เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 466
วันเวลายังคงผ่านไป ซูย้าวทั้งทำงานและดูแลเด็ก จัดการได้อย่างเป็นระเบียบสบายๆ และเรียบง่าย
วันนี้ซูย้าวอยู่ในห้องทำงานได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก บังเอิญไปที่แผนกการเงินเพื่อไปรับเอกสาร ทันทีที่เธอก้าวออกจากห้องทำงาน เธอก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่นุ่มนวลแว่วเข้ามาในหูเธอ
“ไอ๊โหย่ว ท่านประธานซู กำลังจะไปหาคุณพอดี!”
เธอเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เธอคือหลินหวั่นหญิง และลูกน้องของเธอหลายคน ยังมีหานฉ่ายหลิงไม่รู้มาว่าที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ซูย้าวกล่าวทักทายอย่างสุภาพ หลังจากนั้นหานฉ่ายหลิงก็รีบส่งกล่องของขวัญให้เธอ “ซูย้าว นี่สำหรับคุณ!”
“อะไร?” เธอตะลึงเล็กน้อย มองดูกล่องของขวัญเล็กๆ ถือว่าไม่ใหญ่มาก แต่ดูประณีตมาก
หานฉ่ายหลิงอธิบายว่า “ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หลายวันก่อนฉันกับเฉินซีไปปารีสมา เขาเลือกตอนที่ไปช้อปปิ้งกับฉัน ไม่มีเวลาว่างส่งมาสักที”
ก็คือครั้งที่แล้ว เฉินซีส่งเธอกลับไปที่เมือง A ทางนี้เรียบร้อย จากนั้นก็หันหลังรีบบินกลับไปปารีสทันที ที่น่าแปลก หัวใจของซูย้าว รู้สึกเจ็บนิดๆ อย่างอธิบายไม่ถูก
หลินหวั่นหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดอีกว่า “ครั้งนี้เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ คราวหน้าจะเป็นขนมแต่งงานแล้ว ใช่มั้ย?”
พอพูดแบบนี้ หานฉ่ายหลิงปรากฏรอยยิ้มที่สดใสออกมาทันที “ประมาณนั้น! ครั้งนี้ฉันได้สั่งชุดแต่งงาน และชุดสูท เฉินซีบอกว่ายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนงานแต่งอีก เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็จะกำหนดวัน เลย”
“ว้าว รอคอยวันนั้นจริงๆ !” น้ำเสียงของหลินหวั่นหญิงพูดอย่างแปลกประหลาด แต่ว่าสายตาเหลือบมอง ไปทางซูย้าว แล้วพูดต่อว่า “พอพูดอย่างนี้ ฉันนึกได้ทันทีว่า ในปีนั้นตอนที่ประธานซูแต่งกับประธานลี่ ดูเหมือนจะไม่เคยมีงานแต่งนะ”
เลขาตัวน้อยอย่างหลินหวั่นหญิง เป็นคนช่างสังเกตมาก และรีบเสริมว่า “ใช่ แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว!” “ถ้าพูดถึงตรงนี้แล้ว ถ้างั้นครั้งนี้ เท่ากับเป็นการแต่งงานครั้งแรกของประธานลี่ มันคงเป็นโอกาสอันยิ่ง
ใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ฉ่ายหลิงคุณก็เป็นเจ้าสาวที่สวยงามอย่างสบายใจเถอะ!” หลินหวั่นหญิง พูด หานฉ่ายหลิงขยับริมฝีปากสีแดงที่มีเสน่ห์ “ฉันก็คาดหวังเช่นกัน! ยังไงงานแต่งครั้งนี้เฉินซีเป็นคน
วางแผนด้วยตัวเองทั้งหมด เขากังวลกลัวว่าฉันจะเหนื่อย และไม่ยอมให้ฉันเข้าไปยุ่ง!”
“ดูแล้ว ประธานลี่เป็นคนรักภรรยาจริงๆ ! แต่ว่าเรื่องแบบนี้ก็แยกแยะคนนะ ตอนเมื่อก่อนประธานลี่
ปฏิบัติต่อซูย้าว อดีตภรรยาของเขา ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เอาใจใส่ละเอียดขนาดนั้น!” หลินหวั่นหญิงยิ้มเยาะเย้ย โจมตีซูย้าวทุกคำ เห็นได้ชัดว่าเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ว่ากันว่าผู้หญิงสามคนในละครเรื่องเดียว
ตอนนี้ก็มีผู้หญิงครบสามคนแล้วจริงๆ
เพียงแต่ซูย้าวไม่อยากร่วมการแสดงต่อ เธอเพียงยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ดูแล้วประธานหานเป็นที่รักของประธานลี่จริงๆ ผู้หญิงที่สามารถทำให้ผู้ชายดูแลทุกอย่างให้ด้วยความเต็มใจ เป็นเรื่องน่าอิจฉาจริงๆ แต่ก็อวยพรและยินดีกับคุณด้วยนะ!”
พูดจบ ตามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ซูย้าวก็รีบหันหลังกลับและออกจากสถานที่ที่มีแต่คำนินทาแห่งนี้โดยเร็วที่สุด
หลินหวั่นหญิงที่อยู่ข้างหลังมองตามหลังของเธอด้วยความงุนงง ฮืมด้วยความเย็นชาดูถูก หลังจากนั้นก็พูดกับหานฉ่ายหลิงว่า “ประธานหานไม่นานก็จะกลายเป็นคุณผู้หญิงลี่ ต่อไปถ้ามีอะไรดีๆ อย่าลืมเพื่อน เก่าอย่างพวกเรานะคะ!”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” หานฉ่ายหลิงตอบด้วยรอยยิ้ม
หลินหวั่นหญิงยังพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องความร่วมมือระหว่างจู้สือและประธานลี่ ฝั่งประธานลี่
ประธานหานก็ต้องพยายามขยันพูดหน่อยนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของปานฉ่ายหลิง ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เรื่องความร่วมมือระหว่างจู้สือและบริษัทลี่ซื่อ เธอเคยพูดกับลี่เฉินซีไม่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็ถูกปฏิเสธ ทุกครั้ง
ตอนนี้ งานแต่งงานที่รอคอยมายาวนานอยู่ไม่ไกล ในช่วงเวลานี้ เธอไม่ต้องการทดลองเสี่ยง และไม่ อยากเพื่อสิ่งเหล่านี้ แล้วมาทำลายแผนการที่เธอใฝ่ฝันมานานหลายปี!
“เรื่องความร่วมมือ ยังมีเวลาอีกยาวไกล รองประธานหลินก็ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้น? ช้าๆ น้ำถึงจะ ไหลได้ยาวนาน ใช่ไหม” เสียงนุ่มๆ ของหานฉ่ายหลิงให้ความรู้สึกเหมือนมีทางชี้แนะ
จ้องมองแววตาที่มีความมั่นใจของเธอ หลินหวั่นหญิงเหมือนถูกผีอำทำอะไรไม่ถูกและเชื่อในชั่วคราว “อืม ก็ถูกนะ!
อีกด้านหนึ่งของเมือง
โม่หว่านหว่านนั่งอยู่ที่สำนักงานกฎหมายของหลินเวย ดื่มกาแฟด้วยใบหน้าเศร้าๆ และถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“พอแล้วคุณไม่ต้องถอนหายใจ DNAที่คุณนำมานั้นไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้นเรามาคิดหาวิธีอื่น กันดีกว่า!” หลินเวยพูดอยู่ด้านข้าง
โม่หว่านหว่านถือใบรับรองบนโต๊ะ และถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันยังคิดอะไรได้อีก? หรือว่า ฉันจะให้เตียวเตียวช่วยเอาเส้นผมของชาร์ลีมาตรวจอีกครั้ง”
“นั่นไม่ได้แน่! เตียวเตียวเป็นแค่เด็กอายุห้าขวบ ถ้าหากทำให้อีกฝ่ายรู้ คุณหลอกใช้เด็กอายุห้าขวบ นี่ ไม่ใช่อาชญากรรมเล็กๆ นะ!” หลินเวยเตือนเธอ
“แต่ว่า ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ แม้ว่าฉันจะวิ่งไปหาหานฉ่ายหลิงโดยตรง เธอก็คงไม่ยอมรับหรอก!” โม่หว่านหว่านทำอะไรไม่ถูก หลังจากที่เธอได้รับใบรับรองประเมินผลแล้ว เธอก็คิดทั้งวันทั้งคืน ตกลงจะทำ อย่างไงดี ถึงสามารถแย่งชาร์ลีมาจากหานฉ่ายหลิงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย?
หลินเวยพูดว่า “ฉันก็ตรวจสอบให้คุณแล้ว หานชาร์ลีอายุห้าขวบ ในทะเบียนบ้านและไฟล์ต่างๆ ของเขา มี รายละเอียดวันเกิดและโรงพยาบาลอย่างชัดเจน คุณไม่ได้ผิดพลาดใช่มั้ย? แน่ใจใช่มั้ยคือเด็กคนนี้?”
โม่หว่านหว่านจ้องมองเธอ“หมายความว่าไง?”
“ฉันก็เคยตรวจสอบห่านฉ่ายหลิงเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอท้องจริงๆ และให้กำเนิดลูกที่อเมริกา ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ คุณผิดพลาด หรือถ้าหากชาร์ลีเป็นเด็กทารกที่ถูกลักพาตัวไป ถ้างั้น เด็กที่เกิดจากหานฉ่ายหลิงไปไหน แล้ว?”
หลินเวยรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เธอเป็นทนายความมานานหลายปี ไม่ว่าเธอจะเป็นตัวแทนหรือผู้ช่วย ทั้งหมดที่เธอต้องการคือหลักฐาน มิฉะนั้นก็แค่เดาเอาเอง ไม่มีผลทางกฎหมายเลย
โม่หว่านหว่านกลับแสดงความสงสัย “หานฉ่ายหลิงก็ให้กำเนิดลูกด้วยเหรอเมื่อห้าปีก่อน?” หลินเวยพยักหน้า “ใช่ สามารถตรวจสอบได้ง่าย…”
เธอพูดไป ก็ยื่นข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลใบรับรองการเข้าโรงพยาบาลสูตินรีเวชและการผ่าตัดคลอดที่เธอ เคยพบในสหรัฐอเมริกาเมื่อห้าปีก่อนให้โม่หว่านหว่าน
หลังจากดูอย่างคร่าวๆ โม่หว่านหว่านก็ตกตะลึงเช่นกัน “ห๊ะ…ใช่สิ พอพูดแบบนี้ ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ !”
“คุณต้องการช่วยซูย้าวหาเด็กกลับคืน เดิมทีความตั้งใจนั้นดี แต่หว่านหว่านคุณต้องแน่ใจในข้อเท็จจริงก่อน ถึงจะสามารถบอกซูย้าวได้”
ไม่งั้น ปลุกเร้าความหวังขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเห็นความหวังที่พังทลายต่อหน้าต่อตานั้น เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่เด็กชายคนนั้นหายไป นี่ก็คือเหตุผลที่หลินโม่ป่ายและโม่หว่านหว่านเลือกที่จะโกหกหลอกลวงซูย้าว
โม่หว่านหว่านถอนหายใจ “ตกลง ฉันจะตรวจสอบอีกครั้งและตรวจ DNA อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจก่อนจะดี กว่า…”
หลินเวยดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้น แล้วพูดว่า “ครั้งสุดท้ายที่คุณทำการตรวจ คือเส้นผมที่เตียวเตียวเอามาจากชาร์ลีใช่ไหม”
“ใช่..มีอะไรเหรอ?”
“เตียวเตียวเป็นแค่เด็กอายุห้าขวบ คุณแน่ใจหรือว่าเขาจะไม่ทำผมสลับกัน”
หลินเวยก็แค่พูดไปแบบนั้น นึกอะไรขึ้นได้ ก็เตือนไปแบบนั้น ไม่มีความอาฆาตพยาบาทอะไร แต่บังเอิญ ทำให้โม่หว่านหว่านได้สติ
“คุณพูดถูก! เรื่องแบบนี้ ทำไมฉันถึงไปเชื่อใจเด็กได้ยังไง ฉันต้องลงมือทำเอง!” จิตวิญญาณนักสู้ของเธอ จุดประกายในทันที และเธอก็เริ่มคิดว่าจะเข้าใกล้ชาร์ลีได้อย่างไร รอโอกาสไม่ทันระวังตัว ดึงผมสองสาม เส้นมาจากศีรษะของเด็ก..
“คุณจะลงมือเองเหรอ? คุณเป็นผู้ใหญ่ จะดึงเส้นผมเด็ก? โม่หว่านหว่านคุณ…”
หลินเวยคิดว่ามันไร้สาระ และอยากจะขัดขวาง แต่โม่หว่านหว่านไม่ให้โอกาสเธอแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเธอ คิดอะไรได้ หยิบกระเป๋ารีบออกจากสำนักงานไปด้วยความเร็วที่สุด
“คุณ……”
หลินเวยยืนอยู่กับที่ด้วยความอึดอัด จ้องมองไปที่ประตูสำนักงานที่เพิ่งปิด ขมวดคิ้วอย่างเงียบๆ หวังว่า
โม่หว่านหว่านอย่าได้สร้างปัญหาอะไรออกมาจะเป็นการดี..