เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 412
ข้างในเรือที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องทะเลนั้น ทั้งซูย้าวและอานซินเออร์ต่างมีสภาพเหมือนกันนั่นคือกุญแจมือถูกผูกติดกับเครื่องทำความร้อนไว้ จนขยับตัวไม่ได้
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่ขยับไม่ได้ แต่ขยับได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนี้ไปนานๆ ก็จะไม่สบายเอามากๆ
ที่สำคัญ เรือลำนี้ก็แล่นมานานแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเทียบท่าลงจอดเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าพวก‘โจร’ที่ว่านี้ ตกลงมีเป้าหมายอะไรกันแน่
“คุณว่า ถ้าอยู่ๆ พวกเขาก็กระโดดเรือจากไปกลางทาง แล้วเหลือแต่พวกเราไว้ พวกเราจะทำยังไงดี?” อยู่ๆ ซูย้าวก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา
อานซินเออร์ลองขยับกุญแจมือที่อยู่บนข้อมือของตัวเองเล็กน้อย แล้วสีหน้าก็ตกตะลึง แล้วก็ส่งสัญญาณให้ซูย้าวรีบดึงดันสกรูที่เริ่มหลวมแล้วให้ออก ส่วนทางด้านตัวเองนั้นก็ร้องด่าตะโกนสุดเสียงไป
เธอร้องตะโกนมานานมาก จนเหมือนกับว่าคอได้แหบไปแล้ว
คนที่อยู่ข้างนอก เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจอะไรเลย แม้แต่จะเข้ามาสอบถามสักนิดก็ยังไม่มีเลย
ทำให้ซูย้าวมีความคาดเดาขึ้นมาอย่างหนึ่งจริงๆ ว่าคนข้างนอก ได้กระโดดเรือหนีไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า?
จะมาสนใจมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี จนในที่สุดก็สามารถดึงสกรูหลุดออกมาได้ อีกด้านหนึ่งของกุญแจมือลอดผ่านท่อเครื่องทำความร้อนมา จนสามารถสลัดหลุดออกมาได้โดยตรง
ถือได้ว่าสามารถปลดปล่อยมือทั้งคู่ออกมาได้ชั่วคราว
ทางด้านอานซินเออร์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ทั้งสองคนค่อนข้างโชคดี แต่ว่าในเวลานี้ ที่ข้างนอกกลับมีเสียงฝีเท้าดังลอยมา แล้วเหมือนกับว่าจะมีคนเดินเข้ามา!
ซูย้าวและอานซินเออร์ตื่นตกใจขึ้นมา แล้วก็ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดรีบเอาอีกข้างหนึ่งของกุญแจมือไปคล้องกลับไปในท่อทำความร้อนใหม่ แล้วก็ยัดสกรูกลับไปตามเดิม……
ประตูห้องเก็บของเรือถูกผลักออก
ก็ยังเป็นผู้ชายคนก่อนหน้านี้เดินเข้ามา ครั้งนี้ในมือของเขาถือถุงพลาสติกเล็กๆ ไว้อันหนึ่ง หลังจากที่เปิดออกแล้วก็โยนขวดน้ำเปล่าออกมาสองขวดและขนมปังสองอัน จากนั้นก็ใช้เท้าเตะมาตรงหน้าทั้งสองคนอย่างลวกๆ
“กินซะ! กินอิ่มแล้วถึงจะมีแรงตะโกนต่อ!”
ชายหนุ่มหึเสียงเย็นทีหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
ตามหลังประตูห้องเก็บของเรือปิดลง ทั้งซูย้าวและอานซินเออร์ถึงค่อยโล่งอกไปได้ทีหนึ่ง ยังดีที่ไม่ได้โดนจับได้ แล้วทั้งสองคนก็ดึงกุญแจมือออกมาอีกครั้ง กุญแจมือยังคงอยู่บนข้อมือ เพียงแต่ว่าห้อยต่องแต่งอยู่ แต่ก็ไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวอย่างอิสระแล้ว
ซูย้าวหยิบขวดน้ำเปล่ามา แล้วบิดฝาขวดออกแล้วยื่นกับอานซินเออร์ “ดื่มน้ำหน่อยเถอะ!”
อานซินเออร์เหล่มองขวดน้ำเปล่าทีหนึ่ง แล้วก็หัวเราะขึ้นคำหนึ่ง และไม่ได้ยื่นมือออกมา แต่กลับพูดตรงๆ ขึ้นว่า “น้ำแบบนี้เหรอ? ปกติฉันดื่มขวดละเป็นร้อย นี่มันอะไร?”
“……”
ซูย้าวไม่ได้สนใจเธอ แล้วก็ขี้เกียจโต้แย้ง ตัวเองจึงดื่มไปเลยครึ่งขวด จากนั้นก็หยิบขนมปังบนพื้นขึ้นมาอันหนึ่ง พอฉีกซองออก แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองอานซินเออร์ทีหนึ่ง บนใบหน้าของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่ามีปฏิกิริยาว่าไม่กิน ซูย้าวเองก็ไม่ได้เกรงใจอีก แล้วก็กินเองขึ้นมา
อานซินเออร์นั่งดูอยู่อีกข้างหนึ่งอยู่ตลอด หลังจากที่จ้องมองเธอดื่มน้ำหมดไปขวดหนึ่ง และกินขนมปังไปอันหนึ่งแล้ว ถึงพูดขึ้นว่า “ซูย้าว ฉันได้ยินมาว่าคุณเองก็เกิดมาในตระกูลผู้ดี แล้วก็เป็นคุณหนูคนหนหนึ่ง ทำไมถึงได้อะไรก็กินลงได้ล่ะ?”
“……”
คำพูดและน้ำเสียงแบบนี้ เต็มไปด้วยความดูถูกและความสงสัย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้เห็นนิสัยที่กล้ารักกล้าเกลียดของอานซินเออร์แบบนั้น ยังถือได้ว่าไม่เลวแล้วละก็ ซูย้าวอยากจะพูดตอกกลับไปสักสองคำให้เธอจุกอกตายไปจริงๆ!
“เอ่อ……”
อานซินเออร์เห็นว่าเธอไม่สนใจตัวเอง ก็ช่างมันไปเถอะ แต่ว่าพอโดนขังอยู่นานแล้วแบบนี้ เธอเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว แล้วก็ลูบท้องขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กัดริมฝีปากไว้เล็กน้อย แล้วสายตาก็มองไปที่ขนมปังและน้ำเปล่าขวดนั้นอย่างคาดหวัง
แต่ก็ยังวางศักดิ์ศรีของตัวเองลงไม่ได้ และไม่ได้แตะต้องเลยสักคำ
ซูย้าวถอนหายใจเบาๆ อยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง “คุณอาน ฉันรู้ว่าคุณเป็นดาราดัง แล้วก็เป็นคุณหนูของอานซื่อ คุณเป็นคุณหนูตระกูลผู้ลากมากดี แต่ว่าอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ยังไงคุณก็กินสักคำสองคำดีกว่า จะได้มีเรี่ยวแรงไว้บ้าง!”
“ฉัน……” อานซินเออร์เม้มปากขึ้นอย่างตะขิดตะขวงใจ “ช่างเถอะ ฉันจะถือซะว่าลดน้ำหนักละกัน! ในเมื่อปกติแล้วฉันก็กินแค่วันละมื้อเท่านั้น แล้วก็ยังกินแค่พวกผลไม้และนมเปรี้ยวเท่านั้น……”
คิดแล้วการเป็นดาราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน เพื่อที่จะรักษารูปร่างที่ผอมบางและให้มีภาพลักษณ์ที่สวยงามในกล้องแล้ว จะต้องควบคุมอาหารและออกกำลังในรูปแบบต่างๆ ทุกวัน ดูลำบากมากจริงๆ
ซูย้าวไม่มีอารมณ์มาคิดเรื่องพวกนี้ที่นี่ เธอค่อยๆ ลุกขึ้น และเดินไปใกล้ๆ ประตู แล้วค่อยๆ แตะที่ประตูทีหนึ่ง แล้วพบว่าประตูไม่ได้ล็อกจากข้างนอก
เธอค่อยๆ ผลักประตูแง้มออกเล็กน้อย และลองตรวจเช็กข้างนอกดูเล็กน้อย
ข้างนอกเป็นเพียงระเบียงทางเดินเล็กๆ ทางหนึ่ง และไม่เห็นใครเคลื่อนไหวอยู่
ยืนฟังอยู่ตรงนี้ไปครู่หนึ่ง ข้างนอกนั้นเงียบมาก และไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เงียบจนเหมือนกับว่าเรือทั้งลำนี้นอกจากพวกเธอสองคนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก
หลังจากที่ตรวจเช็กอย่างระมัดระวังอยู่นาน ซูย้าวก็กวักมือให้อานซินเออร์เล็กน้อย
อานซินเออร์รีบเดินเบามือเบาเท้ามาถึงข้างตัวเธอ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เธอจึงรีบถอดรองเท้าส้นสูงออก และเดินเท้าเปล่าเหยียบลงบนพื้นไม้ของห้องเก็บของเรือ
ทั้งสองคนเดินอย่างเบามือเบาเท้าออกไปจากห้องเก็บของเรือ อานซินเออร์ตามอยู่ข้างหลังซูย้าว ทั้งสองคนพบไม้ท่อนหนึ่งที่ระเบียงทางเดิน ไม่ได้ถือว่าใหญ่ และก็ไม่ได้ถือว่ายาวมาก หยิบขึ้นมาวิเคราะห์ดูสักหน่อยแล้ว ก็เอาเป็นอาวุธคุ้มกายที่ดีได้ชิ้นหนึ่งเลย
ซูย้าวเอาไม้กระบองให้กับอานซินเออร์ถือไว้ จากนั้นก็สังเกตที่นอกห้องเก็บของเรือ ชายหนุ่มคนก่อนหน้านี้กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่ากำลังเล่นโทรศัพท์อะไรพวกนั้นอยู่ ซึ่งดูจดจ่อมาก และไม่ได้สังเกตเห็นถึงเหตุการณ์ทางฝั่งนี้
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ รอจนตอนที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นแล้ว และกำลังจะลุกขึ้นมาใช้กำลังกับทั้งสองคนนั้น อยู่ๆ อานซินเออร์ก็หูตาว่องไวขึ้นมา แล้วก็หวดไม้ลงไปบนหัวของชายหนุ่มทีหนึ่งพอดี
ชายหนุ่มโดนหวดไปอย่างแรงทีหนึ่ง รู้สึกแต่เพียงว่าเวียนหัวตาลาย ร่างกายโซเซ แล้วโยกไปเอนมา
อานซินเออร์รอโอกาสให้เหมาะ แล้วก็หวดลงที่ท้ายทอยของชายหนุ่มอย่างแรงอีกหลายครั้ง
ในทีวีชอบแสดงว่าหวดตรงท้ายทอยคนทีเดียว คนก็จะสลบไปเลย
ที่จริงแล้วหลอกคนกันทั้งนั้น
จะไปสลบได้ง่ายๆ แบบนั้นที่ไหนกัน?
โดยเฉพาะผู้ชายที่ร่างกายแข็งแกร่งอย่างตรงหน้านี้ แต่ว่าเมื่อหวดลงไปหลายทีแล้ว ร่างกายของชายหนุ่มก็ยืนไม่ตรง และหัวสมองก็เริ่มเบลอซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ซูย้าวที่อยู่อีกข้างหนึ่งกลับท่วงท่าว่องไวรีบใช้แรงผลักชายหนุ่มทีหนึ่ง ทางด้านโน้นกำลังเป็นราวกั้นพอดี ชายหนุ่มที่ยืนไม่มั่นคง จึงเอียงตกไปจากเรือไปเลย
อยู่ๆ ก็ตกน้ำ ทำให้หัวสมองของชายหนุ่มตื่นเต็มตัวขึ้นมาทันที และตะเกียกตะกายอยากจะปีนขึ้นเรืออีก แต่อานซินเออร์ที่ยืนอยู่ข้างในราว กลับเอาไม้ฟาดจากบนลงล่างไปที่หัวของชายหนุ่มที่ตกน้ำอีกครั้ง และก็ได้ตัดขาดความคิดที่อยากจะปีนขึ้นเรือของชายหนุ่มไปเลย
พอจัดการชายหนุ่มไปได้ชั่วคราว ซูย้าวก็ลองตรวจเช็กเรือเล็กทั้งลำดู เพื่อให้มั่นใจว่ายังจะมีโจรคนอื่นอยู่อีกไหม
เรือลำนี้ดูไปแล้วผุๆ พังๆ แต่กลับเป็นเรือที่ปรับแต่งใหม่ให้ดีขึ้นแล้วลำหนึ่ง และได้ใส่เครื่องยนต์แรงสูงมาแล้ว เพราะฉะนั้นความเร็วของการเดินเรือนั้นก็ยังเร็วมาก
ถ้าชายหนุ่มคนที่ตกน้ำ แค่จะเพิ่งการว่ายน้ำอย่างเดียวละก็ ไม่มีทางที่จะตามทันแน่
ซูย้าวลองตรวจเช็กมุมอื่นๆ อีกที หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงได้โล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
ทั้งสองคนยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ แล้วมองไปที่ทิศทางที่ชายหนุ่มคนก่อนหน้าตกน้ำไป “ทะเลที่กว้างใหญ่แบบนี้ เขาจะได้รับการช่วยเหลือไหม?”
“ใช่ คงจะไม่มีใครมาตายอีกนะ!” อานซินเออร์เองก็เป็นกังวลขึ้นมา
ซูย้าวสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง “เฮ้อ ก็ต้องโทษเขาเอง ใครใช้ให้ไม่มีเรื่องอะไรก็มาจับตัวพวกเราล่ะ? ในเมื่อทำงานสายนี้ ก็จะต้องแบกรับความเสี่ยงให้ได้!”
“ใช่! ถูกต้อง ถึงจะตายไป ก็ถือได้ว่าสมน้ำหน้าแล้ว แม้แต่สู้กับผู้หญิงก็ยังสู้ไม่ไหว สมน้ำหน้า!”อานซินเออร์เปลี่ยนอารมณ์ไปทันที และมองซูย้าวอย่างอารมณ์ดี “พวกเราจัดการกับโจรได้คนหนึ่ง และยังหนีรอดมาได้สำเร็จด้วย!”
ซูย้าวยิ้มทีหนึ่ง “ห่างจากหนีรอดยังเร็วเกินไป เรือลำนี้จะไปไหนยังไม่รู้เลย ต้องรอให้เทียบท่าก่อน ถึงจะถือได้ว่าหนีรอด!”
“ขับไปข้างหน้าก็พอแล้ว!” อานซินเออร์พูดขึ้น
ทั้งสองคนพูดคุยกันไป ซูย้าวก็เข้าไปที่ที่นั่งคนขับ เรือลำนี้ดูไปแล้วค่อนข้างเก่า แต่ว่าที่นั่งคนขับกลับเป็นสิ่งที่ปรับแต่งขึ้นมาใหม่มาก และยังเปิดระบบขับเรืออัตโนมัติไว้มาแล้ว ข้างบนยังมีเข็มทิศ สามารถรู้ทิศทางได้ และยังมีระบบตำแหน่งดาวเทียมและระบบนำทางGPRSที่ใหม่ที่สุดด้วย สามารถแน่ใจได้ว่า รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะสามารถแล่นไปถึงเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งได้
ขอแค่ให้สามารถขึ้นฝั่งได้แล้ว ก็จะสามารถคิดหาวิธีกลับเมืองAได้ และก็จะสามารถบอกลากับอันตรายในครั้งนี้ได้สักที
เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะราบรื่นเกินไป……
ซูย้าวนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็อดไม่ได้ที่เกิดความสงสัยขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เจียงจี้เซิงส่งคนมาจับตัวพวกเธอ แล้วก็ปล่อยให้พวกเธอสองคนหนีรอดออกมาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ นี่ตกลงเขาจะทำอะไรกันแน่?
แปลกจังเลย