เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 370
พอประธานใหม่ทั้งสองคนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ตำแหน่งผู้รับผิดชอบภาคประเทศจีนของจู้สือกรุ๊ปก็ถือได้ว่าเรื่องราวได้เสร็จเรียบร้อยลงสักที
ก่อนหน้านี้ซูย้าวเป็นผู้ดูแลแทน แต่ตอนนี้ประธานตัวจริงมาถึงแล้ว นอกจากเธอต้องส่งมอบงานที่อยู่ในมือให้หมด และรายงานสถานการณ์ของช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของจู้สือกรุ๊ปที่อยู่ภายในประเทศแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก
ต่อไปก็ควบคุมดูแลฝ่ายขายของตัวเองให้ดีก็พอ แค่รับประกันว่ายอดขายทุกไตรมาสของจู้สือกรุ๊ปภายในประเทศไม่ตก เธอก็ถือได้ว่าทำผลงานได้สมบูรณ์แล้ว
หน้าที่รับผิดชอบแบบนี้ สำหรับเธอมาพูดแล้ว ก็ถือได้ว่าค่อนข้างเบา
และสามารถพูดได้ว่าทำได้อย่างคล่องมืออย่างใจนึกแล้ว
เพราะฉะนั้นหลังจากที่รายงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูย้าวก็จัดการเอกสารที่อยู่ข้าง ๆ มือสักหน่อย แล้วก็ลุกขึ้นในขณะเดียวกันก็พูดขึ้นว่า “ประธานโอว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ!”
โอวหยางเช่อเงยหน้าขึ้นมามองไปที่เธอ “ซูย้าว คุณไม่ถามสักหน่อยเหรอ ว่าทำไมถึงเป็นผม?”
“หึ?” เธออึ้งไปครู่หนึ่ง “คุณหมายถึงอะไรคะ?”
โอวหยางเช่อยิ้มเล็กน้อย หลังพิงอยู่กับเบาะเก้าอี้ แล้วยื่นมือไปจับบุหรี่อยู่ “ด้วยความสามารถของคุณ ถ้าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ง่ายดายมาก และที่สำคัญ งานของจู้สือกรุ๊ป สำหรับคุณมาพูดแล้วนั้น ก็ถือได้ว่ามีความสามารถแต่ไม่นำมาใช้ไม่ถูกที่แล้ว คุณเองสามารถสร้างเนื้อสร้างด้วยตัวเองได้ หรือว่าจะฟื้นฟูกิจการของบริษัทซูซื่อขึ้นมาใหม่ก็ได้……”
พอได้ยินดังนี้ เธอกลับแค่คลี่ยิ้มออกอย่างเยาะเย้ยตัวเองทีหนึ่ง น้ำเสียงยังคงเกรงใจและห่างเหินเช่นเดิม “ประธานโอวพูดล้อเล่นแล้ว ฉันไม่ได้มีจิตใจทะเยอทะยานแบบนั้น แล้วก็ไม่เคยมีความคิดที่จะก่อตั้งบริษัทซูซื่อขึ้นมาใหม่ด้วย”
“งั้นสิ่งที่คุณคิดอยู่คืออะไรล่ะ?” โอวหยางเช่อถามกลับ
ซูย้าวขมวดคิ้วคิดเล็กน้อย “เป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งค่ะ!”
ถึงแม้ว่าจะเป็นความคิดที่คิดขึ้นมากะทันหัน แต่ว่าก็ออกมาจิตใจส่วนลึกที่สุดแล้ว
ที่จริง เธอไม่ได้อยากจะโกหกเขาเลย
สำหรับความคิดที่จะก่อตั้งบริษัทซูซื่อขึ้นมาใหม่นั้น ซูย้าวไม่เคยคิดมาก่อนจริง ๆ
แต่ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง เปิดกิจการบริษัทด้วยตัวเองนั้น สำหรับซูย้าวมาพูดแล้ว มันง่ายดายมาก เธอเป็นคนที่มีความสามารถและมีหัวสมองคนหนึ่ง สามารถลื่นไหลไปบนเส้นทางธุรกิจได้สบาย สามารถดูแลบริษัทของตัวเองให้มั่นคงได้ และก็สามารถทำกำไรให้กับตัวเองได้มากมายด้วย
แต่ว่า เธอกลับไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อนเลย
โลกธุรกิจราวกับเป็นสนามรบ เป็นที่ที่ไม่เห็นใครเสียสละเลือดเนื้อ แต่กลับโหดร้ายมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงเป็นร้อยเท่า ตั้งแต่เด็กเธอก็เกิดมาอยู่ในวงการแบบนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้มา จ้องมองบิดาเอาแต่วนเวียนอยู่กับการเสแสร้ง เสแสร้งกันไปเสแสร้งกันมา พอโตขึ้นมาก็ยังมารักคนแบบนี้เข้าอีกคนหนึ่ง มองดูเขาโศกเศร้าดีใจอยู่ในโลกธุรกิจ ราวกับเป็นผู้ชนะคนหนึ่ง ที่อยู่อย่างสูงส่ง เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ แต่ว่าความยากลำบากและความเสียสละที่อยู่เบื้องหลัง มีเพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
สามารถพูดได้ว่าผู้ชายที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอทั้งสองคนนั้น ต่างก็เป็นนักธุรกิจ
และอาจจะมีความเป็นไปได้สูงที่วันไหนสักวันในอนาคต ลูกชายของเธอก็จะเข้าสู่เส้นทางนี้ด้วย และหลังจากได้รับการสืบทอดจากลี่เฉินซีแล้ว ก็จะยิ่งเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาดและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นเธอรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบนี้มานานแล้ว และก็ยิ่งรังเกียจชีวิตแบบนี้ แล้วจะให้อยากเปิดกิจการและกลายเป็นเจ้านายเองได้ยังไงกัน
และทุกวันนี้ที่ทำงานอยู่ในจู้สือกรุ๊ป ก็เพราะว่าไม่มีทางเลือก ซึ่งมีเรื่องราวอยู่เล็กน้อย
“แม่ที่ดี……” โอวหยางเช่อทวนคำพูดไม่กี่คำนี้อยู่ ใบหน้าขาวใส มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมา “คุณได้เป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งอยู่แล้ว! เป็นหนึ่งในแม่ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย”
อยู่ ๆ ก็โดนคนชื่นชม ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ซูย้าวรู้สึกรับไม่ค่อยได้ “ประธานโอวชมเกินไปแล้ว! ไม่กล้ารับจริง ๆ”
“เอาเถอะ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยคิดที่จะมานั่งในตำแหน่งนี้ แต่ว่า คุณก็ไม่สงสัยเลยเหรอว่า ทำไมถึงได้เป็นผมไปได้?” เขาถามขึ้น
ซูย้าวจ้องมองเขา พูดตามตรง เธอเองก็รู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกัน
แต่ว่าต้นเหตุที่สงสัยนั้นไม่ได้อยู่ที่โอวหยางเช่อ เธออยากจะรู้เป้าหมายที่แท้จริงของJock เพียงแต่กลัวว่าคำถามพวกนี้ถึงแม้จะถามออกไปแล้ว แต่ไม่สามารถได้รับคำตอบจากที่โอวหยางเช่อได้หรอก
เพราะฉะนั้น เธอเพียงแต่แค่ยักไหล่แล้วยิ้มขึ้น “จะแปลกใจอะไรคะ? ตำแหน่งนี้ ถึงไม่ใช่คุณก็ต้องมีคนอื่นมาดำรงอยู่ดี”
“อืม แต่ว่า สามารถได้พบคุณอีกครั้งนั้น ผมรู้สึกดีใจมาก” เขาพูดขึ้น
เธอกระตุกมุมปากอย่างมีมารยาททีหนึ่ง แล้วก็ถือเอกสารที่อยู่ในมือและโน๊ตบุ๊ค แล้วก็หมุนตัวออกไปจากห้องทำงานเลย
เพราะว่าเธอรีบร้อนเกินไป แล้วก็ไม่ได้สังเกตถึงในแววตาที่ลึกซึ้งของชายหนุ่มนั้น ความซับซ้อนที่แอบซ่อนเอาไว้ ค่อย ๆ จืดจาง และก็หายวับไร้ร่องรอยไปในพริบตา
……
และเกือบจะเวลาเดียวกัน หานฉ่ายหลิงก็เคาะประตูห้องทำงานประธานกรรมการที่บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปอยู่
พอได้ยินข้างในมีเสียงของลี่เฉินซีพูดลอยออกมา พูดคำว่า‘เข้ามา’ เธอก็ถือกระเป๋าไว้ แล้วก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป
ลี่เฉินซีเงยหน้าขึ้นมามองเธอ บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นทีหนึ่ง “คุณมาได้ยังไงนี่?”
เขามองดูเวลาทีหนึ่ง “ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงเลย หิวแล้วเหรอ?”
หานฉ่ายหลิงชอบความรู้สึกที่ตามอกตามใจแบบนี้ของเขา แล้วยิ้มอ่อนหวานมีเสน่ห์ “ไม่ใช่ว่าฉันหิว แต่ว่าตอนเย็นพ่อของฉันอยากให้พวกเรากลับบ้านไปกินข้าวสักมื้อ คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมคะ?”
“อ๋อ? คุณลุงหานเหรอ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เดี๋ยวผมให้หวางอี้บอกปัดงานเลี้ยงตอนกลางคืนก็ได้แล้ว” เขาพูดแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์สำนักงานขึ้นมา โทรสั่งหวางอี้ทันทีเลย
หานฉ่ายหลิงเดินเข้าไป แล้วพิงอยู่บนตัวเขา “แบบนี้จะดีเหรอคะ? มักจะรู้สึกว่าทำให้คุณเสียงานเลยค่ะ……”
เขากลับกุมมือของเธอไว้ “เด็กโง่ ของอย่างเงินทองนั้น ไม่มีทางหาหมดได้หรอก นาน ๆ ทีหาน้อยไปบ้าง จะเป็นไรไปล่ะ?”
พอหานฉ่ายหลิงได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจเป็นอย่างมากขึ้นมา รอยยิ้มก็ยิ่งอ่อนหวานขึ้นแล้ว แล้วจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า อยู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่า ตอนที่กินอาหารเย็นนั้น ถ้าเกิดว่าพ่อของฉันพูดอะไรไป คุณห้ามเอามาใส่ใจเลยนะ ได้ไหมคะ?”
ลี่เฉินซียิ้มเล็กน้อย “คุณลุงจะไปพูดอะไรได้?”
“ก็เรื่องที่เป็นห่วงฉันไงคะ จะรู้สึกว่าฉันอายุมากแล้ว และควรจะแต่งงานได้แล้ว ซึ่งจะต้องเร่งอีกแน่ ๆ!” เธอพูดขึ้น
ที่จริงไม่ว่าจะพูดยังไง จุดประสงค์ที่มากกว่าก็คือ อยากจะพูดให้เขาฟังนั่นแหละ
ถึงแม้ว่าเมื่อคราวที่แล้วตอนที่อยู่ที่บ้านใหญ่ตระกูลลี่นั้น เขาพูดว่าอยากจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เป็นที่จดจำของโลกให้กับเธอ แต่ว่า ก็เพียงแค่พูดเท่านั้น พอผ่านไปแล้วก็ลากยาวไปอีกเป็นปีสองปี เธอกลัวจริง ๆ ว่านานไปฝันอาจจะสลายก็เป็นไปได้
กว่าจะได้เป็นคู่หมั้นของเขาได้ ก็จะต้องน้ำขึ้นให้รีบตัก ไม่งั้น ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาละก็ งั้นก็จะยุ่งเลย!
ลี่เฉินซีกลับพูดว่า “อืม ผมไม่คิดมากหรอก วางใจเถอะ!”
แค่คำพูดประโยคเดียวก็พูดให้เรื่องผ่าน ๆ ไปแล้ว
หานฉ่ายหลิงฟังไป ก็อดไม่ได้ที่ในใจจะเกิดความผิดหวังเล็ก ๆ ขึ้นมาบ้าง สิ่งที่เธอต้องการคือ คำตอบที่แน่ชัดของชายหนุ่ม แต่ไม่ใช่แบบนี้……
แต่พอมาเผชิญกับสถานการณ์อย่างตอนนี้ เธอก็เหมือนกับว่าจะร้องขออะไรมากไปไม่ได้แล้ว หานฉ่ายหลิงปัดความขุ่นมัวที่อยู่ในใจออกไป จ้องมองเขา แล้วพูดขึ้นว่า “พ่อของฉันบอกว่าหลายวันมานี้คุณไปรับส่งชาร์ลีอยู่ตลอด เฉินซี ต้องลำบากคุณมากจริง ๆ!”
“พอดีเลย ผมเองก็อยากจะปรึกษากับคุณสักหน่อย!” แววตาที่อ่อนโยนของลี่เฉินซีจ้องมองดูเธออย่างอ่อนโยน มือใหญ่กุมมือที่อ่อนนุ่มของเธอไว้ “ผมไม่เพียงแต่ไปรับส่งชาร์ลี ยังรับส่งซีซีและเตียวเตียวด้วย”
“ซีซีและเตียวเตียวเหรอ?” หานฉ่ายหลิงแกล้งทำเป็นอึ้งอย่างอัตโนมัติ ที่จริงเธอนั้นตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้มาถึงหัวข้อนี้
เธอได้ยินพ่อพูดว่าลี่เฉินซีไปรับส่งลูกสาวและเด็กนอกคอกคนนั้นตั้งนานแล้ว แต่ว่าเธอไม่อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ แล้วก็เอ่ยถามตรง ๆ ไม่ได้ จึงได้แต่รอคอยแล้วหาโอกาสที่ดีพูดออกมา
“ซีซีเป็นลูกสาวของคุณกับซูย้าว งั้นเตียวเตียวล่ะ……คือใครคะ?” เธอตั้งใจถามขึ้น
เขาไม่ได้หลบหนี และพูดอธิบายขึ้น “เตียวเตียวเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ภายใต้ที่โอกาสพอเหมาะก็เลยโดนซูย้าวพบเจอเข้า แล้วก็รับเลี้ยงไว้ ผมคิดว่าต่อไปจะรับผิดชอบรับส่งเด็ก ๆ ทั้งสามคนนี้เลย นอกจากจะสานสัมพันธ์ของพ่อลูกแล้ว ผมเองก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากขึ้น คุณจะโกรธไหม?”
หานฉ่ายหลิงยิ้มยิงฟันขึ้น บนใบหน้าที่สวยงามนั้นดูเบิกบานมาผิดปกติ “ฉันจะไปโกรธเด็ก ๆ ไม่กี่คนได้ยังไงกัน? คุณดูถูกฉันเกินไปแล้ว! และที่สำคัญซีซีก็เป็นลูกสาวของคุณมาตั้งแต่แรก จะต้องผูกสัมพันธ์พ่อลูกกันดี ๆ สักหน่อย ฉันยังสนับสนุนด้วยซ้ำ!”
“อย่างงั้นก็ดี” เขาเรียบเฉย ดวงตามีความหมายไม่ชัดเจน ลึกซึ้งจนทำให้เธอยากที่จะเข้าถึง
หานฉ่ายหลิงพูดขึ้น “คุณงานยุ่งขนาดนี้ทุกวัน รับผิดชอบรับส่งซีซีและเตียวเตียวก็พอแล้ว สำหรับชาร์ลี มอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันเถอะค่ะ!”
“ต่างก็เป็นเด็ก แล้วก็อยู่โรงเรียนอนุบาลเดียวกันอีก ไม่ยุ่งยากหรอก”
“ที่จริง เฉินซีคะ ฉันได้คิดไว้แล้วว่า ไว้ถ้าพวกเราแต่งงานกันแล้ว ก็จะส่งชาร์ลีให้ไปอยู่ต่างประเทศ ฉันอยากจะอยู่ข้างกายคุณอย่างสบายใจค่ะ แล้วก็ดูแลเจิ้งเอ๋อและซีซี และเป็นคุณน้าที่ดีของพวกเขา” หานฉ่ายหลิงพูดขึ้น