เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 369
เพราะว่าลี่เฉินซีมาแบ่งปันหน้าที่รับส่งเด็ก ๆ ไปด้วยตัวเอง ก็ถือได้ว่าช่วยซูย้าวแบ่งปันหน้าที่ไปได้ส่วนหนึ่ง เธอก็จะมีเวลาว่างออกมา มาใช้กับการทำงานทั้งหมด สำหรับเธอมาพูดแล้ว ก็ถือว่าดีมากเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้เพราะว่าเรื่องของตระกูลเถียนวุ่นวายจนเป็นข่าวใหญ่โต หลายวันมานี้เธอเลยไม่ได้มาบริษัทเลย ทำให้มีงานบางอย่างเสียเวลาไป และวันสองวันนี้ก็จะต้องรีบทำชดเชยกลับมา ไม่อย่างงั้น ผู้รับผิดชอบคนใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว เธอเองไม่อยากจะกองเรื่องยุ่งยากทิ้งไว้ แล้วให้ตัวเองเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีหรอกนะ
โดยเฉพาะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผู้รับผิดชอบคนนั้นคือ……
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึหึหึในใจ สามารถพูดได้แต่เพียงว่า นี่มันโชคชะตากลั่นแกล้งคนจริง ๆ!
มีบางครั้งโลกนี้จะพูดว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะพูดว่าแคบก็แคบ คนสองคนอาจจะอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน แต่ว่าตั้งหลายปีก็ยังไม่เคยพบหน้ากันเลย และเป็นไปได้ทั้ง ๆ ที่ฟ้าทำให้อีกฝ่ายห่างกันไปตั้งนานแล้ว คนที่เป็นเหมือนคนแปลกหน้ากันไปแล้ว แต่กลับเพราะว่าเหตุผลอะไร อยู่ ๆ ก็ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
วนเวียนกันไปมา ไม่รู้จะพูดว่าเป็นโชคชะตา หรือว่าเวรกรรม
แล้วในตอนที่ซูย้าวกำลังยุ่งที่จะทำงานที่ค้างไว้หลายวันนี้ให้ทดแทนกลับมา ในตอนที่กำลังยุ่งจนผมเผ้ายุ่งเหยิงนั้น ผู้ช่วยเสี่ยวจางก็วิ่งหายใจหอบเข้ามา แม้แต่ประตูก็ยังไม่เคาะ แล้วพุ่งเข้ามาอย่างอึดอัด
ซูย้าวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วมองดูสีหน้าที่ร้อนรนของเธอ ก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงรีบถามขึ้นว่า “เป็นพวกนักข่าว? หรือว่าคนของตระกูลเถียนล่ะ?”
เมื่อหลายวันก่อนก็เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็คือวันที่ลี่เฉินซีหมั้นนั่นเอง พอเธอเพิ่งมาถึงบริษัท ที่นี่ก็รีบร้อนวิ่งหอบมารายงานแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าก็ยังสายไปก้าวหนึ่ง อยู่ท่ามกลางการโดนนักข่าวที่พุ่งเข้ามาห้อมล้อมและคนของตระกูลเถียนมาสกัดกั้น แม้กระทั่งยังโดนฝ่ามือที่อยู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามาตบตีด้วย
แต่ว่าตอนนี้ เสี่ยวจางกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่เลยค่ะ ประธานซู แต่เป็นประธานโอวและประธานหลินผู้รับผิดชอบที่สำนักงานใหญ่ส่งตัวมาค่ะ!”
“อ๋อ?” ซูย้าวอึ้งไปเล็กน้อย มาเร็วกว่าเวลาที่คาดการณ์ไว้จริง ๆ ด้วย
จำได้ว่าเมื่อตอนเช้า เธอเพิ่งได้รับข่าวมาจากทางสำนักงานใหญ่ ว่าทั้งสองท่านที่ถูกส่งตัวมา วันมะรืนถึงจะมาถึงเมืองAได้ แล้วทำไมข่าวคราวมันถึงได้ไม่แน่ชัดขนาดนี้นะ?
ไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ซูย้าวได้แต่วางงานที่อยู่ในมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วก็ลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวสักหน่อย แล้วก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับผู้ช่วย
แล้วก็ยังไม่ทันได้ขึ้นลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็ค่อย ๆ เปิดออก คนที่อยู่ข้างในเป็นคนที่ต้องการรอคอยพอดี หรือก็คือประธานโอวและประธานหลินที่ที่ออกจากปากของเสี่ยวจางเมื่อกี้
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ต่างก็เป็นคนที่ถูกส่งตัวมาจากสำนักงานใหญ่ มารับช่วงต่อจากซูย้าว และมาเป็นประธานผู้รับผิดชอบในภาคประเทศจีนของจู้สือกรุ๊ปโอวหยางเช่อ ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขานั้น เป็นผู้ช่วยที่โดนส่งตัวมารับหน้าที่รองประธานหลินหวั่นหญิง
คนทั้งสองคนนี้ ต่างก็เป็นคนที่ซูย้าวรู้จัก
ต่างก็เป็นคนในท้องถิ่นของเมืองAเลย
เธอไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น หลินหวั่นหญิงที่เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นยังเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหานฉ่ายหลิงมาก่อนด้วย และเคยมีข่าวอื้อฉาวกับลี่เฉินซีมาก่อนช่วงหนึ่งด้วย
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ที่ซูย้าวรู้ว่าJockส่งพวกเขาสองคนมา ก็รู้สึกแปลกใจมากว่าตกลงJockหมายความว่ายังไงกันแน่? เพราะอะไรทำไมจู้สือกรุ๊ป ถึงได้เหมือนกับก้อนเมฆครึ้มก้อนหนึ่ง ที่คอยปกคลุมอยู่รอบตัวเธอไม่หยุด
ราวกับเงาที่ติดตามตัว
ตกลงเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
ยังมีอีก คนอย่างJockคนนี้ ไม่เคยเจอหน้ากับเธอมาก่อน แต่ว่าเข้าใจเธอราวกับเป็นเหมือนนิ้วมือของตัวเอง ผู้ชายคนนี้ ตกลงมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? แล้วระหว่างนี้ก็มาแสดงเป็นบทบาทอะไรอีก เธอล้วนรู้สึกแปลกใจจริง ๆ!
ไม่ว่าจะเป็นความสงสัยที่มากมายแค่ไหน ก็จะต้องข่มลงไปก่อน การเผชิญและรับมือกับคนสองคนตรงหน้านี้ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
ซูย้าวจ้องมองชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ก้าวเท้าเดินออกมาจากลิฟต์ ใบหน้าที่สวยงามมากมีรอยยิ้มอ่อน ๆ โผล่ออกมา แล้วน้ำเสียงที่อ่อนหวานก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ประธานโอว รองประธานหลิน ไม่สามารถไปต้อนรับที่สนามบินได้ หวังว่าจะอภัยต่อกันด้วย”
แววตาที่โอวหยางเช่อมองมาที่เธอนั้นลุ่มลึก รอยยิ้มที่จาง ๆ นั้นยิ่งมีความหมายไม่ชัดเจน “ไม่เป็นไร เป็นเพราะว่าพวกเราเปลี่ยนไฟลท์บิน ให้มาถึงล่วงหน้าก่อนสองวัน แล้วไม่ได้บอกกับคุณไว้ก่อน ต้องขอโทษด้วย!”
“ไม่เป็นไรไม่ได้จริง ๆ ประธานโอว เชิญข้างในก่อนเถอะ!” ซูย้าวนำทางด้วยตัวเอง ห้องทำงานของทั้งสองคนนั้นได้เตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งหลายวันแล้ว แล้วก็ส่งคนไปทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าตอนที่ทั้งสองคนมาถึงนั้น จะต้องไม่มีทางหงุดหงิดเพราะเรื่องเล็กน้อยแน่นอน
หลินหวั่นหญิงเงียบขรึมมาตลอดทาง ติดตามอยู่ข้างกายโอวหยางเช่ออย่างเงียบสงบ พอจ้องมองห้องทำงานของตัวเองแล้ว ก็ไม่ได้ว่าอะไร แววตาที่เย็นชากวาดมองทุก ๆ คน สุดท้ายมาตกอยู่ซูย้าว “ประธานซู ในเมื่อตอนนี้ฉันกับประธานโอวก็มาถึงแล้ว คุณก็เอางานมอบหมายให้กับเลขาของฉันสักหน่อย ต่อไปคุณก็กลับไปคุมฝ่ายขายของคุณต่อเถอะ!”
เพิ่งจะมาถึง ก็มาวางมาดข่มขู่ผู้อื่นขึ้นมาทันทีเลย และยังมาแย่งอำนาจใหญ่สุดไปจากมือของซูย้าวอีก แล้วก็ไล่เธอไปอยู่แผนกขาย นี่มันเชือดไก่ให้ลิงดูชัด ๆ
ตั้งแต่ที่รู้ว่าหนึ่งในรายชื่อของผู้ที่ถูกส่งตัวมามีหลินหวั่นหญิงแล้ว ซูย้าวก็เดาเรื่องทุกอย่างนี้ออกแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ เธอกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
“ยังมีอีกอย่าง รายงานของฝ่ายการเงิน เอามาทั้งหมดด้วย ฉันจะตรวจสอบด้วยตัวเองสักหน่อย” แล้วหลินหวั่นหญิงก็สั่งขึ้นอีก
ผู้ช่วยเสี่ยวจางรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับน้ำเสียงที่หยิ่งยโสแบบนี้ของเธอสักเท่าไหร่ แล้วก็ตอบกลับไปเย็น ๆ ประโยคหนึ่งว่า “รองประธานหลิน รายงานของฝ่ายการเงิน ประธานซูเพิ่งจะตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยไปเอง”
“อ๋อเหรอ?” หลินหวั่นหญิงยักคิ้วขึ้น แล้วสายตาเย็นชาก็กวาดไปทางเสี่ยวจาง
แล้ววินาทีต่อมา จากเรียวปากบางที่มีเสน่ห์ขยับขึ้น น้ำเสียงที่แสบแก้วหูก็ดังติดต่อกันขึ้นมา “ฉันจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนประธานซูมีปัญหาทางด้านการสื่อสาร ก็เลยพูดไม่ได้มาตลอด แต่เวลาอผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ปัญหานี้ ยังรักษาไม่หายอีกเหรอ?”
น้ำเสียงที่แหลมคมบวกกับเสียงหัวเราะเย็น หลินหวั่นหญิงนี่เพิ่งกลับมาที่เมืองA ก็จะเอาการกระทำที่เหนือกว่าคนอื่นชั้นหนึ่งของเธอแสดงออกมาหมดเลยเหรอ
เสี่ยวจางขมวดคิ้วขึ้นทีหนึ่ง “รองประธานหลิน นี่คุณว่าประธานซูแบบนี้ กลัวว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่มั้ง”
ซูย้าวมองเสี่ยวจางทีหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เธอว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าเสี่ยวจางนั้นหวังดีกับตัวเอง แต่ว่าหลินหวั่นหญิงเพิ่งกลับมาประเทศ แล้วยังเพิ่งได้มาดำรงตำแหน่งใหม่ จะไม่ให้เธอมาแสดงอำนาจสักหน่อย จะไปพึงพอใจได้ยังไง?
ที่สำคัญคือ ไม่ใช่ว่าซูย้าวจะเกรงกลัวท่าทีที่ย่ำแย่ของอีกฝ่าย แล้วก็ไม่ได้ห่วงว่าจะไปชักจูงอะไรออกมา เพียงแต่แค่ไม่อยากให้เสี่ยวจางต้องมาโดนตัวเองพาซวยไปด้วย!
แต่ว่าความจริงเห็นได้ชัดว่า ความกังวลของเธอนั้นมากเกินไปแล้ว
เพราะว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของหลินหวั่นหญิง ไม่เคยเป็นเสี่ยวจางมาก่อนเลย และก็ไม่ใช่ลูกน้องคนไหนของบริษัทนี้ด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตัวซูย้าวเอง
“มีอะไรที่ไม่ค่อยดี? ถ้าด้านการสื่อสารของซูย้าวไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ทำไมยังต้องให้ผู้ช่วยอย่างคุณคนหนึ่งมาช่วยเธอตอบคำถามอีก?” สายตาที่เย็นชาของหลินหวั่นหญิง กวาดไปที่ซูย้าวขึ้นมาทันที
“อันนี้……”
“ลำบากให้รองประธานหลินเป็นกังวลแล้ว!”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวจางจะได้เอ่ยปาก ก็โดนซูย้าวพูดขัดขึ้นซะก่อน น้ำเสียงของเธอพูดขึ้นมาเร็วมาก จนแทบจะกลบปลายเสียงของหลินหวั่นหญิงไปเลย “เมื่อหลายปีก่อน คอของฉันก็ได้หายดีแล้ว!”
พอพูดจบ สายตาของซูย้าวก็มองไปที่โอวหยางเช่อที่อยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “แล้วในระหว่างนี้ ก็จะต้องขอบคุณประธานโอวเป็นอย่างมากด้วย”
ตอนนั้น โอวหยางเช่อเป็นแค่หมอธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น เส้นเสียงของซูย้าวสามารถรักษาหายจนเป็นปกติได้ ก็เป็นเพราะว่าเขาลงมือผ่าตัดให้เองกับมือ
ส่วนร่างกายก็มีเขาและหลินโม่ป่ายช่วยกันดูแลอย่างตั้งใจ ถึงได้ใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งปีเท่านั้น ก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้แล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ซูย้าวคิดไม่ถึงก็คือ โอวหยางเช่อคนนั้นที่ตอนนั้นพูดออกจากปากเองว่าจะไปต่างประเทศ จะไปเป็นแพทย์ระดับสากล แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีนี้ กลับละทิ้งอาชีพหมอไปแล้วหันมาทำธุรกิจ ในขณะเดียวกันยังเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด และเปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าเบื้องบนของตัวเองด้วย
จะต้องพูดว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว หรือว่าความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์และมนุษย์ทำให้เกิดขึ้นเหรอ?
สำหรับหน้าที่การงานแล้ว ซูย้าวไม่ใช่ว่าจะต้องกลายเป็นคนที่ต้องควบคุมทุกอย่างให้ได้ เป็นหัวหน้าที่อยู่สูงส่งเหนือกว่าผู้อื่น เพียงแต่ว่าเธอคิดไม่ตกเล็กน้อย ว่าเพราะอะไรโอวหยางเช่อถึงได้หันมาทางธุรกิจ แถมยังเข้ามาในจู้สือกรุ๊ปด้วย
แล้วทำไมJock จะต้องส่งตัวเขากลับมาประเทศด้วย ในระหว่างนี้และเบื้องหลัง จะต้องไม่ใช่แค่คำว่า‘บังเอิญ’ง่าย ๆ แค่คำเดียวจะมาอธิบายได้แน่
“ใช่ซิ ล้วนเป็นเรื่องที่ตอนนั้นผมตอนที่ยังเป็นหมออยู่เลย แต่ว่าเวลาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ซูย้าว ไม่ได้เจอกันนานจริง ๆ เลยนะ!”
โอวหยางเช่อจ้องมองเธอ ดวงตาที่คมลึกราวก็ท้องทะเลกว้าง ลึกจนไม่เห็นก้น
ซูย้าวสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่ม แล้วค่อย ๆ ยิ้มขึ้น “ค่ะ ไม่เจอกันนานเลย ประธานโอว อีกเดี๋ยวฉันจะมารายงานและส่งมอบงานให้กับคุณ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร ก็ขอให้คุณสั่งมาได้ทุกเมื่อเลยค่ะ”
ท่าทีที่นอบน้อมของเธอ ดูอบอุ่นเป็นอย่างมาก คำเรียกสรรพนามนอบน้อมทุก ๆ คำ ไม่เพียงไม่มีความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าพบกัน แถมยังมีความตั้งใจหลีกเลี่ยงอยู่บ้าง และก็ตั้งใจห่างเหินเล็กน้อย แม้แต่รอยยิ้มที่ทั้งสุขทั้งทุกข์นั้น ก็ล้วนเป็นแบบยิ้มอย่างมีมารยาทให้ผ่าน ๆ ไป
โอวหยางเช่อจ้องมองเธอ ความคิดที่สับสนวุ่นวายกะพริบผ่านไปในดวงตาอย่างรวดเร็ว แล้วรอยยิ้มที่สดใสก็เข้ามาแทนที่ วินาทีนี้ จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ก็ราวกับว่าความเงียบเหงาที่มีอยู่ในใจ ต่างก็ได้มลายหายไปแล้ว