เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 367
เรื่องของหน้าที่การงานนั้น เอาวางไว้ข้างหนึ่งไปก่อน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากกว่า เธอจำเป็นจะต้องจัดการอย่างรวดเร็วสักหน่อย
ไปถึงที่ห้องนอนข้าง ๆ แล้วก็เป็นจริงด้วย เจ้าเด็กตัวเล็กทั้งสองคนยังไม่นอน
เตียงนอนของเตียวเตียวกับซีซีเป็นเตียงสองชั้น เป็นเตียงไม้ที่เธอตั้งใจเลือกซื้อมา เมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่ตอนที่เธอรู้ว่าตัวเองคลอดลูกฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่งออกมานั้น เธอก็คิดมาตลอดว่า ถ้าเกิดสามารถตามหาลูกชายกลับมาได้ ตอนเด็ก ๆ ก็จะให้เด็กทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกันแน่ แล้วให้นอนเตียงสองชั้น
รอโตขึ้นมาหน่อยแล้ว ค่อยให้แยกห้องนอนเป็นคนละห้อง……
ตอนแรกนึกว่าความหวังแบบนี้คงจะไม่มีทางได้สมหวังแล้ว แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว เหมือนกับว่าการมาถึงของเตียวเตียว จะเป็นของขวัญอย่างหนึ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ โชคดีที่ให้เธอพบเจอเด็กคนนี้เข้า
สลัดความคิดในหัวสมองออกไป ซูย้าวมองดูเด็กทั้งสองคนที่ตีกันจนตัวกลมเป็นก้อนบนเตียง แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น ถ้าเกิดว่าตอนนั้นลูกชายไม่ได้หายไป แล้วเธอต้องเลี้ยงลูกทั้งสองคนตัวคนเดียว คิดว่ามีบางครั้ง ก็คงจะโดนเด็กสองคนทำให้โมโหจนตายแน่เลย!
เข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าก่อนหน้านี้ทำไมโม่หว่านหว่านถึงได้ต้องพร่ำบ่นด้วย คงเพราะว่าเหนื่อยกายเหนื่อยใจแล้วจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพวกของเล่นที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น สะเปะสะปะ และวุ่นวายเต็มพื้นห้อง จ้องมองจนหัวของเธอร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว
พอเตียวเตียวมองเห็นเธอ ก็เรียก‘คุณน้า’ขึ้นคำหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวไป แต่คิดไม่ถึงว่า อยู่ ๆ ที่ข้างหลังก็มีแรงจู่โจมมาทีหนึ่ง เจ้าตัวเล็กไม่ได้สังเกต ก็เลยโดนถีบไปจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
ซีซีพยายามกลั้นขำเอาไว้ ใบหน้าเกร็งค้าง แต่ก็ยังอดไม่ไหวอยู่เล็กน้อย
เตียวเตียวนอนคว่ำอยู่บนพื้นอย่างหมดแรง พอผ่านไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้พยายามลุกขึ้นมา แล้วทอดถอนใจทีหนึ่ง “เฮ้อ……”
ซูย้าวจ้องมองเด็กทั้งสองคนนี้ ไม่ว่าในใจจะมีเรื่องโกรธมากแค่ไหน พอวินาทีที่มาเห็นเด็ก ๆ เข้า ก็ล้วนมลายหายไปหมดเลย
เธอเดินไป นั่งลงบนเตียง แล้วจ้องมองเด็ก ๆ ทั้งสอง แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาหมดแล้วว่า เมื่อตอนบ่ายวันนี้พวกหนูตีกันที่โรงเรียนอนุบาลใช่ไหม?”
ซีซีก้มหน้าลงอย่างหมดเรี่ยวแรง เหมือนกับว่าจะรู้ตัวว่าทำผิดแล้ว ท่าทางยังแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดอยู่บ้าง
เธอยิ้มอ่อน ๆ ขึ้นทีหนึ่ง แล้วมองไปที่เตียวเตียว “ตกลงมันเรื่องอะไรกัน? บอกน้ามาหน่อยได้ไหม?”
“ที่จริง จะโทษพวกเราก็ไม่ได้ ก็เด็กพวกนั้นมาว่าพวกเราก่อน พวกเขาพูดว่า……”
เตียวเตียวลากเสียงยาวขึ้น เหมือนกับว่าไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องเมื่อตอนบ่ายยังไง แล้วก็คอตกอย่างกับว่าน้อยใจเล็กน้อย ท่าทางแบบนี้ทำให้คนเห็นแล้วก็ทนทำใจไม่ได้
ที่จริงเพราะสาเหตุอะไรนั้น โม่หว่านหว่านได้พูดกับเธอก่อนแล้ว ซูย้าวเองก็รู้แล้วว่าโดยรวมแล้วเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าก็ยังอยากจะฟังพวกเด็ก ๆ พูดสักหน่อย
“เตียวเตียว เด็ก ๆ พวกนั้นพูดอะไรไปบ้าง?” เธอถามขึ้น
เตียวเตียวเงยหน้าขึ้นมา แล้วกัดริมฝีปากไว้อย่างน้อยใจ อ้ำอึ้งอยู่นานแล้วถึงเปิดปากพูดขึ้นว่า “พวกเขาพูดว่าคุณน้าเป็นผู้หญิงชั่วร้าย พูดว่าคุณน่าทำร้ายคนอื่นแล้วก็ไม่รับผิดชอบ เป็นผู้หญิงชั่วร้ายที่โหดเหี้ยม ยังพูดว่าพวกเราเป็นลูกนอกคอก……”
พอคำพูดพูดจบ เตียวเตียวก็อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา
“พวกเขาน่ารังเกียจมากเลย คุณน้าเป็นคนดีซะขนาดนี้ แล้วก็ดีกับผมมาก พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้? ที่ตีพวกเขามันก็สมควรแล้ว!”
ซูย้าวจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ทอดถอนใจออกมาจากใจจริง และยื่นมือไปคว้าเตียวเตียวมาอยู่ในอ้อมกอด “เจ้าเด็กโง่ เด็ก ๆ พวกนั้นก็ตัวเท่า ๆ กับพวกหนู พวกหนูต่างก็ยังเป็นเด็ก เป็นช่วงอายุที่ยังใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุด ไม่ว่าพวกหนูพูดอะไร ทำอะไรไป น้าก็ไม่มีทางโกรธทั้งนั้น”
“แต่ว่า……” เตียวเตียวยังรู้สึกน้อยใจอยู่ “แต่ว่าพวกเขาว่าคุณน้านี่ครับ! ผมไม่อนุญาตให้พวกเขาทำอย่างนี้!”
“หนูยังเด็ก รอให้หนูโตขึ้นหน่อย ก็จะรู้ว่า บนโลกใบนี้มีคนเยอะแยะมากมาย ทุกคนต่างก็มีความเข้าใจและมุมมองของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ทุกคนเห็นด้วยกับหนู คนที่หนูชอบ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นก็จะชอบด้วย!”
ซูย้าวรู้ ด้วยหลักการพวกนี้ อยู่ ๆ ก็มาพูดกับเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่ง ดูเหมือนจะสร้างความลำบากให้กับเด็กมากเกินไป แต่ว่ายังดีที่เรื่องที่ตีกันได้คลี่คลายไปแล้ว ได้แต่หวังว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีกถึงจะดีที่สุด
เตียวเตียวเกาหัวเล็กน้อย เหมือนกับว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ “แต่ว่าผมรู้สึกว่าคุณน้าดีมากเลยนี่ครับ! ผมไม่ชอบให้คนอื่นมานินทาคุณน้านี่!”
“น้าเองก็รู้สึกว่าหนูดีมาก แต่ว่าน้ารู้สึกว่าดี ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะรู้สึกว่าดีด้วย นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ปกติมาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกรธ” เธออธิบายขึ้น
เห็นได้ชัดว่า เตียวเตียวไม่ได้เข้าใจมากสักเท่าไหร่ แล้วก็เอียงหัวจ้องมองเธอ “งั้นผมควรจะทำยังไงครับ?”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ก็ทำเหมือนอย่างกับเมื่อก่อน เล่นเกมไปอย่างมีความสุข ตั้งใจเรียน และก็เติบโตอย่างแข็งแรงก็พอแล้ว รอให้หนูโตแล้ว และได้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง หนูก็จะมีความสามารถมาปกป้องคนที่หนูชอบและทุกอย่างที่หนูต้องการได้แล้ว” เธอพูดขึ้น
เตียวเตียวครุ่นคิดไปเล็กน้อย “……งั้นก็ได้ครับ!”
“แต่ว่า หนูจะต้องรับปากกับน้าว่า ต่อไปห้ามตีกับพวกเพื่อน ๆ อีกแล้วนะ ถ้าเกิดพวกเขาพูดคำพูดที่หนูไม่ชอบฟัง ก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ทำได้ไหมจ๊ะ?” ซูย้าวถามขึ้น
เตียวเตียวพยักหน้า แล้วก็รีบส่ายหน้าทันที “แต่ว่า ถ้าพวกเขาเป็นฝ่ายมาตีผมหรือว่าตีซีซีก่อนล่ะครับ?”
ซูย้าวลูบหัวเล็ก ๆ ของเด็กไป “น้าแค่บอกว่าไม่ให้พวกหนูเป็นฝ่ายไปตีคนอื่นก่อน แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกหนูป้องกันตัวเองให้ดีนี่?”
ชั่วขณะหนึ่ง เด็ก ๆ เหมือนกับว่าจะเข้าใจแล้ว แล้วก็หัวเราะแฮะ ๆ ขึ้น “อืม ครับ ผมรู้แล้วครับ!”
พอกล่อมเด็ก ๆ ทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เธอถึงได้ออกมาจากห้องนอน แล้วกลับไปที่ห้องหนังสืออีกครั้ง พอจ้องมองเอกสารที่กองอยู่เต็มโต๊ะ ก็รู้สึกแต่เพียงว่าหัวสมองหนักอึ้งขึ้นมา คำว่ามีความตั้งใจแต่ไร้เรี่ยวแรงคำนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ มันได้กลายเป็นการพรรณนาตัวเธอไปแล้ว
นวดขมับอย่างเหนื่อยล้าไป นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้แล้วถอนหายใจทีหนึ่ง ในขณะที่ไม่ได้ตั้งใจก็กวาดตามองไปเห็นรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ
เป็นรูปของซีซีตอนที่ครบสองขวบ แล้วหลินโม่ป่ายพาพวกเธอไปสวนสนุกแล้วถ่ายไว้ เด็กน้อยที่แบเบาะนั่งอยู่ในอ้อมอกของเขา รอยยิ้มเบิกบาน จ้องมองรูปถ่ายไป ดวงตาของเธอก็มืดขรึมลง ที่ผ่านมา ล้วนได้รับการดูแลทุกรูปแบบจากเขามาตลอด แล้วถ้าครั้งนี้เขาจะเป็นอะไรไปเพราะเธอจริง ๆ ละก็ เธอจะต้องรู้สึกผิดและโทษตัวเองจนเป็นบ้าแน่!
และที่สำคัญ เธอเองก็ไม่อยากจะให้หลินโม่ป่ายเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ
แล้วอย่างรวดเร็ว ซูย้าวก็จมลงสู่กองเอกสารพวกนี้ต่อไปอีกครั้ง
พอยุ่งรอบนี้ ก็ยุ่งไปจนถึงรุ่งเช้าเลย พอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ถึงพบว่านั่งเป็นเวลานานเกินไป เอวก็เริ่มปวดขึ้นมาหน่อยแล้ว
แล้วก็ลุกขึ้นมานวดไปเล็กน้อย ผ่อนคลายร่างกายสักหน่อย แล้วปิดไฟ และจะกลับไปนอนต่อที่ห้องสักหน่อย
ช่วงไม่มีใครรู้ รถเก๋งสีคำที่จอดอยู่ใต้ตึก หลินโม่ป่ายนั่งอยู่ข้างในนั้น แล้วก็นั่งไปตลอดทั้งคืนเช่นกัน
จ้องมองแสงไฟที่สว่างอยู่บนชั้นสูงสุดของตึก แล้วคิดว่าเธอต้องยุ่งตลอดทั้งคืน หัวคิ้วที่ขมวดกันแน่นของเขาแฝงไว้ด้วยร่องรอยของความว้าวุ่น แอบครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เขาก็ผลักประตูเปิดแล้วลงจากรถ จ้องมองดูท้องถนนของรุ่งสาง รถยนต์ที่จำนวนน้อยขับผ่านไป ผู้คนอันน้อยนิดกำลังเดินไปอย่างช้า ๆ เมืองที่โดนความมืดปกคลุมมาตลอดทั้งคืน ความสว่างค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมา
พอเอาโทรศัพท์ออกมา แล้วก็หารายชื่อชื่อหนึ่งเจอจากบันทึกการโทร แล้วก็โทรออกไปที่เบอร์นั้นอย่างแทบจะไม่ลังเลอะไรเลย
หลังจากที่โทรศัพท์ดังไปหลายครั้ง ก็โทรติดแล้ว
“อาสาม” เขาเปิดปากพูดขึ้น
“ในที่สุดก็นึกถึงฉัน รู้จักโทรหาอาสามแล้วเหรอ!” น้ำเสียงของผู้ชายในโทรศัพท์เรียบเฉย แต่ว่าสามารถฟังออกได้ว่า อายุไม่น้อยแล้ว
เหมือนกับว่าจะรู้จุดประสงค์ที่หลินโม่ป่ายโทรศัพท์มา แล้วก็ราวกับว่าได้รอเขามานานแล้วยังไงอย่างงั้น และอย่างรวดเร็วก็พูดขึ้นว่า “ฉันยังมีงานต้องจัดการอยู่ที่เมืองMอยู่บ้าง สามวันให้หลังถึงจะกลับเมืองA พอถึงตอนนั้นฉันจะช่วยแกคลี่คลายเอง”
พอหลินโม่ป่ายได้ยิน ก็ขมวดคิ้วขึ้น “อาสาม อารอให้ผมโทรศัพท์หาอามาตลอดเลยเหรอครับ?”
ทางด้านโน้นมีเสียงหัวเราะต่ำ ๆ ของผู้ชายลอยมา “ตั้งแต่เล็กฉันก็รู้จักนิสัยดื้อรั้นของแกแล้ว แล้วอยากจะให้แกยอมก้มหัวให้สักครั้ง นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ เลย! แต่ว่า อย่าหาว่าอาอย่างฉันจู้จี้เลยนะ เพื่อผู้หญิงคนนี้ มันคุ้มเหรอ?”
สายตาของหลินโม่ป่ายกระตุกเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากที่เรียบเฉยก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา ในชั่ววินาทีที่ริมฝีปากคลี่ออก ก็เปิดปากพูดขึ้นด้วยว่า “คำถามนี้ เมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยตอบอาไปแล้วนะครับ อาลืมไปแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้ลืมหรอก เพียงแต่แค่อยากจะยืนยันอีกสักหน่อย ว่าแกเปลี่ยนความตั้งใจไปแล้วหรือยัง!”
เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่ห้องบนตึกชั้นบนสุดที่เพิ่งปิดไฟไปเมื่อกี้ แล้วแววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “จะเปลี่ยนความตั้งใจไปได้ยังไงกัน? อาเป็นคนสอนผมมาตั้งแต่เด็กเองไม่ใช่เหรอว่า สิ่งที่ลูกผู้ชายอยากทำ อยากได้ ก็ต้องทำใจให้กล้าที่จะไปไขว่คว้า ไม่ต้องกลัวไม่ใช่เหรอครับ?”
เมื่อเทียบกับซูย้าวแล้ว อย่างอื่นทั้งหมดล้วนกลายเป็นไม่มีค่าพอที่จะเอ่ยถึง วินาทีนี้สำหรับเขานั้น ความปลอดภัยของเธอ ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาเต็มใจที่จะตกระกำลำบาก