เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 375
รถวิ่งอยู่บนถนน ซูย้าวแปลกใจมากๆ
อุทยานดอกไม้นานาชนิดของเมื่อกี๊ สามารถบอกได้ว่าตะลึงพรึงเพริดมากๆ โดยเฉพาะอยู่ในฤดูกาลที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวนี้ อุณหภูมิก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ในอุทยานดอกไม้นานาชนิด ยังมีดอกไม้สดมากมายขนาดนั้นผลิบานอยู่ นับว่าเป็นภาพที่มหัศจรรย์จริงๆ
เธอแปลกใจ ต่อจากนี้เขาจะพาตัวเองไปไหน
จู่ๆถึงกับมีความแปลกใจเสี้ยวหนึ่ง แม้กระทั่งยังมีความคาดหวังเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
ระหว่างทาง เรื่องที่ลี่เฉินซีคุยกับเธอล้วนเป็นเรื่องงาน ข้อคิดเห็นว่าเขาจะลงทุนอะไร ก่อตั้งอะไร พัฒนาอะไรประมาณนั้น และถามความคิดเห็นของเธอ
พอเจอประเด็นของงาน ซูย้าวก็ให้ความคิดเห็นอย่างไม่มีข้อห้ามเลยสักนิด ทั้งคู่แทบจะมีเนื้อหาที่พูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ
เธอเสนอความคิดเห็นว่าลี่เฉินซีเป็นคนเฉียบขาด ตามความแข็งแกร่งและอนาคตของบริษัทลี่ซื่อแล้ว พัฒนาให้ใหญ่โตและแข็งแกร่งต่อ สำหรับเขาแล้ว แผนการใหญ่โตสำเร็จไม่ใช่เรื่องยากเลย
แต่ที่ซูย้าวรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย นั่นก็คือจู้สือกรุ๊ป
เธอรู้สึกตลอดว่าที่โอวหยางเช่อกับหลินหวั่นหญิงมาในครั้งนี้ ล้วนมุ่งเป้าไปที่บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปบางทีเธออาจจะคิดมากไปแล้วมั้ง!
ลี่เฉินซีก็ค่อนข้างทึ่ง คิดไม่ถึงหลังจากเสียงของเธอฟื้นฟูกลับมาแล้ว ทั้งคู่ก็ยิ่งพูดคุยสะดวกขึ้นแล้ว เวลาสื่อสารขึ้นมาถึงกับรู้ใจกันขนาดนี้
คำพูดที่เธอพูดออกมา ตรงกับสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่พอดี ทุกถ้อยคำ ทุกคำแนะนำ ล้วนตรงกับความคิดของเขา รู้ใจตัวเองขนาดนี้ แม้แต่หานฉ่ายหลิงก็ยังเทียบไม่ติดเลย
ไม่นานรถก็ขับมาถึงจุดหมายปลายทาง
ซูย้าวลงจากรถ ตอนที่เห็นสิ่งก่อสร้างที่โผล่อยู่ตรงหน้าตัวเองถึงกับอึ้งค้างไปเลย
ต่างกับความโรแมนติกของอุทยานดอกไม้ในก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน
เธอมองเขาอย่างอึ้ง “คุณพาฉันมาหาจิตแพทย์?”
ตอนเธอพูดจาก็โกรธเคืองนิดหน่อยแล้ว ราวกับถ้าเขาไม่ให้คำอธิบายที่เพอร์เฟคกับเธอ เธอก็จะหันหลังจากไปเลย
คนปกติ มีหรือที่จู่ๆจะพาภรรยาเก่าตัวเองมาพบจิตแพทย์? นี่ไม่ใช่อยากบอกว่าสภาพจิตใจเธอมีปัญหาเหรอ?
เธอรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่อยู่บนรถคุยกับเขาไปตั้งมากมาย…….
ลี่เฉินซีรู้สึกได้ถึงความโกรธเคืองของเธอ จึงรีบอธิบายว่า “คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้พาคุณมาพบแพทย์ แต่ผมจะพาคุณมารู้จักหมอท่านหนึ่ง!”
ซูย้าวมองเขา และพูดชัดถ้อยชัดคำ “นี่มันมีอะไรแตกต่างคะ?”
“ก็ต้องต่างสิครับ ผมพาคุณมาไม่ใช่เห็นว่าคุณเป็นคนไข้ แต่แค่อยากแนะนำเพื่อนท่านหนึ่งให้คุณรู้จักเฉยๆ!” เขาพูด
“อ๋อ?”
ลี่เฉินซีก็ไม่ให้เธอสงสัยต่ออีก ได้ดึงเธอเข้าไปในนั้นโดยตรง
คอนโดแห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมือง ด้านบนมีป้ายขนาดใหญ่ ถือว่าค่อนข้างสะดุดตา การตกแต่งของด้านในดูสดชื่นและเรียบง่าย สามารถเผยรสนิยมและการอบรมเลี้ยงดูของเจ้าของตึก
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของซูย้าวเลย ถูกผู้ชายบังคับและดึงตัวเข้ามาล้วนๆ เธอมองทุกอย่างของรอบๆแล้วสายตายุ่งเหยิง
คงจะเพราะได้ยินเสียงเดินเข้ามา ในห้องมีคนเดินออกมา
เป็นหญิงวัยกลางคนที่ค่อนข้างอายุเยอะแล้ว การแต่งตัวของเธอค่อนข้างดูระดับ ด้านนอกของเสื้อไหมพรมแคชเมียร์ได้คลุมผ้าคลุมไหล่ไว้ ข้างกายเธอยังมีแมวสีขาวที่อ้วนท้วนสมบูรณ์คอยเดินตามอยู่ข้างกาย
แมวเหมียวบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน ทีหนึ่ง จากนั้นได้โดดขึ้นไปบนโซฟาข้างๆ และยัดตีนแมวน้อยๆไว้พร้อมหลับตาลง
หญิงวัยกลางคนเดินมา ลี่เฉินซีรีบเดินไปทักทาย “น้าชิวครับ!”
“อืม เฉินซีมาแล้วเหรอ ท่านนี้ก็คือ…..ซูย้าวสินะ?” หญิงวัยกลางคนดูออกว่าเป็นเธอ
ซูย้าวอึ้งเล็กน้อย แต่ยังคงพูดอย่างมีมารยาท “ใช่ค่ะ ฉันคือซูย้าวค่ะ แต่คุณน้ารู้จักฉันได้ยังไงคะ?”
“น้ารู้จักเฉินซีมาหลายปีแล้ว ภรรยาเก่าที่เคยมีลูกให้เขาตั้งหลายคน น้าจะไม่รู้ได้ยังไง?” หญิงวัยกลางคนยิ้มและบอกให้ทั้งสองนั่ง
หลังจากต่างก็นั่งลงแล้ว จากก่อนหน้านี้ที่ซูย้าวมีการต่อต้านกับหญิงวัยกลางคนท่านนี้ มาถึงตอนนี้มีความแปลกใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“เธอคงจะเห็นป้ายด้านนอก ก็คิดว่าน้าคือจิตแพทย์ เลยเข้าใจเฉินซีผิดสินะ?” ผู้หญิงวัยกลางคนเข้าสู่ประเด็น เหมือนมองความคิดของซูย้าวออก
เธออึ้งค้าง เห็นได้ชัดว่าเก้อเขินทำอะไรไม่ถูก “เอิ่ม……”
“ที่จริง น้าไม่ได้เป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตใจตั้งนานแล้ว ที่ด้านนอกยังแขวนป้ายอยู่ ก็เพราะว่าลูกศิษย์ของน้า”
ซูย้าวสงสัย “ลูกศิษย์ของคุณน้า?”
“ใช่ น้ามีลูกศิษย์คนหนึ่ง หลายวันนี้เธอไปทำธุระที่เมืองD ปกติเธอพักอยู่กับน้า เวลามีคนไข้เข้ามา ล้วนเป็นเธอที่คอยต้อนรับคนไข้” หญิงวัยกลางคนอธิบาย
ซูย้าวเข้าใจแล้ว
ลี่เฉินซีพูดต่อว่า “ผมรู้จักน้าชิวสมัยเข้ามหาลัย คุณน้าเคยเป็นจิตแพทย์ เป็นด๊อกเตอร์ที่มีหลายสาขาวิชาชีพ ตอนนี้มีโรงพยาบาลและมหาลัยอยากจ้างด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว แต่คุณน้าไม่ยอมไปจากที่นี่สักที ก็เลยปฏิเสธไปครับ”
“เสียมารยาทกับน้าชิวแล้วค่ะ!” ซูย้าวยิ้มอ่อนๆ มีความเกรงใจและเคารพนอบน้อมเพิ่มมากขึ้น
หญิงวัยกลางคนกลับพูดว่า “แนะนำเยอะขนาดนั้นทำไม? นั่นมันเรื่องในอดีตแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว!”
พอแนะนำเสร็จ คำพูดที่เกรงใจก็พูดมาบ้างแล้ว ก็ควรจะเข้าสู่ประเด็นหลักแล้ว
หญิงวัยกลางคนมองซูย้าวแล้วพูดโดยตรงว่า “เฉินซีได้เล่าเรื่องของเธอให้น้าฟังแล้ว น้าเป็นคนให้เขาหาเวลาว่างพาเธอมาเอง น้าคิดว่าเจอหน้ากันสักครั้งจะดีกว่า ที่จริง หลายปีก่อนตอนที่เธอยังเป็นภรรยาของเฉินซี น้าก็ควรจะเจอเธอหน่อยแล้ว”
“เอ่อ….” ซูย้าวทำอะไรไม่ถูก สีหน้าที่สับสนถูกคนข้างกายสังเกตเห็น มือใหญ่นุ่มนวลของลี่เฉินซีกุมมือของเธอไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
หญิงวัยกลางคนสังเกตเห็นท่าทางเล็กน้อยของทั้งคู่ แววตามีรอยยิ้มแวบผ่านแล้วพูดต่อว่า “น้าแปลกใจมากว่าผู้หญิงแบบไหน ที่สามารถทำให้เฉินซีที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็งละลายอย่างสิ้นเชิง แถมยังเต็มอกเต็มใจมีลูกให้เขาด้วย”
“…….”
คงจะเพราะรู้สึกได้ว่าจู่ๆพูดพวกนี้ทำให้ซูย้าวไม่ค่อยคุ้นชิน หญิงวัยกลางคยยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เฉินซีบอกกับน้าว่า ลูกสาวของพวกเธอ ยัยหนูอายุห้าขวบจู่ๆก็ไม่พูดไม่จา เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?”
ซูย้าวพยักหน้า “จริงอย่างที่คุณน้าพูดค่ะ จู่ๆซีซีลูกสาวฉันก็ไม่พูดจาจริงๆค่ะ”
หญิงวัยกลางคนพูดว่า “ไหนเธอลองเล่ารายละเอียดให้น้าฟังสักรอบซิ!”
“คืออย่างนี้ค่ะ…….”
เธอเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในสองปีก่อนให้หญิงวัยกลางคนฟังอย่างละเอียดยิบ
ที่จริง ในใจของซูย้าวยังคงต่อต้านจิตแพทย์อยู่ โดยเฉพาะพอนึกถึงจิตแพทย์ทั้งหลายที่จ้างมาให้ซีซีในก่อนหน้านั้น ทุกท่านล้วนเป็นจิตแพทย์ที่หลินโม่ป่ายหามานานมาก ชื่อเสียงและการตอบรับล้วนไม่ต้องพูดถึง แต่ทำการรักษาไม่ถึงสองครั้ง ต่างก็ทยอยกันปฏิเสธที่จะทำการรักษาต่อ ราวกับเห็นซีซีเป็นน้ำเหนือและสัตว์ร้าย
ดังนั้นครั้งนี้ ตอนที่ลงจากรถเห็นป้ายปรึกษาจิตแพทย์ขนาดใหญ่ของด้านนอก อารมณ์ที่ต่อต้านได้ผุดขึ้นมาจากในใจเธอทันที
แต่พอนั่งลงมา มองหญิงวัยกลางคนท่านนี้แล้วก็รู้สึกค่อนข้างสนิทใจอย่างไร้สาเหตุ ก็พูดทุกอย่างออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเลย
บางที นี่ก็คือวาสนาสินะ!
…….
ร้านอาหารตะวันตกในใจกลางเมือง โม่หว่านหว่านกำลังเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารอร่อยกับเตียวเตียวอยู่ มองดูหน้าของเด็กที่กำลังทานสเต๊กอย่างตั้งใจและทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ช่างน่ารักจริงๆ
โม่หว่านหว่านเอามือท้าวคาง และจับตามองเตียวเตียวไว้ “เตียวเตียว นายว่าน้าดีกับนายมั้ย?”
“คุณน้าหมายถึงน้าซูเหรอครับ? ก็ต้องดีอยู่แล้วครับ!” เตียวเตียวแกล้งตอบไม่ตรงคำถาม
โม่หว่านหว่านพูดแก้ไขให้ถูกต้อง “น้าหมายถึงตัวน้าเอง น้าดีกับนายมั้ย?”
“น้าโม่เหรอครับ……”
ฟังเสียงลากยาวของเด็กแล้ว โม่หว่านหว่านหรี่ตาและยื่นมือยกจานอาหารของเตียวเตียวไป มองสีหน้าท่าทางที่อยากได้คืนของเขาแล้วเค้นถามว่า “ดี หรือว่าไม่ดี?”
เตียวเตียวรีบพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ดีครับๆ คุณน้าโม่ดีมากเลยครับ!”
โม่หว่านหว่านยิ้ม จากนั้นก็ได้คืนจานให้เขา
“จะให้ผมทำช่วยน้าทำเรื่องอะไรกันแน่? น้าพูดมาตรงๆเถอะครับ!” จู่ๆเตียวเตียวทำท่าเหมือนแก่แดด คำพูดที่จริงจังทำให้คนตะลึงจริงๆ
โม่หว่านหว่านเองก็ตะลึงจนตาค้าง “นาย…..”
“คุณน้าบอกมาเถอะครับ ขอแค่ผมสามารถทำได้ ก็จะพยายามช่วยคุณน้าอย่างสุดความสามารถครับ!” เตียวเตียวพูดอย่างจริงจัง
โม่หว่านหว่านอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูก “ฉันโตป่านนี้แล้ว จะมีเรื่องให้นายช่วยได้ยังไง? นายอย่าเข้าใจผิดไปมั่วนะ!”
“ครับ!”
เตียวเตียวพยักหน้า จากนั้นได้ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทานข้าวต่อทันที
มองดูเด็กทานไวมาก ผ่านไปครู่หนึ่ง เตียวเตียวก็อิ่มแล้ว เขาเช็ดปากเสร็จก็ได้พูดว่า “น้าโม่ ผมอิ่มแล้วครับ เรากลับโรงเรียนเถอะครับ!”
โม่หว่านหว่านสูดหายใจลึกๆอย่างจนปัญญา ได้แต่พูดว่า “เอ่อคือ…..น้ามีเรื่องจะขอร้องนายจริงๆ ก็มีแค่นายเท่านั้นที่สามารถช่วยน้าได้ โอเคมั้ย?”
“ไหนลองพูดมาสิครับ!”