เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 472
ทางเข้าที่ร้านอาหาร ความประหลาดใจแวบวาบในสายตาของลี่เฉินซี อารมณ์ที่ซับซ้อนบางอย่างอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างเงียบๆ
“เฉินซี ช่วงนี้คุณยุ่งหรือเปล่า”?
หานฉ่ายหลิงพูดออกมาโดยไม่คิด กลับไม่มีคำตอบกลับใดๆ และรู้สึกว่าชายที่อยู่ข้างๆ เธอเย็นชาเล็กน้อย เธออึ้งแล้วสักพัก เงยหน้าขึ้น สายตามองตามชายคนนั้นไป ก็เห็นชายหญิงนั่งอยู่โต๊ะอาหารที่ไม่ไกล
ผู้ชายคนมีบุคลิกภาพที่ดี ผู้หญิงมีดวงตาที่สวยงามและฟันขาว และเต็มไปด้วยความสวยงาม หานฉ่ายหลิงยิ้มและพูดขึ้นทันทีว่า “บังเอิญจัง ที่ได้พบกับคนรู้จัก!”
ใบหน้าของลี่เฉินซีนั้นเย็นชาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
หานฉ่ายหลิงเม้มปากอย่างไม่พอใจ “อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า ฉันไม่อยากกินอาหารฝรั่งแล้ว เราเปลี่ยนไปกินที่อื่นกันเถอะ!”
เขาไม่ได้พูดอะไร กลับหันหลังเดินออกไป
ก็อย่างนี้หานฉ่ายหลิงและลี่เฉินซีเดินออกจากร้านไป และที่ไม่ไกลนั้น สายตาของซูย้าวยังคงอยู่กับฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมื่อกี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาสองคนพูด แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นเพราะเธอและหลินโม่ป่าย จึงเปลี่ยนที่กิน
อารมณ์เล็กน้อยแสดงออกมาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว หลินโม่ป่ายมองมาที่เธอ และถอนหายใจ “มันผ่านนานมากแล้ว ยังจำเป็นต้องแคร์อยู่เหรอ ?”
เธอนิ่งไปสักพัก
ใช่ ก็ผ่านมานานมากแล้ว…
ถ้าหากตอนนั้นที่อยู่ต่างประเทศ ระหว่างเธอกับลี่เฉินซี ไม่มีเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น เธอคงจะไม่สนใจเรื่องนี้ในตอนนี้ แต่เขาดันมาพูดกับเธอด้วยคำพูดที่จริงใจลึกซึ้งอย่างมาก แต่หลังจากนั้น ก็ตัวติดตัวกับผู้หญิงคนอื่น ความแตกต่างนี้ คงไม่รู้สึกอะไรหรอกมั่ง?
ซูย้าวไม่มีอารมณ์ที่จะกินต่อ หลินโม่ป่ายเห็น ก็ยิ้มอ่อนแล้วถามซีซี”ลูกกินอิ่มรึเปล่า?”
ซีซีพยักหน้าอย่างหน้าเอ็นดู หลินโม่ป่ายขยี้หัวเธออย่างเบามือ แล้วยกมือเรียกพนักงานเช็คบิล
ซูย้าวเหม่อลอยเล็กน้อย ทันใดนั้นซีซีก็จับมือเธอไว้ด้วยมือที่เล็กๆ และมองดูเธอด้วยสายตาที่เป็นห่วง ราวกับถามว่าเธอสบายดีไหม
เธอรีบยิ้มให้ลูกสาวของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ซีซีแม่ขอโทษนะ
ที่ทำให้ลูกเป็นห่วง ไม่ต้องกังวลนะ แม่ไม่เป็นไร!”
ส่งพวกเขากลับไปที่โรงแรม ซีซีก็วิ่งเข้าไปในห้องก่อน หลินโม่ป่ายก็พูดว่า “ซูย้าว ไม่ใช่ว่าผมต้องการทำลายภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นในใจคุณ เพราะตอนนี้พวกคุณหย่ากันแล้ว ตอนนี้ที่ยังติดต่อกัน ก็เพราะลูกทั้งนั้น อย่าให้ภาระและแรงกดกับตัวเองมากจนเกินไป เขามีชีวิตของเขา คุณ ก็มีชีวิตของคุณ อย่าคิดมากจนเกินไป”
เธอเม้มริมฝีปากอย่างอ่อนแรง แล้วฝืนยิ้มออกมา “ฉันรู้แล้ว”
หลังจากส่งเขาเสร็จ เธอมองดูบ้านที่กว้างโล่ง คิดถึงเตียวเตียวและโม่หว่านหว่านก็ไม่รู้ว่าเธอพาเด็กไปที่ไหน นี้ก็ดึกละนะ ทำไมยังไม่กลับมา
โทรไปที่โม่หว่านหว่าน โทรติดหลายสายแต่ก็ไม่รับ ซูย้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซีซีก็เดินออกจากห้อง พร้อมกับถือหมีน้อยอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เอียงศีรษะและมองดูเธอ ราวกับถามถึงเตียวเตียว
เธอทำได้เพียงเดินไปแล้วแตะหัวเด็ก “ซีซีทำตัวดีๆ น้า เตียวเตียวอยู่กับแม่บุญธรรมอาจจะกลับมาเร็วๆ นี้!”
ซีซีก้มหัวลงอย่างเสียใจ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซีซีชอบอยู่ติดกับเตียวเตียวมาก แม้ว่าบางครั้งผู้หญิงจะ ‘ชอบใช้กำลัง’แต่ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ถึงจะชอบด่ากันเถียงกัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่แคร์
ซูย้าวไม่คัดค้านเด็กสองคนนี้ หากพวกเขาโตด้วยกัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันก็เป็นเรื่องที่ดี มิตรภาพของในวัยเด็กนั้น มีค่าอย่างมาก
เวลานี้แล้ว โม่หว่านหว่านพาเด็กไปไหนกันแน่
แต่เมืองในฝั่งนี้
โม่หว่านหว่านแทบรอไม่ไหวที่จะรอผลการตรวจสอบที่โรงพยาบาล เธอใช้เส้นสายหาคนได้ ใช้เงินไปแล้วอีกจำนวนมาก ให้ออกผลในวันนี้เลย
แต่หลังจากที่รอแล้วรออีก ผลตรวจนั้นก็ทำให้เธอตกตะลึง
นั่งอยู่กับที่อย่างอึ้งและช็อก
เรื่องที่คาดเดาในใจ มืดมนไปหมด
เตียวเตียวที่มองอยู่ข้างๆ “ คุณน้า เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
โม่หว่านหว่าน จ้องไปที่แผ่นตรวจในห้องปฏิบัติการในมือของเขา และผลปรากฏว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นน้อยกว่า20% และในที่สุดก็ก็สรุปว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
น้อยกว่า20%?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์แม่ลูกเลย…
เกิดอะไรขึ้น? คราวที่แล้วยังได้มีผลตรวจออกมาอย่างชัดเจน เกิน 95%ขึ้นไป ผิดพลาดที่ตรงไหนกันแน่?
หลังจากที่โม่หว่านหว่าน หลุดพ้นจากอาการอึ้ง เธอก็รีบนำใบตรวจเก่าออกจากกระเป๋าของเธอและถามแพทย์อีกครั้ง
แต่ฝั่งแพทย์ก็ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วด้วย ตัวอย่างไม่ถูกปนเปื้อน เครื่องจักรไม่ได้ทำงานผิดปกติ และไม่มีข้อผิดพลาดในการทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ผิดพลาด จึงทำการตรวจอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง ผลตรวจสุดท้ายก็เหมือนกับครั้งนี้ทุกประการ
หมอจึงมองดูโม่หว่านหว่านพูดได้เพียงว่า “ตัวอย่างสิ่งของที่จะตรวจเอามาไม่เหมือนกันทั้งสองครั้งหรือเปล่า”
นั่นก็คือมาจากเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่คนเดียวกัน
อีกอย่างเส้นผมเป็นสิ่งที่ทุกคนมี และรับประกันไม่ได้ว่าเส้นผมนั้นจะเป็นของใคร
โม่หว่านหว่านตะลึงและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ฉันได้มันมาจากผมของเด็กด้วยตัวฉันเอง…”
และฝั่งของซูย้าว เธอเป็นคนดึงผมของตัวเองลงมาเองด้วย ถ้าอย่างนั้น ทำไมผลทั้งสองครั้งไม่เหมือนกัน?
หมอทำได้สุดความสามารถแล้ว
เธอเดินออกมาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน และมองดูผลตรวจแล้วหลายครั้งในมือด้วยความประหลาดใจ มันคืออะไรกันแน่ ทีแรกก็คิดว่าผลตรวจออกมาเทียบกันแล้วจะตรงกัน
เธอตกลงพูดคุยกับหลินเวยจะเอาเด็กกลับคืนมาจากหานฉ่ายหลิงอย่างไร และดำเนินคดีกับเขาในข้อหาขโมยลูก และพร้อมฟ้องร้องตามกฎหมาย
“เอ๋อ คุณโม่…….”
หมอรีบวิ่งออกตามมา และพูดอย่างเร่งรีบ “จริงๆ แล้ว มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งในการจำแนกพันธุกรรม”
โม่หว่านหว่านมองไปทันทีที่เขาพูด “อะไรนะ?”
“นั่นคือโมเสกทางพันธุกรรมรวมตัวกัน แน่นอนว่าความน่าจะเป็นนี้มีน้อยมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้น ในกรณีนี้มีเพียงน้อยที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นก็อาจเกิดขึ้นได้
” โมเสกทางพันธุกรรมรวมตัวกัน ? โม่หว่านหว่านเหมือนเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนสักแห่ง
หมออธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด แต่หลังจากที่โม่หว่านหว่านฟังเสร็จ ก็ตั้งคำถามมากขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้! เด็กคนนี้ยังเด็กอยู่ และเมื่อตอนที่ทำการคลอดออกมา ก็คือฝาแฝด…”
ถ้ามัน เป็นโมเสกทางพันธุกรรมรวมตัวกัน เส้นผมที่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจออกมาเป็นสองกรณีแบบนี้
ถ้าฝั่งเด็กไม่ใช่ ถ้างั้นซูย้าวเองก็ไม่ใช่เช่นกัน
เธอเดินออกจากออฟฟิศด้วยใบหน้าที่อ่อนล้าเหน็ดเหนื่อย เตียวเตียวนั่งอยู่บนเก้าอี้จะหลับแล้ว หาวแล้วหนึ่งครั้ง “ น้าครับ น้าทำธุระเสร็จแล้วเหรอครับ”
“อ่า ฉันเกือบลืมนายไปเลย!” โม่หว่านหว่านสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินพาเตียวเตียวออกไป
ระหว่างทางกลับ เธอยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ คิดแล้วคิดอีก จู่ๆ เธอก็นึกถึงอะไรบางอย่าง ในวาบเดียว เธอมองไปทางเด็กที่นั่งอยู่ข้างเบาะคนขับ “ เตียวเตียวยังจำได้หรือไม่ ครั้งที่แล้วน้าให้เราไปเอาเส้นผมของชาร์ลีมาให้น้านิดหน่อย”
เตียวเตียวก็นึกขึ้นมา ” อืม จำได้ครับ มีอะไรเหรอครับ”
“เส้นผมในครั้งนั้น แน่ใจเหรอว่าเป็นชาร์ลี
ได้ยินแบบนั้น ตาดำๆโตๆนั้นหมุนไปหมุนมาอย่างเลิ่กลั่ก”แน่ ….. แน่ใจครับ!”
“แน่ใจนะ?” โม่หว่านหว่านรู้สึกว่าเด็กไม่ได้พูดความจริงออกมา
แต่เตียวเตียวพยักหน้าไม่หยุด”แน่ใจครับ! ผมเอามาจากหัวของชาร์ลี เกิดอะไรขึ้นครับน้า”
โม่หว่านหว่านสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ โดยไม่พูดอะไร แค่ขับรถพาเขากลับไปที่โรงแรมโดยเร็วที่สุด
แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าเตียวเตียวกำลังโกหก
วันรุ่งขึ้นโม่หว่านหว่านบอกหลินเวยเกี่ยวกับเรื่องชองเมื่อวาน และเมื่อเห็นผลการตรวจปรากฏต่อหน้าเธอ ทั้งคู่ก็เงียบไป
“ถ้าตัวอย่างเส้นผมชิ้นแรก ไม่ใช่ของชาร์ลี แต่เตียวเตียวไปเอาของซีซีมา เหตุการณ์ก็จะไปต่อได้” หลินเวยพูด
ใบหน้าโม่หว่านหว่านตกใจอย่างมาก “ได้โปรด พี่สาว ฉันไม่ได้ขอให้แกมาวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ฉันฟัง!”
“ฉันรู้ ดังนั้น ชาร์ลีจึงไม่ใช่ลูกที่ซูย้าวสูญหายไปในตอนนั้น” หลินเวยพูด
โม่หว่านหว่านขมวดคิ้ว “ก็ไม่แน่นะ!”
เธอยังคงรู้สึกว่าชาร์ลีเป็นเด็กที่สูญหายในตอนนั้น ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในนั้น
แต่ ปัญหามันเกิดขึ้นที่ไหน?
หลินเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นาย เคยคิดไหมว่า ถึงแม้หานฉ่ายหลิงถึงจะส่งคนไปขโมยเด็ก เด็กที่ขโมยออกมานั้น ไม่ได้แปลว่าจะนำกลับมาเลี้ยงดู ?”
“ แก หมายถึง… … ”
“บางทีเธออาจจะปล่อยเด็กไปหรือทำหาย? ถ้าอย่างนั้น เด็กคนนั้นก็กลายเป็นเด็กกำพร้าในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? ” หลินเวยพูด
โม่หว่านหว่านมองมาที่เธอ “แล้วเธอคิดว่าไง…
“แล้วถ้าตัวอย่างเส้นผมที่ฉันเอาให้เธอ ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ของซีซีล่ะ ? เป็นเพราะหล่อนเอาผมตัวเองให้เธอล่ะ ” หลินเวยก็กล้าตั้งสมมติฐานขึ้นมา
เมื่อโม่หว่านหว่านได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของเธอก็ตกใจทันที “แก หมายถึง… เตียวเตียวก็คือเด็กที่สูญหายในตอนนั้นของซูย้าว