข้างก็มีแรงหนึ่งปะทะเข้ามาโดยไม่ได้คาดคิด หลินโม่ป่ายแทรกเข้ามาในกลุ่มคนได้ทันเวลา แกะมือของเถียนลี่ลี่ออก พูดขึ้น “ตอนนี้คุณต้องใจเย็นหน่อยนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้อีก สถานการณ์ของพ่อคุณก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!”
คำพูดเพียงไม่กี่คำ กลับได้ผลอยู่บ้างในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้ เถียนลี่ลี่ยังคงคุมสติอารมณ์ไม่ได้ ที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาล สิ่งที่เธอสนใจที่สุด ยังคงเป็นสถานการณ์ของพ่อตนเอง
ผู้หญิงอายุสี่ห้าสิบปีคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สะอึกสะอื้นเอ่ยปากขึ้น “ไม่ว่าจะยังไง ก่อนที่สามีของฉันจะเกิดเรื่อง มีแค่เขากับซูย้าวสองคนที่อยู่ในห้องทำงาน นี่ไม่น่าสงสัยจริงๆเหรอ? เราไม่ต้องการอย่างอื่น แค่ต้องการให้สามีของฉันกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ฟื้นขึ้นมา และไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้!”
บางทีซูย้าวอาจจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาในฐานะที่เป็นคนในครอบครัวกับสถานการณ์ที่ยากจะยอมรับได้ แต่จะไม่สนใจอะไรเลยแล้วโยนภาระทั้งหมดมาให้เธอคนเดียว ก็ค่อนข้างรู้สึกไม่เป็นธรรม
“มีหมอมากมายของที่นี่ เลือดออกในสมองกับโรคหัวใจกำเริบ ทั้งสองโรคนี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะเกิดขึ้นได้ อาการของพ่อคุณ เกิดจากการสะสมมาเป็นเวลานาน สถานการณ์ตอนนี้อย่าเอามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ เข้าไปดูแลพ่อของคุณให้ดีก่อนจะดีกว่า!”
หลินโม่ป่ายพูดอยู่ ในเวลาเดียวกันก็ส่งสายตาไปที่หมอที่อยู่ด้านข้างกี่คนนั้น ทุกคนเข้าใจดี จึงทยอยแยกย้ายกลุ่มคนออกไป เถียนลี่ลี่กับแม่ของเธอก็เข้าไปในห้องคนไข้ เขาจึงรีบพาซูย้าวลงไปข้างล่าง
“คนของตระกูลเถียนคงไม่ยอมเลิกรา พวกเขาต้องจับตาดูเธอ เพราะมั่นใจว่าเธอเป็นคนผิดที่ทำร้ายผู้จัดการเถียนแน่ๆ เรื่องนี้ เธอคิดว่าไง?” หลินโม่ป่ายถาม
ซูย้าวแค่รู้สึกยับเยิน จู่ๆก็เกิดเรื่องอย่างนี้ เธอไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยสักนิด
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ต่อให้จะเห็นอกเห็นใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องเจอ แต่เรื่องที่ฉันไม่ได้ทำ ก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด! บริษัททำได้แค่เบิกค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่งของพวกเขา ได้แค่นี้เท่านั้นแหละ”
เธอไม่คิดจะอ่อนข้อให้ แล้วก็ไม่รู้สึกว่าต้องยอม เธอไม่เป็นตัวแทนของบริษัทมาตรวจสอบการปลอมแปลงโรคและผลการตรวจสุขภาพของผู้จัดการเถียนเรื่องนี้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
หลินโม่ป่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ “เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันเชื่อเธอ แต่ถ้าเรื่องนี้สร้างปัญหาใหญ่โต จะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อเธอ ต่อบริษัทของพวกเธอนะ!”
“แต่ยึดตามความจริง พวกเขาอยากจะแบล็คเมล์ฉัน แล้วฉันต้องยอมให้พวกเขาสมปรารถนางั้นเหรอ?” ซูย้าวขมวดคิ้ว เธอนึกไปถึง ถ้าคนของตระกูลเถียนยังก่อกวนไม่เลิก งั้น ก็คงทำได้เพียงขึ้นศาลแล้ว
“ก็คงทำได้เท่านี้แหละ แต่ว่า พูดตามตรง อาการของผู้จัดการเถียน แย่มากจริงๆ เต็มที่เลยก็……”
หลินโม่ป่ายลากเสียงยาว บนใบหน้าหล่อเหลาขาวละเอียดเปลี่ยนไปเคร่งขรึม “ถ้าไม่ทำการผ่าตัด เต็มที่ก็แค่หนึ่งถึงสองวัน!”
ซูย้าวมองเขา “ถ้าผ่าตัด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสำเร็จสินะ!”
“อืม ยากมาก อีกอย่างเมื่อรวมการผ่าตัดที่ยากมากทั้งสองเคสเข้าด้วยกัน เมื่อกี้ฝ่ายโรงพยาบาลก็เพิ่งเปิดเผยกับฉันเป็นการส่วนตัว ไม่มีใครยอมผ่าตัดเลย” เขาพูด
เธอคิดๆ “ดูแล้ว ก็คงทำได้เท่านี้แหละ!”
อันที่จริงเรื่องราวเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาสองคน บนโลกใบนี้ เพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆนานาในแต่ละวันจึงพลัดพรากคนเราจากกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงจิตใจที่แสนดี ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้
อันที่จริง พวกเราล้วนแต่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่พระเจ้าที่มีพลังวิเศษ
……
เนื่องจากซูย้าวงานเข้าอย่างกะทันหัน จึงฝากให้โม่หว่านหว่านไปรับเด็กๆทั้งสองคนหลังเลิกเรียนแทน
กลับมาถึงโรงแรม โม่หว่านหว่านเพิ่งจะนั่งลงไป ยังไม่ทันได้สั่งอาหารให้เด็กๆ มือถือก็ดังขึ้นมา
เธอมองหมายเลขที่ปรากฏอยู่ด้านบน ยิ้มเล็กน้อย กำชับเด็กๆให้ไปเล่นกันเองก่อน แล้วถือมือถือเดินไปที่ระเบียงพลางกดรับ
เห็นโม่หว่านหว่านรับโทรศัพท์ แต่กลับยิ้มอย่างสดใสเปล่งประกาย ซีซีทิ้งกระเป๋าหนังสือลงไป แล้วนั่งบ่นพึมพำอยู่บนโซฟา “หึ่ม เหม็นความรัก!”
“……”
เตียวเตียวมองเธอ แทบจะหมดคำพูด “เธอไม่ต้องพูดแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก!”
ซีซีเห็นเขากำลังเดินเข้าไปในห้อง จู่ๆก็ตามเข้าไป กระโดดแล้วเอากำปั้นเล็กๆทุบลงไปที่หัวของเตียวเตียวอย่างแรง
เตียวเตียวเจ็บจนร้องไม่ออก มองซีซี แต่เธอกลับเดินเข้าไปในห้องด้วยหน้าตาสงบนิ่ง
“เธอ……”
เตียวเตียวโมโห ยัยปีศาจน้อยนี่จริงๆ แต่ก็จนปัญญาจะตอบโต้ ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ จับหัวของตนเองตามเข้าไปในห้อง
“เธอไม่ได้มีเรื่องอะไรแล้วจะลงไม้ลงมือกับคนอื่นทำไม?” เตียวเตียวถาม
ซีซีกลับแบมือทั้งคู่ออกมาด้วยหน้าตาใสซื่อ ยักไหล่ “ฉันไม่ได้ตีสักหน่อย!”
“งั้นเมื่อกี้เธอทำอะไร?”
เห็นเตียวเตียวท่าทางโกรธเคือง แต่เธอกลับพูดขึ้นนิ่งๆ “ฉันแค่จะบอกเธอว่า อย่าไม่เชื่อฟังคำพูดของฉัน!”
“……”
เตียวเตียวหมดคำพูดกับ ‘ความรุนแรง’ ของยัยคนนี้แล้ว เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ “ฉันเห็นแก่คุณน้าหรอกนะ ถึงฝืนใจไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอ เธออย่าคิดว่าฉันจะกลัวเธอ!”
ซีซีแลบลิ้นใส่เขา แสดงให้รู้ว่าขี้เกียจจะสนใจ
ซูย้าวกลับมาถึงโรงแรมตอนหกโมงกว่า วุ่นวายอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งนาน เพิ่งจะนั่งลง โม่หว่านหว่านก็พูดขึ้น “ข้างกายเธอทำไมถึงมีแต่เรื่องทะเลาะตบตีอยู่ตลอดเลยล่ะ?”
“ห๊ะ?”
โม่หว่านหว่านกินขนม เอนตัวอยู่บนโซฟาด้วยความขี้เกียจ กำลังมองเธอด้วยใบหน้าเยาะเย้ย “เธอยังไม่รู้เหรอ? ช่วงบ่ายเธอเป็นข่าวอีกแล้วนะ!”
เตียวเตียวที่นั่งกินขนมอยู่ด้วยก็ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น ยืดหัวเล็กๆขึ้นมาทันที “คุณน้าเป็นข่าวเหรอครับ? เกี่ยวกับอะไรครับ?”
โม่หว่านหว่านพูด “สงสัยสินะ? อยากรู้ใช่ไหม?”
เตียวเตียวพยักหน้าอย่างแรง
“น่าเสียดายมาก น้าไม่บอกเธอหรอก เพราะเธอยังเด็กเกินไป!”
ได้ฟังแล้ว หน้าเล็กๆของเตียวเตียวก็อึมครึม
“เจ้าตัวแสบ กินอิ่มแล้วก็กลับห้องไปเลย! ไปทำการบ้านกับซีซี!” โม่หว่านหว่านเตือน
เตียวเตียวถอนใจด้วยความจำใจ “เฮ้อ คุณน้ารังแกผม!”
โม่หว่านหว่านยังคิดจะตอบโต้ แต่กลับโดนซูย้าวขวางเอาไว้ เธอยื่นมือออกมา อุ้มเตียวเตียวเข้าไปในอ้อมอก “อย่าไปสนใจน้าโม่ของเราเลย เธอก็เป็นอย่างนี้ตลอด เหมือนเด็กไม่รู้จักโต!”
“ซูย้าว เธอยังกล้ามาว่าฉัน? เธอดูตัวเองเถอะ! ทะเลาะกันทั้งวัน ไปขัดแย้งอะไรกับพนักงานเข้าล่ะ เธอสร้างเรื่องอีกแล้วนะ!” โม่หว่านหว่านหยิบแท็บเล็ตออกมา เปิดข่าวที่เกี่ยวข้อง โยนไปให้เธอดู
แค่ซูย้าวดู ในวีดีโอเป็นตัวเองอย่างที่คิด ที่โรงพยาบาลตอนบ่าย เถียนลี่ลี่กับแม่ของเธอบีบบังคับตนเองสารพัด ภายใต้ความโมโหและความกลัดกลุ้ม เป็นฉากที่เธอต้องเอ่ยปากโต้เถียงกับอีกฝ่าย
จึงโดนพวกนักข่าวตัดต่อ ทำให้เธอดูเหมือนกำลังต่อว่าฉอดๆ ท่าทางข่มขู่ ในทางกลับกันภาพของเถียนลี่ลี่ กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหมดหนทาง น้ำตาไหลพราก ราวกับเธอกลายเป็นคนเลวที่ทำผิดทำนองคลองธรรม ทำเรื่องแย่ๆใจไม้ไส้ระกำกับพนักงานอย่างนั้น
เธอยิ้มเยาะ แล้วก็ดันแท็บเล็ตออกไป ไม่รอให้พูด เสียงเล็กๆของเตียวเตียวที่อยู่ด้านข้างก็ดังขึ้น “ผมรู้สึกว่าคุณน้าไม่ได้พูดผิดนะครับ!”