เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 361
ตอนเย็นสี่โมงกว่า โม่หว่านหว่านไปรับเด็กทั้งสองคนที่โรงเรียนอนุบาล
เพราะว่าเรื่องของข่าว วุ่นวายจนเป็นใหญ่โต เพราะฉะนั้นซูย้าวจึงไม่สะดวกโผล่หน้าออกมาชั่วคราว ได้แต่ให้โม่หว่านหว่านมาเป็นตัวแทน
ในตอนระหว่างทางที่มานั้น เธอได้ไปร้านเบเกอรี่มารอบหนึ่ง แล้วก็ซื้อเค้กครีมพัฟฟ์สินค้าใหม่มาด้วย ล้วนเป็นสิ่งที่เด็กทั้งสองคนชอบกิน
พอรถจอดลงที่หน้าโรงเรียนอนุบาล ดูแล้วก็ถึงเวลาเลิกเรียนพอดี คุณครูโรงเรียนอนุบาลพาเด็ก ๆ เดินออกมา แล้วเข้าแถวเรียงกันคนแล้วคน ซึ่งมีผู้ปกครองที่อยู่ข้างนอกมาลูกของตัวเองไปทีละคนทีละคน
แต่ก็มีเด็ก ๆ ที่ผู้ปกครองค่อนข้างยุ่ง เด็กพวกนี้ก็จะตั้งแถวกันแล้วมีรถนักเรียนเฉพาะมารับส่ง คุณครูก็จะจัดแจงให้เรียบร้อย และส่งเด็ก ๆ ขึ้นรถไปทีละคนอย่างปลอดภัย แล้วหลังจากที่มั่นใจว่าปลอดภัยดีแล้วถึงจะจากไป
โม่หว่านหว่านลงมาจากรถตั้งนานแล้ว และเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนอนุบาล มารอคอยเงาร่างเล็ก ๆ ของเตียวเตียวและซีซี
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ ทั้ง ๆ ที่มีเด็ก ๆ ทยอยออกมากันไม่น้อยแล้ว ตัวเธอก็รอแล้วรอเล่า แต่ก็ไม่เห็นเตียวเตียวและซีซี
โม่หว่านหว่านเองรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่ว่าในเมื่อเด็ก ๆ ในโรงเรียนนั้นค่อนข้างเยอะ จะต้องรอสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วเธอก็รอคอยอย่างมีความอดทนต่อไป
แล้วในที่สุด จนแทบจะเหลือแต่เด็กสองคนที่ผู้ปกครองมารับช้าแล้ว แต่ยังมีคุณครูอยู่เป็นเพื่อนอยู่ โม่หว่านหว่านก็ยังรอไม่เห็นเตียวเตียวและซีซี เธอก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว
จึงเดินเข้าไปถามคุณครู พอครูได้ยินว่าเป็นผู้ปกครองของเตียวเตียวและซีซี ท่าทีก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันที “ฉันกำลังตามหาคุณอยู่เลย! เมื่อตอนบ่ายโทรศัพท์ไปให้คุณ ก็โทรไม่ติด……”
“คุณครูโทรศัพท์หาฉันเหรอคะ?” โม่หว่านหว่านอึ้งไปเล็กน้อย
คุณครูคิดไปครู่หนึ่ง “คุณไม่ใช่คุณซูใช่ไหมคะ? คุณเป็นน้าของพวกเด็ก ๆ ใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านพยักหน้า ในเมื่อน้าหรือแม่บุญธรรมก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
“คนที่ฉันติดต่อไปคือคุณซูค่ะ แต่น่าเสียดาย โทรศัพท์โทรไม่ติด อาจจะเพราะว่าคุณซูมีธุระค่อนข้างยุ่งมั้งคะ!” ท่าทีของคุณครูอนุบาลยังถือว่าพอใช้ได้ ที่พยายามเข้าใจหน้าที่การงานของผู้ปกครอง
เพียงแต่ว่าโม่หว่านหว่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ตกลงมันอะไรกันคะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
“คืออย่างนี้ค่ะ เมื่อตอนบ่าย เตียวเตียวและซีซีได้ตีกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ! และตีกันค่อนข้างรุนแรง ตอนนั้นสถานการณ์ก็ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะฉะนั้นฉันก็เลยให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนอยู่ต่อ และอยากจะพูดคุยกับผู้ปกครองดี ๆ สักหน่อย……”
คุณครูพูดไป ก็เชิญโม่หว่านหว่านเข้าไปข้างในด้วย แล้วเดินไปทางห้องพักครู
โม่หว่านหว่านกลับตกใจขึ้นมา “ตีกันเหรอคะ? งั้นเด็ก ๆ ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บไหมคะ? ตอนนี้อยู่ไหนคะ? ฉันอยากจะดูสักหน่อย……”
พอคำพูดของเธอพูดออกจากปาก สิ่งที่ได้รับมา มีเพียงแค่เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายของคุณครู และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่เดินเร็วขึ้นอีกหลายก้าว พอผลักประตูห้องพักครูเปิดออก จากนั้น เพียงแค่มองทีเดียวโม่หว่านหว่านก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมา
เด็ก ๆ ในโรงเรียนอนุบาล ส่วนใหญ่ก็แทบจะเป็นเด็กอายุราวสี่ห้าขวบ ถ้าพูดตามหลักแล้ว เด็ก ๆ รุ่นอายุเท่านี้ตีกัน ก็คงจะไม่ได้รุนแรงไปถึงขนาดไหน แต่ว่าครั้งนี้ กลับเกินความคาดหมายของทุกคน
รวมทั้งตัวโม่หว่านหว่านด้วย ที่ยืนนิ่งอึ้งไปกับที่อยู่ตรงนั้นเลย
เพราะว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้น เป็นเด็กผู้ชาย ๆ ไม่กี่คน แต่ละคนพันผ้าพันแผลไว้บนหัว ที่รูจมูกยังยัดก้อนสำลีไว้ ในนั้นยังเหมือนกับว่าจะมีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยคนหนึ่ง ผมไม่ได้ยาวมาก จึงดูไม่ค่อยออก
เด็กทั้งสี่คน บนใบหน้าของทุกคนต่างก็มีบาดแผล แล้วก็เหมือนกับว่าผู้ปกครองก็มาถึงกันแล้ว และอุ้มลูกของตัวเองไว้ แล้วกวาดสายตาที่โหดเหี้ยมมาที่โม่หว่านหว่าน
สายตาของเธอกวาดไปรอบห้องรอบหนึ่ง แต่กลับไปเห็นเตียวเตียวและซีซี ก็เลยถามขึ้นอย่างอึดอัดว่า “งั้นเตียวเตียวกับลี่เจินล่ะ? เด็กสองคนนี้อยู่ที่ไหน?”
คุณครูยังคงถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า‘รอสักครู่ค่ะ’ แล้วก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องข้าง ๆ
พอผ่านไปครู่หนึ่ง โม่หว่านหว่านก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเตียวเตียวขึ้น……
“คุณน้า!”
โม่หว่านหว่านหันหลังไป ก็เห็นเด็ก ๆ ทั้งสองคนวิ่งพุ่งมาหาตัวเอง เธอรีบย่อตัวนั่งลงไป แล้วตรวจเช็กร่างกายของเด็ก ๆ ทั้งสองคนให้ทั่ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร จึงโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
“ตกใจอะไรหรือเปล่า? บนตัวบาดเจ็บตรงไหนบ้างไหม?” เธอยังคงไม่ไว้ใจอยู่ดี และอยากจะถอดเสื้อผ้าของเด็ก ๆ ออก แล้วตรวจเช็กร่างกายให้ทั่วอย่างละเอียดสักหน่อย
แต่ว่าเตียวเตียวกับซีซีต่างก็ปฏิเสธอย่างเดียว เตียวเตียวยังพูดขึ้นอีกว่า “พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บหรอกครับ!”
ยังไม่ทันที่โม่หว่านหว่านจะได้พูดอะไร ผู้ปกครองทั้งหลายในห้องพักครูก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็พูดขึ้นอย่างโมโหจัดว่า “คุณเป็นผู้ปกครองยังไงกันเนี่ย? ถามลูกตัวเองว่าบาดเจ็บก่อนหรือเปล่า? คุณไม่มีตาหรือไง? ไม่เห็นลูก ๆ ของพวกเราเหรอ ดูซิแต่ละคนโดนตีจนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“ใช่ ๆ! เด็กสองคนที่คุณเลี้ยงมานี่ คงเป็นเด็กป่าเถื่อนละซิ! ทำไมถึงได้ลงมือกันแรงขนาดนี้? แต่ละคนนี่มันอันธพาลเด็กชัด ๆ!”
“น่ารังเกียจที่สุดเลย! อบรมสั่งสอนกันมายังไงเนี่ย? อายุแค่นี้ก็หัดตีคนอื่นเป็นแล้ว โตขึ้นมานี่ไม่แย่กันไปใหญ่เหรอ?”
“ใช่ เกินไปแล้วจริง ๆ!”
ผู้ปกครองหลายคนสงสารที่ลูก ๆ ของตัวเองได้รับบาดเจ็บ ต่างก็พูดขึ้นมาอย่างโมโห คำพูดทุกรูปแบบต่างก็ถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แล้วในขณะเดียวก็หันมองไปทางคุณครู “ต้องมาเรียนกับเด็กแบบนี้ คุณครูจะให้พวกเราที่เป็นผู้ปกครองวางใจได้ยังไง?”
“ตกลงเด็กสองคนนี้นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงได้ตีลูก ๆ ของเราจนเป็นถึงขนาดนี้ เรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านไปแบบนี้ไม่ได้นะ!”
“ต้องให้เด็กสองคนนี้ลาออกไปซะ! ไม่งั้นพวกเราก็จะพร้อมใจกันย้ายโรงเรียน!”
“ใช่! ฉันก็เห็นด้วยว่าจะย้ายโรงเรียน!”
พวกผู้ปกครองพูดกันคนนี้คำหนึ่งคนนั้นคำหนึ่ง ตั้งแต่แรกก็ขุ่นเคืองมากอยู่แล้ว แต่พอไฟโกรธระเบิดขึ้นมาในชั่วพริบตา คุณครูเองก็โดนพวกเขาปั่นจนรู้สึกเวียนหัวและปวดหัวเลย และทำได้แต่เพียงพยายามปลอบโยนอย่างใจเย็น
โม่หว่านหว่านกลับใช้โอกาสช่วงชุลมุนนี้ จ้องมองเตียวเตียวและซีซี แล้วถามเสียงต่ำขึ้นว่า “นี่ตกลงมันเรื่องอะไรกัน? ทำไมพวกหนูสองคนถึงได้ไปตีคน?”
ในความจำของเธอนั้น ซีซีไม่เคยตีคนมาก่อน แต่สำหรับเตียวเตียวนั้น……ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจมากนัก และก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็อยู่ข้างกายกันมาหลายเดือน ก็ไม่ถึงกับชอบใช้กำลังมากขนาดนั้นนะ!
ซีซียังคงไม่พูดอะไรเหมือนตอนปกติ เพียงแต่กะพริบตาโต ๆ ที่สวยงามคู่นั้นอยู่ แววตาที่ใสแจ๋วนั่น แค่ดูก็รู้สึกเป็นผู้บริสุทธิ์มาก
แต่กลับเป็นเตียวเตียว ที่พูดเสียงเบาอย่างน้อยใจมากขึ้นว่า “คุณน้า จะโทษพวกเราไม่ได้นะครับ พวกเขาเป็นฝ่ายว่าคุณน้าซูเป็นคนไม่ดี เป็นผู้หญิงโหดร้ายที่ทำร้ายพนักงาน เป็นผู้หญิงชั่ว และยังพูดว่าผู้หญิงแบบนี้ควรจะจับเอาไปยิงทิ้งซะ และพูดว่าพวกเราล้วนเป็นลูกนอกคอกที่ผู้หญิงชั่วคลอดออกมา……”
เตียวเตียวแค่ถ่ายทอดออกมาง่าย ๆ ไม่กี่คำ และไม่ได้พูดออกมาให้ครบทั้งหมด
แต่เพียงแค่ไม่กี่ประโยคนี้ ก็มากพอให้ไฟโทสะของโม่หว่านหว่านจุดประกายขึ้นมาได้แล้ว เมื่อไฟโทสะพุ่งขึ้นมาแล้ว เธอก็ยืดตัวลุกขึ้นยืน แล้วมองอย่างเยือกเย็นไปที่ผู้ปกครองที่กำลังโวยวายกันอยู่ แล้วพูดอย่างโมโหขึ้นว่า “ลูก ๆ ของพวกคุณ พูดว่าซูย้าวเป็นผู้หญิงชั่วร้ายโหดเหี้ยมอย่างงั้นเหรอ?”
พวกผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็อึ้งไปเลย แล้วก็ก้มหน้าลงมองไปที่ลูกของตัวเอง
พวกเด็ก ๆ ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แล้วจ้องมองพ่อแม่ด้วยแววตาใสแป๋ว แววตาที่น่าสงสาร ทำให้ผู้ปกครองใจอ่อนไปภายในพริบตา ถึงจะเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงแค่ไหน ก็ไม่สามารถมาต่อต้านกับเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ของตัวเองได้แล้ว
“ก็แค่คำพูดล้อเล่นของเด็ก จะพูดหรือไม่พูด แล้วจะเป็นไรไป? จำเป็นจะต้องลงมือทำร้ายคนอื่นด้วยเหรอ?” แม่คนหนึ่งโต้เถียงขึ้น
โม่หว่านหว่านยิ้มเย็น “อายุน้อย ๆ ก็หัดใช้คำพูดทำร้ายคนแล้ว เนี่ยนะเหรอคือการอบรมสั่งสอนที่ดี? นี่นะเหรอคือเนื้อแท้ที่ดี?”
คำพูดประโยคเดียว ก็ทำให้ผู้ปกครองทั้งหลายโกรธเคืองขึ้นมา
“นี่คุณหมายความว่ายังไง? ทำร้ายคนอื่นยังจะมีเหตุผลอีกเหรอ?”
“ไม่เคยเห็นผู้ปกครองที่เป็นแบบคุณมาก่อนเลย! ถึงว่าถึงได้มีลูกนอกคอกตั้งสองคน!” มีผู้ปกครองคนหนึ่งอดไม่ได้แล้วพูดจาหยาบคายออกมา
นิสัยที่อารมณ์ร้อนของโม่หว่านหว่าน จะมาอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้เหรอ?
แล้วก็โต้สวนกลับไปประโยคหนึ่งว่า “คุณว่าใครเป็นลูกนอกคอก?”
“ก็เด็กสองคนที่อยู่ข้างตัวคุณไง! คนทั้งโรงเรียนต่างก็รู้กันหมดว่า เด็กสองคนนี้ไม่มีพ่อ คุณสามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ไหมล่ะว่ามันเรื่องอะไร?”
ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ได้กลายเป็นการหมิ่นประมาทกันไปแล้ว
เด็ก ๆ ทั้งหลายที่ได้รับบาดเจ็บก็เริ่มแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เตียวเตียวและซีซี “ลูกนอกคอก ลูกนอกคอก! เจ้าเด็กนอกคอกสองคน!”
“เด็กนอกคอกที่ไม่มีพ่อ!”
โม่หว่านหว่านโมโหขึ้นมาราวกับฟ้าผ่า “พวกคุณนี่มันเป็นตัวอะไรกัน? ถึงกล้ามาพูดคำพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็ก ๆ นิสัยและการกระทำแบบพวกคุณนี่ ยังเหมาะสมเป็นพ่อแม่คนอีกเหรอ?”
“เหมาะหรือไม่เหมาะก็ยังดีกว่าลูกนอกคอกสองคนที่ไม่มีพ่อของคุณก็แล้วกัน!”
การโต้เถียงกันทางวาจา กำลังจะกลายเป็นการใช้กำลังแล้ว คุณครูคอยห้ามอยู่ระหว่างตรงกลาง สถานการณ์ควบคุมได้ยากมาก
และในเวลานี้พอดี เสียงเย็น ๆ ของผู้ชายเสียงหนึ่งลอยเข้ามา จากที่ไกลค่อย ๆ เข้ามาใกล้ แล้วลอยเข้าหูของทุกคน……
“ใครว่าลูกของผมไม่มีพ่อกัน?”