เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 451
ขณะที่เครื่องบินร่อนลงอย่างช้าๆ ก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองAนอกบานหน้าต่างเครื่องบินได้อย่างเลือนราง เครื่องบินยังไม่ทันจะลงจอด หัวใจของซูย้าวกลับบินไปอยู่ข้างกายลูกๆแล้ว
ในฐานะของคนที่เป็นแม่ การที่ต้องอยู่ห่างจากลูกทั้งสองคนเป็นเวลานานขนาดนี้ จะไม่เป็นห่วงและคิดถึงเลยนั้นเป็นไปไม่ได้
เมื่อลงจากเครื่องบินแล้ว ลี่เฉินซีก็นำสัมภาระและของขวัญที่เธอนำกลับมาด้วยพวกนั้นใส่รถทั้งหมด พร้อมกับกำชับให้หวางอี้ส่งเธอกลับไป
“ซูย้าว ผมคงไม่ได้ส่งคุณกลับไป…” เขามองเธอราวกับว่ารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ภายใต้สายตาลุ่มลึกนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายเกินไป
เธอมองเขายิ้มๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การกลับไปโรงแรม ให้หวางอี้ไปส่งฉันก็พอแล้ว”
“จำสิ่งที่ผมพูดก่อนหน้านี้เอาไว้ ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ไม่ว่าจะได้ยินสิ่งใดมา หากไม่ใช่ผมยอมรับด้วยตนเองแล้วล้วนอย่าเชื่อ” คำพูดของลี่เฉินซีคล้ายกับมีความหมายซ่อนอยู่ พูดจามีนัย
ซูย้าวเพ่งมองนัยน์ตาลุ่มลึกของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ในชั่วแวบแรกนั้นเธอมองเห็นเพียงแค่ความจริงใจและความกังวลเล็กน้อยในนั้น และไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาที่เป็นแบบนี้ เธอก็ทำอะไรไม่ถูกทันที สุดท้ายหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็เพียงแค่ผงกศีรษะ และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
“มันอาจจะไม่ยุติธรรมต่อคุณในช่วงนี้ไประยะหนึ่ง แต่ว่านะซูย้าว นี่ก็เพื่อพวกเราในภายหลัง คุณแค่ต้องจำเอาไว้ข้อเดียว ไม่ว่าตอนไหนก็ขอให้เชื่อผมก็พอแล้ว!” เขากำชับอีกครั้ง
เธอกลับถูกลี่เฉินซีที่เป็นแบบนี้ทำให้มึนงงอยู่บ้าง นอกจากผงกศีรษะแล้ว ก็ราวกับไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม ลี่เฉินซีเหมือนกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยจริงๆ เขาเอ่ยกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แต่ละประโยคล้วนคล้ายกับว่าครอบคลุมความหมายมากมาย เพียงแต่ยากที่จะเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนได้ในทีเดียว จึงทำได้เพียงแค่พูดส่งเดชเช่นนี้ ส่งผลให้เธอที่เดิมก็ไม่เข้าใจเส้นสนกลในของเรื่องราวนี้อย่างชัดเจนนั้นยิ่งแยกไม่ออกมากกว่าเดิม
เขามองส่งเธอขึ้นรถจากไป จนกระทั่งเห็นว่าเงารถค่อยๆเลือนหายไป ถึงได้กลับไปที่สนามบินกับเสี่ยวหยางอีกครั้ง และสั่งให้นำเครื่องขึ้นบินไปปารีส
มันเวลาวันเดียวใช้ไม่พองั้นแหละ
เพียงแต่เรื่องพวกนี้ซูย้าวไม่ทราบชัดเจนและไม่รู้เรื่องเช่นกัน เธอเพียงแค่กลับไปที่โรงแรมอย่างเร็วสุด หวางอี้ทยอยขนสัมภาระและของขวัญขึ้นไปที่ชั้นบน หลังจากที่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาถึงได้บอกลาและจากไป
ภายในโรงแรมว่างเปล่า ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเลยเช่นกัน ภายในบ้านคล้ายกับว่าไม่มีใครพักอาศัยมาหลายวัน สะอาดเรียบร้อย แต่กลับไม่มีร่องรอยของการใช้ชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้จริงๆว่าช่วงนี้โม่หว่านหว่านเลี้ยงเด็กๆอย่างไรกันแน่…
เมื่อดูเวลาก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาเลิกเรียนโรงเรียนอนุบาลของเด็กๆ เธอจึงอาศัยช่วงเวลาว่างๆนี้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน หลังจากนั้นก็นั่งเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องซื้ออีกหลายรายการ
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเครื่องปรุงและผลไม้ ถึงอย่างไรเธอก็กลับมาแล้ว การดูแลเด็กสองคนในเรื่องอาหารการกิน ทำอาหารด้วยตนเองค่อนข้างจะดีกว่า
เมื่อใกล้จะถึงเวลาเลิกเรียน เธอก็พูดคุยโทรศัพท์กับโม่หว่านหว่านไป พลางขับรถไปยังโรงเรียนอนุบาลของเด็กๆไป
“เฮ้ๆ แล้วเธอกับลี่เฉินซีล่ะ? มีอะไรก้าวหน้าไหม? เป็นกระจกแตกกลับประสาน กลับมาคืนดีกัน หรือว่าเลือกที่จะให้อภัยเขาแล้ว”
เห็นได้ชัดเจนว่าโม่หว่านหว่านที่อยู่อีกฟากของโทรศัพท์นั้นให้ความสนใจในคำถามนี้เป็นอย่างมาก
เพียงแต่ว่าตัวเลือกหรือคำถามที่เธอถามออกมาสองอย่างนั้นล้วนมีความหมายพอๆกัน
ซูย้าวยิ้มบางๆ สมองก็นึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ คล้ายกับว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่อธิบายออกมาได้ไม่ชัดเจน
สรุปสั้นๆก็คือ กำกวม ไม่ชัดเจน
ดังนั้น เธอจึงยิ้มเป็นนัย “จะพัฒนาอะไรล่ะ? ฉันกับเขาเป็นกระจกแตกกลับประสานแล้วคืนดีกันอะไร อย่าลืมล่ะว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว!”
“เธอพูดถึงหานฉ่ายหลิงหรือ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ใส่ใจผู้หญิงคนนั้นเท่าไร กลับกันกับเธอ เธอรู้ไหม ตอนที่เธอได้รับบาดเจ็บแล้วฉันติดต่อเขาไป เขาร้อนใจมากเลยนะ!” โม่หว่านหว่านเอ่ย
ซูย้าวตกตะลึง เขาร้อนใจ…เพราะเธอหรือ
แม้ว่าในใจจะเกิดคลื่นยักษ์ แต่ปากก็ยังพูดอวดดีต่อไป “ไอ้หยา ผู้ชายน่ะล้วนเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น กินในถ้วย แต่ตาก็มองในกระทะ ไม่รู้จักพอ…”
“อา?”
ทางด้านโม่หว่านหว่านค่อนข้างสงสัยอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงประหลาดใจนั้นดูเหมือนว่าจะตกตะลึงไม่น้อย
เธอเบ้ปากเหยียดหยาม นึกถึงตอนแรกที่เธอยังเป็นภรรยาของเขา เขาก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
แม้ภายนอกจะดูสนิทสนมกันดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
เห็นอยู่ชัดๆว่าในฐานะสามีควรจะเป็นเอาใจใส่ รักและทะนุถนอมภรรยาเป็นอันดับแรก แต่กลับเลือกปกป้องหานฉ่ายหลิงไปเสียทุกอย่าง แม้จะตัดขาดความสัมพันธ์กัน แต่ก็ยังเหลือเยื่อใยให้กับแฟนเก่า
ตอนนี้แยกทางและหย่าขาดกันแล้ว
ก็รีบเอาใจใส่เธอไม่ขาด แต่กลับห่างเหินและเฉยชาใส่หานฉ่ายหลิง
ดังนั้นเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ซูย้าวก็ยังไม่สามารถเชื่อเขาได้ทั้งหมดอยู่ดี
ครึ่งๆก็แล้วกัน!
เชื่อ 50% อีก 50% สงวนความคิดเห็นเอาไว้
ไม่ใช่พูดกันว่ารักคนคนหนึ่ง ไม่สามารถรักมากเกินไป ต้องเหลือความสนใจบางส่วนเอาไว้รักตัวเองด้วย มิเช่นนั้นสุดท้ายก็จะพบว่า ไม่ละอายใจต่อทุกคน แต่กลับทำผิดต่อตัวเองเพียงคนเดียว
“อาจจะเป็นเพราะว่าฉันกับเขาแยกทางกันนานมากแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้มาครอบครอง แปลกใหม่และตื่นเต้น! แต่ถ้าได้มาแล้ว ก็จะรู้สึกว่างั้นๆแหละ…” เธอพูดส่งเดชไปเรื่อย
แต่โม่หว่านหว่านกลับฟังออกถึงนัยลึกซึ้งที่อยู่ในคำพูดของเธอเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยถามทันทีว่า “เธอคงจะไม่ได้นอน…กับเขาไปแล้วหรอกนะ!”
ทางด้านซูย้าวที่กำลังขับรถอยู่บริเวณสี่แยก ไฟจราจรด้านหน้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอก็เกือบจะเหยียบคันเร่งพุ่งขึ้นไปแล้ว แต่หยุดเอาไว้ได้ทัน และกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า “เธอ เธอรู้ได้อย่างไรกัน”
โม่หว่านหว่านปิดปากแอบหัวเราะ “หลายปีมานี้ ฉันไม่เข้าใจเธอหรือ เพียงแต่ไม่เป็นไร อย่างไรก็เป็นเขา จะยังไงก็ได้ ฉันก็ไม่หัวเราะเยาะอะไรเธอหรอก!”
“เอ่อ…”
“ถึงอย่างไรพูดออกมาแล้วเธอก็อาจจะไม่เชื่อ ฉันมักจะรู้สึกว่าครั้งนี้เธอจะคืนดีกับเขา ไม่เพียงแต่คืนดีเท่านั้น ยังจะแต่งงานซ้ำอีกรอบ และอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าชั่วฟ้าดินสลายอะไรแบบนั้นด้วย…”
สำหรับการคาดเดาส่งเดชอย่างไม่มีมูลของโม่หว่านหว่าน ซูย้าวนั้นไม่อยากจะแสดงความคิดเห็นใดๆ ถึงอย่างไรข้างหน้าก็ใกล้จะถึงโรงเรียนอนุบาลแล้ว เธอเพียงแค่เอ่ยประโยคเดียว ‘พูดจาเหลวไหล’ และรีบตัดสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว!
แต่เมื่อคิดให้ละเอียดแล้ว ล้วนพูดกันว่าสัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นแม่นมาก โม่หว่านหว่านรู้สึกถึงอะไรกันนะ
แต่ทำไมตนเองที่มีฐานะเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่สังเกตเห็นถึงอะไรเลยกัน?
เธอจะแต่งงานซ้ำกับลี่เฉินซีหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เขามีคู่หมั้นแล้ว การแต่งงานจึงเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว เมื่อคิดได้อย่างนั้นควรจะลดระดับความเชื่อที่มีต่อเขาน้อยลงสักหน่อยใช่หรือไม่
เธอกำลังคิดเหลวไหลอยู่ ข้างหูก็มีเสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนอนุบาลลอยมา
ชั่วครู่หลังจากนั้น เหล่าคุณครูก็นำเด็กๆเรียงแถวกันออกมา ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยมาถึงหน้าโรงเรียนอนุบาล เพื่อรับลูกตนเองกลับมา
ซูย้าวกลับไม่ได้รีบร้อนเดินเข้าไป เพียงแค่ยืนอยู่หลังผู้คน ค่อยๆเฝ้ารอ
เพียงแต่เตียวเตียวกลับจำเธอได้ท่ามกลางฝูงชนในแวบแรก จึงรีบร้องเรียกเสียงดัง “คุณน้า!”
เมื่อซีซีได้ยินเสียงเรียกก็รีบเงยหน้าขึ้นมองมาทางเธอด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
คุณครูเห็นแล้วก็รีบพาเด็กทั้งสองคนมาใกล้ซูย้าว “คุณซูกลับมาจากการไปทำงานนอกสถานที่แล้วหรือคะ”
“อืม ช่วงเวลาที่ฉันไม่อยู่นั้นรบกวนคุณครูแล้ว!” เธอยิ้มบางๆ เอ่ยพูดอย่างเกรงใจ
คุณครูก็ยิ้มรับ พูดคุยกันเล็กน้อย เด็กทั้งสองคนก็พูดบ๊ายบายกับคุณครูและเดินตามซูย้าวไปทางรถยนต์
เธอจูงมือเล็กๆของเด็กทั้งสองคน ก้มหน้ามองพวกเขา “ช่วงเวลาที่แม่ไม่อยู่บ้าน พวกหนูคิดถึงแม่ไหมคะ”
เตียวเตียวรีบเอ่ยขึ้นว่า “คิดถึง! หนูคิดถึงคุณน้ามากๆเลย!”
ซีซีก็ผงกศีรษะ นัยน์ตาใสสะอาดกลมโตคล้ายกับว่าเต็มไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อคุณแม่
ซูย้าวมองเด็กทั้งสองคน ย่อตัวลงนั่ง “แม่กับน้าก็คิดถึงพวกหนูเช่นกัน ทั้งยังเอาของขวัญกลับมาฝากพวกหนูไม่น้อยเลยด้วย! แต่ว่าพวกเราจะต้องไปกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยแกะมัน ดีไหมจ๊ะ”
เด็กทั้งสองคนผงกศีรษะอย่างดีใจ
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะพาเด็กๆไปกินข้าวที่ไหน จู่ๆท่ามกลางฝูงชนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาหาพวกเขาด้วยความเร็ว
เตียวเตียวเงยหน้าขึ้นกวาดมองผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้น ก็รีบกอดขาของซูย้าวด้วยความกลัวทันที นัยน์ตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จับขากางเกงเธอด้วยความตึงเครียดไม่ปล่อย พึมพำเสียงเบา “คุณ คุณน้า…”
ผู้หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาใกล้ก็จ้องมองไปที่เตียวเตียวครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสายตาที่ต้องการยืนยัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ก็เอ่ยขึ้นว่า “เตียวเตียว? หนูคือเตียวเตียวใช่ไหมจ๊ะ?”
ในเสี้ยวพริบตานั้นก็ทำให้ซูย้าวและซีซีล้วนมึนงงไป