เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 352
ยินยอมด้วยความเต็มใจ
ไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องใช้ความเสียสละหรือความพยายามมากแค่ไหน เพียงแค่มีคำว่า ยินยอมด้วยความเต็มใจ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
คำง่ายๆ ไม่กี่คำ มีผลต่ออารมณ์มากมาย ทำให้หัวใจดวงหนึ่งตกเหวลงไปในพริบตาหรือล่องลอยขึ้นมา ไม่กี่คำ อารมณ์ที่แสดงออกมาแตกต่างกันมาก
หานฉ่ายหลิงใบหน้าซีดขาวไร้เรี่ยวแรง จากการเสียเลือดมาก ทำให้คนทั้งคนไร้พลัง นอนอยู่บนนั้น เอียงหน้ามองเขา ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้อนราวกับไม่ได้ออกมาจากใจ “ถึงแม้ฉันจะรักคุณ และอยากจะแต่งงานกับคุณ แต่ในเมื่อรู้ว่าคุณกลับไม่ยินยอมด้วยความเต็มใจที่จะแต่งงานกับฉัน งั้นงานแต่งงานอย่างนี้ จัดขึ้นมาจะมีประโยชน์อะไร?”
ราวกับคำพูดสั้นๆ นี้กระทบกระเทือนจิตใจของลี่เฉินซี เขามองเธอ หายใจเข้าลึกๆ สักครู่ ริมฝีปากขยับเบาๆ และพูดออกมาไม่กี่คำ “โง่มาก”
ใช่สิ!
ต่อหน้าความรัก ต่อให้สมองคิดพยายามทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายก็ทนทรมานกับคำว่า ความรัก ไม่ได้ ต่อให้เป็นที่ฉลาดแค่ไหน สุดท้ายก็กลายเป็นคนโง่ไปได้!
หรือเรียกได้ว่า ตอนที่มีความรักก็ไม่มีไอคิวอะไรแล้วสินะ?
“อาจจะ!แต่คุณไม่ควรช่วยฉัน ควรปล่อยให้ฉันไป หรือไม่แน่ ในใจคุณอาจจะจำฉันได้บ้างสักหน่อย” เธอหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ท่าทางน่าสงสาร ทำให้คนทนไม่ไหว
ลี่เฉินซีสายตาสุขุมลึก “ต่อให้คุณไม่ใช้วิธีแบบนี้ ฉันก็จำคุณได้อยู่ดี!”
เธออึ้งไปเล็กน้อย มองไปที่ดวงตาของเขาที่เต็มไปประกายแวววาวมากมายนับไม่ถ้วน หวั่นไหวจนกัดริมฝีปากแน่น “เฉินซี…” เสียงแหบอ่อนนุ่ม เสน่ห์ที่อ่อนโยน
ลี่เฉินซีจับมือเธอไว้ “พักผ่อนให้มากๆ อย่าคิดอะไรมากอีกเลย”
“คุณจะกลับบริษัทแล้วหรือ?” หานฉ่ายหลิงรีบถาม และถามพูดขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้งว่า “วันนี้ทางด้านโรงแรมโกลเด้นฝั่งนั้น คงจะเริ่มเตรียมงานกันตั้งแต่แล้วสินะ ส่วนเรื่องสื่อ คุณอยากจะชี้แจงยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงคุณและบริษัทลี่ซื่อก็พอแล้ว”
เขาลุกขึ้น สายตาที่เข้มงวดสบตาเข้ากับเธอ “ถ้าฉันบอกว่า ยกเลิกงานหมั้นเพราะคุณ คุณยินดีไหม?”
“ไม่มีอะไรไม่ยินดี ขอแค่ช่วยคุณได้ ยังไงก็ไม่สำคัญอะไร” เธอตอบโดยไม่ต้องคิด
ลี่เฉินซียืนอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางน่าเกรงขาม สายตาจ้องไปที่เธอ “ถ้าฉันอ้างเหตุผลขึ้นมา บอกว่าคุณมีคนรักคนอื่นและตกลงหนีตามกันไป คุณก็ยินดีรับไว้?”
หานฉ่ายหลิงเงยหน้าขึ้นมา สายตามีความสงสัย แต่เมื่อสบตากับสายตาเขาในวินาทีนั้น ในที่สุดก็ยิ้มออกมาน้อย และพูดแค่ว่า “งั้นก็ดี แต่ว่า พูดโกหกต้องทำให้ทุกคนเชื่อและยอมรับ ต้องโกหกให้เหมือนจริงหน่อย ผู้ชายชื่ออะไร ฐานะอะไรยังไงก็ต้องโกหกให้เนียน แต่ว่าคุณทำอะไรระมัดระวังมาโดยตลอด ฉันจึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก”
เขาขมวดคิ้ว “สิ่งที่คุณต้องรู้ ถ้าอธิบายไปอย่างนี้ สำหรับชื่อเสียงของคุณแล้วจะได้รับผลกระทบอย่างมาก ผลลัพธ์เหล่านี้ คุณเคยคิดถึงมันบ้างไหม?”
“คิดไม่คิด ยังสำคัญไหม?” เธอหันสายตาออกไปมองแสงแดดนอกหน้าต่าง วันนี้เป็นวันดีที่แสงแดดจ้า น่าเสียดาย ทุกอย่างที่ควรจะเกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
หานฉ่ายหลิงพูดว่า “คุณรู้ ว่าฉันไม่ได้มีความสามารถด้านธุรกิจการค้าเท่าไหร่ บริษัทHSมีวันนี้ได้ เป็นเพราะความช่วยเหลือจากคุณ งั้น ฉันก็ได้หมด”
พูดถึงตรงนี้ ความสงสัยและความกังวลของลี่เฉินซีแทบจะหายไปในทันที
ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นสองเรื่องก่อนหน้านี้ ที่เจี่ยงเวินอี๋เกือบถูกรถชนได้รับบาดเจ็บและไฟไหม้ที่โรงพยาบาล หานฉ่ายหลิงเป็นคนทำทั้งหมด งั้น งานหมั้นวันนี้ เธอไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมากะทันหัน
เธอไม่ฆ่าตัวตาย เจี่ยงเวินอี๋ยอมรับเธอตั้งนานแล้ว เพียงแค่เธอเข้าร่วมงานอย่างเชื่อฟัง งั้น ไม่ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่านวันนี้ไป เธอเป็นว่าที่ภรรยาของลี่เฉินซีอยู่ดี
ตัวตนนี้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
ช่วงเวลานั้นเอง ลี่เฉินซีคาดเดาในใจอย่างละเอียด ทั้งหมดอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจู้สือกรุ๊ป และหานฉ่ายหลิงเป็นเพียงแค่จากคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรกลายเป็นผู้รับผลประโยชน์ และโดนควบคุมโดยเชือกเส้นหนึ่งที่ไร้รูปแบบ
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นมากะทันหัน ห้องพักผู้ป่วยที่เงียบสงัดโดนรบกวน
คนที่โทรเข้ามาคือเจี่ยงเวินอี๋
ลี่เฉินซีรับโทรศัพท์ “แม่ อืม ผมอยู่กับเธอ เธอสบายดี ตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร อืม…”
ไม่รู้ว่าเจี่ยงเวินอี๋ที่อยู่ด้านหนึ่งของโทรศัพท์พูดอะไร ลี่เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง แววตามุ่งมั่น และพูดกับคนในโทรศัพท์ว่า “น่าจะได้นะ!จัดงานเลี้ยงตามปกติเถอะ ไม่ต้องยกเลิก อีกสักพักผมจะพาเธอไป…”
หานฉ่ายหลิงนอนอยู่บนเตียง ฟังสิ่งที่เขาพูด รู้สึกโง่และเลอะเทอะนิดหน่อย
ดูเหมือนว่าที่เขาพูดว่า เธอ จะหมายถึงตัวเอง เหมือนกับว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกงานเลี้ยง เหมือนกับว่าทิศทางการพัฒนาของเรื่องราว ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคิด หรือว่า…
หานฉ่ายหลิงไม่กล้าคาดเดาต่อไป ทำได้แค่รอให้เขาวางสายโทรศัพท์ เงียบไปสักครู่ มองสายตาที่เขามาที่ตัวเอง ในใจรู้สึกสับสน แต่ก็ไม่พูดอะไร ดวงตาโตคู่นั้นส่องประกายแวววาว มองเขาอย่างสับสน “เฉินซี?”
“คุณลงจากเตียงไหวไหม?” เขาถามขึ้นกะทันหัน
“อืม?” หานฉ่ายหลิงยังไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่
ลี่เฉินซีพูด “งานเลี้ยงวันนี้ ฉันไม่ได้ยกเลิกไป อีกสักครู่พวกเราค่อยไป ร่างกายของคุณโอเคไหม?”
“……”
หานฉ่ายหลิงอึ้งตะลึง ราวกับว่าเธอสูญเสียความสามารถด้านภาษาไปในเสี้ยววินาที ทำได้แค่มองเขาด้วยดวงตาโตอย่างช่วยไม่ได้ และไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมากะทันหัน
ลี่เฉินซีกลับคิดว่าร่างกายเธอไม่สบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ “ถ้าร่างคุณยังไม่ไหว ไม่ต้องฝืน ฉันจะให้หวางอี้ยกเลิกงานวันนี้ และเปลี่ยนเป็น…”
พูดไม่ทันจบ ก็โดนหานฉ่ายหลิงขัดจังหวะ
“ฉันไหว!ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยน…”
รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ดูลนลานไปทั้งตัว นั่งตกใจอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแดงนิดๆ อย่างเกรงใจ
ลี่เฉินซีหัวเราะเบาๆ “ไหวจริงๆ ไหม?”
เธอพยักหน้าอย่างอึดอัด ก้มหน้าลง พึมพำเสียงเบาว่า “ฉัน…ร่างกายฉันไม่เป็นอะไร แต่คุณไม่เห็นด้วยกับการหมั้นไม่ใช่หรือไง? ถ้าฝืนใจ หรือทำเพื่อคุณป้า…ก็ช่างมันเถอะ!”
“ถ้าช่างมันเถอะ คุณจะสบายใจไหม? ยากที่คุณจะมีความรักต่อฉันฝ่ายเดียว และยังดีกับเจิ้งเอ๋อและแม่ของฉันขนาดนั้น ฉ่ายหลิง หลายปีมานี้ ผมมองคุณพลาดไป”
ประโยคง่ายประโยคเดียว กลับเป็นเหมือนกุญแจปริศนาที่ไขหัวใจใครบางคนที่ล็อกไว้ ทันใดนั้นก้อนเมฆที่ปกคลุมในใจเธอก็กลับกลายเป็นแสงสว่าง
เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ริมฝีปากบางหวานขยับ “เฉินซี…”
ลี่เฉินซีจับมือเธอไว้ หานฉ่ายหลิงโผล่เข้าไปในอ้อมอกเขา กอดเขาไว้แน่น “ในที่สุดฉันก็รอจนวันนี้มาถึง เฉินซี ฉันรู้ ความรู้ที่ฉันมีให้คุณไม่เสียเปล่า…”
“ปล่อยให้คุณรอผมนานขนาดนี้ ทำให้คุณลำบากแล้ว ฉ่ายหลิง” มือใหญ่ที่ปลอบโยนของเขาลูบหลังเธอเบาๆ การเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนทำให้เธออบอุ่นหัวใจ
หานฉ่ายหลิงตื่นเต้นจนน้ำตาไหล ส่ายหน้าติดๆ กัน ร้องราวกับเป็นเด็กน้อย “ฉันไม่ลำบาก ขอแค่ทำให้คุณรักฉัน ไม่ว่าต้องพยายามแค่ไหน ฉันก็ไม่ลำบาก…”
“ช่างเป็นเด็กโง่จริงๆ!” เขายิ้มอย่างรักและเอ็นดู เช็ดน้ำตาบนหน้าเธอด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ
หานฉ่ายหลิงพิงอยู่ในอ้อมอกเขา หลับตาลงอย่างสบายใจ ทันใดนั้นความพยายามและความลำบากทั้งหมดก็ได้รับผลตอบแทน ต้นร้ายปลายดี เวลานี้เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด
ด้านนอกห้องพักผู้ป่วย กัวหลินเห็นภาพนี้จากช่องประตู เผยรอยยิ้มสบายใจออกมา
ไม่ว่ายังไง ความพยายามย่อมได้รับผลตอบแทน
เธอก้มมองกุญแจมือเย็นยะเยือกบนข้อมือตัวเอง และตำรวจหญิงที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “ไปเถอะ!คุณกัว เชิญกลับที่สถานีตำรวจกับพวกเราและให้ความร่วมในการสอบสวน”
เพราะคดีไฟไหม้โรงพยาบาลเซ็นเดอร์เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ กัวหลินถูกกล้องวงจรปิดบนชั้นดาดฟ้าบันทึกภาพของเธอขณะเกิดเหตุไว้ได้ และไม่สามารถบอกที่อยู่ที่ชัดเจนได้ จึงดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ