เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 406
หลังจากส่งซูย้าวไปแล้ว โม่หว่านหว่านก็คอยกล่อมเด็กสองคน และส่งพวกเขาไปโรงเรียน
มองซีซีและเตียวเตียวที่สะพายกระเป๋าไว้ พูดทักทายกับคุณครูแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล ใบหน้าของโม่หว่านหว่านเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส
แม้แต่คุณครูอนุบาลก็ยังพูดว่า “คุณโม่นี่ดีกับเด็กสองคนนี้ยิ่งกว่าแม่แท้ๆเสียอีกนะคะ!”
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของเด็กๆล่ะคะ?” โม่หว่านหว่านยิ้ม
เธอเห็นซีซีโตมาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่จะไม่เอ็นดูเด็กคนนี้?
ส่วนเตียวเตียว เธอเห็นใจอดีตของเด็กคนนี้ ในเมื่อซูย้าวตัดสินใจอย่างเฉียบขาดว่ารับเลี้ยง งั้นเธอก็จะสนับสนุนซูย้าวอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ไม่ว่ายังไง คุณซูสามารถมีเพื่อนอย่างคุณนี่ดีจังเลยค่ะ!” ครูอนุบาลก็ยังชื่นชม
โม่หว่านหว่านพูดถ่อมตนด้วยมารยาทไปครู่หนึ่ง ถึงโบกมืออำลากับคุณครู
ต่างก็บอกว่าโม่หว่านหว่านดีกับซูย้าว เหมือนพี่น้องที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ตอนนั้นพอซูย้าวหย่าร้าง เธอยอมที่จะละทิ้งงานในประเทศและไปต่างประเทศกับซูย้าว
ไปทีก็ห้าปีเลย
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าซูย้าวก็ดีกับเธอมากทุกอย่างของสมัยเด็ก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสมัยเรียน โม่หว่านหว่านไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ชีวิตนี้สามารถเจอเพื่อนที่จริงใจสักคนสองคน ก็ดีมากไม่ใช่เหรอ?
เพื่อนสนิทคำนี้ ต่างก็บอกว่ากันไฟกันโจรก็ต้องกันเพื่อนไว้ก่อน
แต่เธอกับซูย้าวไม่อยากเป็นเพื่อนจอมปลอมที่หน้าไหว้หลังหลอก ถ้าจะเป็นก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริงๆ
ถึงไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลย แต่แนวโน้มของวาสนาและคบกันมานานขนาดนี้ การผูกมัดต่างๆ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้น
ในหัวคิดฟุ้งซ่านไปพักหนึ่ง พอตื่นตัวแล้วพบว่ารถได้ขับมาถึงโรงพยาบาลในเขตแล้ว
วันก่อนเธอได้มายื่นเรื่องขอตรวจDNAไว้ คาดว่าผลคงออกมาแล้ว
โม่หว่านหว่านเดินอยู่ที่ริมทางเดิน สภาพจิตใจขึ้นๆลงๆในชั่วขณะหนึ่งจริงๆ เธอสูดหายใจลึกๆทีหนึ่ง ถึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ยื่นใบเสร็จที่ช่องยื่นบิล
ผ่านไปสักพัก พยาบาลหาผลตรวจเจอแล้วยื่นให้กับเธอ
ถือผลตรวจไว้ในมืออย่างกระวนกระวายใจ สายตาค่อยๆเคลื่อนย้ายลงมาที่ผลตรวจตรงบรรทัดด้านล่างสุด มองตัวเลขที่แสดงอยู่ในนั้นแล้ว สีหน้าแววตาของโม่หว่านหว่านอึ้งค้างไว้
ไม่คิดเลยว่า……
เป็นเหมือนที่คิดจริงๆ!
ชาร์ลีคือลูกที่ซูย้าวคลอดในตอนนั้นจริงๆ เป็นพี่น้องแท้ๆกับซีซี และมีพ่อคนเดียวกันกับแม่คนเดียวกันกับซีซี
หานฉ่ายหลิงผู้หญิงคนนี้ ห้าปีก่อนขโมยลูกในไส้ของซูย้าวไป และมาปลอมเป็นลูกของตัวเอง คอยอยู่ข้างกายลี่เฉินซีอย่างกับปาท่องโก๋ทั้งวัน แม้แต่ฝันเขายังคิดไม่ถึงเลยว่าชาร์ลีก็คือลูกในไส้ของตัวเอง!
ทั้งๆที่เป็นพ่อลูกกัน แต่กลับยากที่จะรับรู้ เกรงว่าถ้าวันไหนรู้ตัวขึ้นมา คงจะกลายเป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลกเลย!
โม่หว่านหว่านค่อยๆกุมมือแน่น จากนั้นพับผลตรวจอย่างระมัดระวัง และสอดเข้าไปที่ชั้นในสุดของกระเป๋าตังค์
ตอนนี้เธอยังบอกข่าวนี้ให้ซูย้าวรู้ไม่ได้
ถึงแม้หาลูกเจอแล้ว แต่หานฉ่ายหลิงไม่มีทางยกเด็กให้ง่ายๆหรอก จะต้องคิดหาวิธีก่อน……
ทางโรงเรียนอนุบาล
เรียนภาษาอังกฤษจบไปคาบหนึ่ง เด็กนักเรียนทั้งหมดถูกคุณครูพาไปทำกิจกรรมที่สนามกีฬา
คุณครูมองซีซีที่ดูไม่มีความสุข เลยเดินไปลูบผมยาวดกดำเงางามของเด็กผู้หญิง “ซีซี ภาษาอังกฤษของหนูดีขนาดนี้ ถ้าสามารถอ่านออกมาก็จะยิ่งดีเลย!”
ซีซีมองหน้าคุณครูแล้วกะพริบตาปริบๆ
ที่จริง ทุกอย่างที่เรียนอยู่ในคาบเรียนอังกฤษของตอนนี้ ซีซีเป็นตั้งนานแล้ว แปลภาษา สะกดการอ่าน สะกดการเขียนเธอล้วนเป็นหมด รวมทั้งภาษาพูดด้วย
แต่เธอแค่ไม่อยากพูด
และที่ภาษาอังกฤษของเตียวเตียวสามารถก้าวกระโดดขนาดนี้ ก็มีซีซีคอยสอนเป็นการส่วนตัว
เพราะซีซีเติบโตที่อเมริกา ตอนที่เพิ่งพูดจาเป็น เลยได้ภาษาอังกฤษและภาษาจีน
“แต่ว่า ครูเห็นวันนี้ซีซีอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย เพราะอะไรคะ?” คุณครูคอยสอบถาม
ซีซียังคงไม่พูดอีกเช่นเคย แต่ดูจากแววตาแล้วสามารถดูออกว่าอารมณ์ของเธอย่ำแย่สุดๆ เต็มไปด้วยพลังด้านลบ หน้าตาเหี่ยวฉาวไม่มีชีวิตชีวา
เตียวเตียววิ่งมาอย่างห้ามใจไม่ได้ พร้อมทั้งอธิบายว่า “คุณครูครับ เพราะคุณน้าไปทำงานต่างถิ่น ซีซีเลยอารมณ์ไม่ดีครับ!”
“แบบนี้นี่เอง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ซีซี หนูต้องเข้าใจคุณแม่ของหนูนะคะ ที่คุณแม่ของหนูทำงานก็เพื่อพวกหนูนะคะ!” คุณครูอ่อนโยนมาก คอยกล่อมซีซีไปหลายคำ
จนกระทั่งอารมณ์ของซีซีผ่อนคลายลงมาได้บ้าง แต่จู่ๆเตียวเตียวก็มองชาร์ลีที่เล่นอยู่ทางฝั่งโน้น ทันใดนั้นเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ได้ดึงมือของคุณครูแล้วถามว่า “ครูครับ! ครูว่าจู่ๆมีคนอยากได้เส้นผมของเด็กคนหนึ่ง คือเพราะอะไรครับ?”
“เส้นผม?” คุณครูก็อึ้งค้างในทันที
เตียวเตียวพยักหน้า “ใช่ครับ! เส้นผมครับ อีกอย่างยังเจาะว่าจงเอาแค่เส้นผมของเด็กคนเดียว คือจะเอาไปทำอะไรครับ?”
“เอ่อ……”
คุณครูนึกถึงหนังซอมบี้ที่ดูเมื่อครู่ด้วยจิตใต้สำนึก หรือว่าจะเป็นการขับไล่ปีศาจ?
ไม่ใช่มั้ง! อันนั้นคือหนัง อันนี้คือความจริง ตลกเกินไปแล้ว!
เธอคิดๆแล้วได้นั่งลงมาอธิบายให้เตียวเตียว “อันนี้ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทำไมจู่ๆเตียวเตียวถึงได้ถามคำถามนี้ครับ?”
“ผม……” ในหัวของเตียวเตียวนึกถึงคำสั่งการของโม่หว่านหว่าน ห้ามบอกเรื่องที่เธอเอาเส้นผมของชาร์ลีให้ใครฟังเด็ดขาด เจ้าตัวแสบคิดๆแล้วก็ได้บอกว่า “ผมดูจากในหนังครับ!”
คุณครูยิ้ม เป็นแบบนี้จริงๆด้วย
ถึงแม้วาทกรรมของเด็กไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย แต่ไม่มีหัวไม่มีหาง ครูย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว
เรื่องนี้ก็เลยจบไปอย่างค้างคา
……….
หลายวันนี้ ทางฝั่งของกรุ๊ปหลินมีเรื่องมากมาย หลินจิ้งซูเหนื่อยใจจริงๆ
เกรงว่าคุณท่านคงจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสิ้นปีนี้แล้ว ทางบริษัทกำลังหารือวางแผนเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการคนต่อไปของวันข้างหน้า คณะกรรมการทั้งหลายต่างก็แอบวางแผนอยู่ในใจ ญาติๆของตระกูลก็คอยจ้องอย่างดุร้าย ใช้หุ้นส่วนของบริษัทแสดงพลังกับสองหลินจิ้งซูและน้องชาย ทำให้ลำบากใจสารพัดอย่าง
หลินโม่ป่ายส่งซูย้าวไปสนามบินกลับมา พอเข้าบ้านปุ๊บ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะที่ดังมาจากชั้นบน
เขาจะก้าวเท้าขึ้นไปชั้นบน พ่อบ้านกลับส่ายหัวให้เขา ส่งสัญญาณให้เขาอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม
หลินโม่ป่ายพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายได้ขึ้นมาถึงหน้าห้องอ่านหนังสือของชั้นบน
“จิ้งซู ใช่ว่าพวกเราไม่มีเหตุผลนะ เธอดูสิ ธุรกิจของตระกูลหลินใหญ่โตขนาดนี้ เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อไปช้าเร็วก็ต้องแต่งงาน! กรุ๊ปหลินนี้จะยกให้คนอื่นโดยไม่มีสาเหตุและไม่มีเหตุผลไม่ได้มั้ง!”
หยุดไปครู่หนึ่ง ข้างๆก็มีเสียงของคนอื่นดังมาอีก “ถึงแม้ตระกูลหลินก็ไม่ได้มีเธอคนเดียว ยังมีโม่ป่ายอยู่ เขาเป็นน้องชายของเธอ เธอน่าจะรู้จักเขาดีกว่าพวกเราอยู่มั้ง? เขาเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าก็จะสามารถเป็นเถ้าแก่ที่ดีได้!”
“ก็นั่นน่ะสิ โม่ป่ายเด็กคนนี้จิตใจดีตั้งแต่เด็ก คิดแค่อยากรักษาคนป่วยและช่วยชีวิตคน แต่ไม่เคยคิดว่าจะทำธุรกิจหาเงินยังไงเลย กรุ๊ปหลินคือธุรกิจ ไม่ใช่มูลนิธินะ!”
“อาศัยตอนที่ทุกคนยังสามารถพูดคุยกันดีๆ เข้าใจสถานการณ์ให้เป็นด้วย เธอกับโม่ป่ายสละสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่ง อย่างอื่น พวกเราที่เป็นอาวุโสก็ย่อมไม่ให้พวกเธอเสียเปรียบอยู่แล้ว!”
หลินจิ้งซูรู้สึกเอือมระอากับคำพูดเหล่านี้ คำโต้แย้งแต่ละคำ สุดท้ายตอนที่คุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ เธอได้ไล่พวกเขาออกไปโดยตรง
เธอไล่มาถึงนอกประตูด้วยความโกรธ จ้องพวกญาติๆที่ทยอยกันขึ้นรถและพูดฟิวส์ขาด “พวกคุณใหญ่มาจากไหน? กรุ๊ปหลินเป็นธุรกิจของตระกูลหลิน มีหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงของตระกูลหลินอยู่หลายรุ่น ถึงฉันตายก็จะไม่ยกกรุ๊ปหลินให้พวกคุณเด็ดขาด!”
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หลินโม่ป่ายได้เดินมาที่ตรงหน้าของหลินจิ้งซู
พอญาติทั้งหลายจากไป ในบ้านเหลือแค่พ่อบ้านที่แก่ชราและแม่บ้าน หลินจิ้งซูมองหน้าเขา จากนั้นได้ยกมือขึ้นมาตบไปทีหนึ่ง
เสียงที่ดังก้อง สะเทือนจิตใจ
พ่อบ้านรีบก้าวไปข้างหน้า “นี่คุณหนูใหญ่เป็นอะไรไปครับ? ลงมือไม่ได้นะครับ!”
“ก็นั่นน่ะสิคะ ตอนนี้ตระกูลหลินเหลือแค่พวกคุณสองพี่น้องแล้ว เวลานี้ พวกคุณต้องผูกเป็นเชือกเส้นเดียวกัน จะใช้อารมณ์ไม่ได้นะคะ!” แม่บ้านก็เข้ามาเกลี้ยกล่อม
หลินโม่ป่ายกลับไม่ขยับ ยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆและมองหน้าพี่สาวไว้ “หายโกรธหรือยัง?”
“เพราะฝีมือนายคนเดียว! เพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้นคลี่คลายสถานการณ์ นายถึงกับหุ้นยก30%ของหลินกรุ๊ปให้กับอาสาม! นาย……”
หลินจิ้งซูโกรธสุดๆ เธอได้ยกมือขึ้นมาตบเขาอีกที “เพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว นายยอมทิ้งฐานะคุณชายใหญ่ของกรุ๊ปหลิน ไม่คำหนึ่งถึงธุรกิจของตระกูล ไม่คำหนึ่งถึงพ่อ และไม่คำหนึ่งถึงพี่! ได้ละทิ้งทั้งตระกูลไป ตอนนี้ยังจะกลับมาอีกทำไม? ไปมั่วสุมกับซูย้าวคนนั้นต่อเลยสิ!”