เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 498
ความหวัง? ดวงดาวนำโชค?
ดวงตาสีดำกลมโตของเตียวเตียวนั้นกะพริบปริบๆ สีหน้าสงสัยปนห่วงใยจ้องมองไปที่โม่หว่านหว่าน พร้อมยื่นมือเล็กที่ดูนุ่มนิ่มออกไปวางอังหน้าผากของเธอ “น้า น้าไม่สบายเหรอ?”
ทำไมพูดอะไรเพ้อเจ้อแบบนั้นนะ
โม่หว่านหว่านชะงักไป เขินจนแสดงออกชัดทางปลายจมูกนั้น ยิ้มพลางพูดว่า “เปล่าหนิ! ถ้าเธอไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ พูดง่ายๆ ก็คือ จากนี้ไปน้าเป็น…”
เธอหยุดไปสักพัก รู้สึกว่าการเรียกน้านั้น ไม่ค่อยจะดีแล้ว
เมื่อก่อนเธอคิดว่าซูย้าวอยู่คนเดียว ยังไม่แต่งงานและการที่เลี้ยงซีซีไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แล้วยังรับเลี้ยงเตียวเตียวมาอีก
ที่สำคัญ ตอนนั้นก็ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของเด็กคนนี้ จึงรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย
แต่พอมาคิดดูตอนนี้ โชคดีจริงๆ ที่ตอนนั้นไม่ได้ผลักไสไล่ส่งเด็กคนนี้ออกไป เธอรู้สึกขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ในวันนั้นตัดสินใจแบบนั้น
เธอเปลี่ยนน้ำเสียง พร้อมพูดว่า “หลังจากนี้ไม่ต้องเรียนฉันว่าน้าแล้ว เรียกว่าแม่บุญธรรมแทนเถอะ!”
“แม่…” เตียวเตียวไม่มีคำจะพูด “น้า อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้เองเหรอ?”
โม่หว่านหว่าน “…”
เตียวเตียวคนนี้อะไรก็ดีไปหมด แต่ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ เขาฉลาดเกินไป
ไม่เหมือนกับเด็กรุ่นเดียวกัน ทั้งรู้เรื่องและรู้ใจไปซะหมด เด็กแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน แต่ก็ทำให้เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
เธอหายใจเข้าลึก “ฉันจริงจังนะ เตียวเตียว เธอไม่ชอบฉันเหรอ?”
เตียวเตียวส่ายหน้า “ชอบสิ แต่ผมชอบน้าซูย้าวมากกว่า เมื่อไหร่เธอจะกลับมาหรอ? ผมกับซีซีคิดถึงเธอแล้ว…”
พูดถึงซูย้าว โม่หว่านหว่านอดไม่ได้ที่จะหม่นหมอง เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าการพิจารณาคดีตกลงแล้วเป็นอย่างไร หวังว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก
ในโลกของผู้ใหญ่นั้นช่างวุ่นวายยุ่งเหยิง เด็กๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ และโม่หว่านหว่านก็ไม่อยากใช้คำพูดพวกนี้ พูดกับเด็กอายุเพียงห้าขวบ
เธอไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง และโกหกไปว่า “อีกไม่นานน้าซูย้าวก็จะกลับมาแล้ว เตียวเตียวไม่ต้องกังวลนะ”
ตอนที่โม่หว่านหว่านพูด ก็รู้สึกว่าตัวเองนั่งยองแบบนี้มานานเกินไปแล้ว ขาชาไปหมด จึงยืนพร้อมกับอุ้มเตียวเตียวขึ้นมาด้วย “เธอชอบน้าซูมากเลยเหรอ?”
เตียวเตียวอยู่ในอ้อมแขนเธอ พยักหน้าเหมือนกับกำลังตำกระเทียม “ต้องชอบแน่นอนอยู่แล้ว! ผมไม่ได้เพียงแค่ชอบน้าซู แต่ผมอยากให้น้าซูมาเป็นแม่ผมเลยด้วย!”
“ไม่ต้องคิดแล้ว แท้จริงแล้วเธอก็เป็น…”
คำพูดในหัวของโม่หว่านหว่าน พูดออกไปเพียงแค่ครึ่งเดียวก็หยุดพูดเพียงเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้ซูย้าวอธิบายกับลูกเองน่าจะดีกว่า!
เธอเม้มปาก ลูบใบหน้าเล็กรูปไข่อันนุ่มนิ่มของเด็กน้อย พร้อมกับพูด “เตียวเตียวอ่ะ เธอเรียกฉันว่าแม่บุญธรรมก่อนหน่อยได้ไหม?”
เตียวเตียวปิดปากเล็กๆ นั้น “ไม่เรียกไม่ได้ใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านพยักหน้า “ฉันอยากฟัง”
เด็กน้อยใช้สองมือเกี่ยวคอเธอไว้ พร้อมทำหน้าคิดหนักอยู่นาน อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาหนึ่งคำแต่แทบจะทำให้โม่หว่านหว่านสำลักออกมา
“ไม่!”
เพียงแค่คำเดียว ก็ทำให้โม่หว่านหว่านประหลาดใจ
เตียวเตียวพูด “ผมอยากรอให้ถึงวันที่ผมสามารถเรียกน้าซูว่าแม่ได้ ผมถึงจะเรียกน้าว่าแม่บุญธรรม อย่างนั้นจะดีกว่า”
โม่หว่านหว่านได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับยื่นหน้าไปถูกับปลายจมูกของเด็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้นี่ฉลาดจริงๆ ได้เลย ตามใจเธอเลย เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วฉันก็เป็นแม่บุญธรรมอยู่ดี”
ภาพทิวทัศน์ของสุดสายปลายถนน คฤหาสน์สีขาวราวกับปราสาท ตั้งตระหง่านสง่าโดดเด่นอยู่
ยิ่งโดยเฉพาะเวลานี้ฤดูนี้ ศาลาที่อยู่ข้างลานบ้านรวมทั้งภูเขาจำลองและต้นไม้เขียวขจีอุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามมาหลายปีนั้นทำให้ที่พักอาศัยทั้งหลังนี้ดูเงียบสงบและน่ายำเกรง
ในความสง่างามนั้น สงบเงียบและมั่นคง ใกล้เคียงกับอารมณ์ของคนที่อยู่
ในห้องรับแขกที่สุดแสนจะหรูหรา หานฉ่ายหลิงที่อยู่ในชุดลำลอง กำลังรีบเร่งอยู่ในนั้น
และมีพี่เลี้ยงอยู่สองสามคนดูแลช่วยลงมือทำอาหาร เธอลงมือทำอาหารเองสองสามจาน วางไว้บนโต๊ะอาหารแล้วชะโงกหน้ามองออกจากห้องรับแขก มองเห็นเขายังคงนั่งอ่านพร้อมพลิกหน้าหนังสือไปอย่างช้าๆ อยู่บนโซฟา เห็นเช่นนั้นรอยยิ้มที่สวยงามและอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ พร้อมพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เฉินซี ได้เวลากินข้าวแล้ว!”
เมื่อเขาได้ยินเสียงนั้น ก็วางหนังสือในมือลง ค่อยๆ ยืดตัวขึ้น พร้อมเดินตรงไปทางห้องอาหาร
พี่เลี้ยงจัดวางอาหารอันน่าทานอีกสองสามอย่าง จัดวางอุปกรณ์ทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไป
แล้วในห้องอาหารใหญ่ก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน หานฉ่ายหลิงระมัดระวังเป็นพิเศษกลัวจะทำอะไรส่งเสียงออกมา เธอกวาดสายตามองไปที่เขาด้วยความเสน่ห์หาและเขินอาย
พรุ่งนี้คือพิธีแต่งงานที่เธอรอคอยมาแสนนาน
เพื่อวันนี้แล้ว เธอตั้งตารอมาหลายปีและต้องทุ่มเทเสียสละไปไม่น้อย
ในความขมขื่นและทุกข์ทนมากมาย เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนหลากหลายรสชาติ หานฉ่ายหลิงไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้ จึงรีบปรับอารมณ์ของตัวเองพร้อมหันไปทางเขาที่กำลังเดินมา “เฉินซี มาลองชิมนี่ ฉันทำเองกับมือ…”
ไม่ปล่อยให้เธอพูดจบ ลี่เฉินซีก็ปัดมือเธอทิ้งไป พร้อมหันตัวเดินไปทางด้านข้าง
ทำให้มีเสียงสาดกระเด็นเกิดขึ้น ดังจากห้องอาหารใหญ่ออกไปจนถึงด้านนอก ไฟทั้งหมดดับลง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ห้องยังสว่างจ้าราวกับตอนกลางวัน แต่ในเวลานี้กลับมืดสลัว
หานฉ่ายหลังตะลึงอยู่ที่เดิม ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะปรับสายตาให้เข้ากับห้องมืดนี้ได้ พร้อมหันมองไปทางเขา “ไฟดับได้ยังไง?”
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินไปทางข้างโต๊ะอาหารอย่างไม่รีบร้อน แล้วเสียงจุดไม้ขีดไฟก็ดังขึ้น ‘ซือ’ เพื่อสำหรับจุดเทียนไข
เพียงแป๊บเดียว เทียนไขก็ค่อยๆ ถูกจุดขึ้นทีละเล่ม ทีละเล่ม
ในห้องมืดสลัว ก็ค่อยๆ สว่างขึ้นตามเทียนที่ถูกจุด สีเหลืองสลัว และเงาที่สะท้อนอยู่นั้นกลับเป็นที่น่าพอใจ
หานฉ่ายหลิงเข้าใจจุดประสงค์ของเขาแล้ว จึงรีบไปช่วยเขาจุดไฟที่เหลืออยู่
แต่เพียงแต่แป๊บเดียว ทั้งสองก็จุดไฟจนครบ ในห้องอาหารที่มีแสงเทียนสิบกว่าเล่มนั้นทำให้ความสามารถในการมองเห็นที่ลดลงนั้น ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ ความอุ่นของเปลวเทียนก็สัมผัสเขาทั้งสอง และช่วยเสริมบรรยากาศรอบๆ
ลี่เฉินซีดึงมือของเธอมา แล้วทั้งสองก็นั่งลง ค่อยๆ ทานข้าว เขาจับมือเธอไม่ปล่อยและจ้องมองใบหาที่มีเสน่ห์นั้น
สายตาเยือกเย็นนั้นจ้องมองไปที่แก้มของเธอๆ แล้วสายตาก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำลง
กวาดตามองใบหน้าสวยสดงดงามนั้น เลื่อนลงไปยังคอบางระหง แล้วก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไป
ไล่มาหยุดอยู่ตรงมือของเธอและเขาที่กุมกันอยู่ ปากบางนั้นก็ขยับเล็กๆ “ฉ่ายหลิง”
หนักแน่นและนุ่มนวล เพียงแค่สองคำ น้ำเสียงที่ต่ำเย็นนั้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากเขาชวนให้หลงใหล ทำให้บรรยากาศนั้นมีเสน่ห์ไม่รู้จบ
หานฉ่ายหลิงกำลังเคลิบเคลิ้ม มองไปที่สายตาที่ช่างงดงามของเขา “อื้อ?”
“พวกเรารู้จักกันมานานแล้วใช่ไหม?” จู่ๆเขาก็ถามออกมา
หานฉ่ายหลิงงงเล็กน้อย และไม่ทันได้สังเกตอะไร เพียงแค่ยิ้มออกมา “แน่นอนว่านานมากแล้ว หลายปีแล้วนะ เฉินซี ทำไมอยู่ๆ ถึงถามขึ้นมาล่ะ?”
“ไม่มีอะไร” เขายื่นมือออกมา นิ้วเรียวบางนั้นยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าเธอเบาๆ พร้อมเอาผมทัดหลังหูให้เธอด้วยท่าทางอบอุ่น แต่ด้วยสายตาที่เยือกเย็นนั้น ทำให้ความรู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนไป “เพียงแต่แค่รู้สึกว่า ตั้งนานหลายปีแล้ว ยังไม่รู้จักเธอเลยจริงๆ ”
หานฉ่ายหลิงหวั่นใจกลัวอย่างไม่เคยคิดมาก่อน พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เขาไปค้นเจออะไรมาแล้วหรือเปล่า?
เป็นไปไม่ได้หรอก!
เรื่องลักพาตัวซีซีก็จบไปแล้ว เธอคืนซีซีให้ซูย้าวไปแล้ว
สำหรับที่เอาชาร์ลีมาขู่บังคับนั้น ซูย้าวคงไม่โง่ถึงขนาดบอกความจริงกับเขาหรอก เธอรู้จักผู้หญิงคนนั้นดี เพื่อลูกแล้วนั้น เธอสามารถละทิ้งได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งลี่เฉินซี
หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ซูย้าวต้องรับโทษเหรอ?
เรื่องนี้ จริงๆ เธอเพียงแค่ช่วยหลินหวั่นหญิง แต่ถึงอย่างไรก็ทำร้ายซูย้าวเข้าเต็มๆ สำหรับเธอแล้วก็ไม่ได้ส่งผลอะไร มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่ทำล่ะ?
และที่สำคัญ เขาก็ไม่มีหลักฐานหรอก!
ดังนั้น คงจะเป็นเพียงความคิดกังวลของเขาเองก็เท่านั้น หานฉ่ายหลิงคิดได้อย่างนั้น ก็วางใจลง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยิ่งอ่อนหวานอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่รู้จักเหรอ! แต่ว่าฉันนะรู้จักคุณดีเลยแหละ!”
เธอกุมมือเขาเอาไว้ ร่างบางนั้นค่อยๆ เกาะกุมแขนเขา “ไม่ต้องรีบร้อน พรุ่งนี้ตอนเช้าพวกเราก็จะจดทะเบียนกันแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นพิธีแต่งงาน รอหลังจากแต่งงานเสร็จก็ค่อยค่อยรู้จักกันนะ!”
“เอ๊ะ?” เขาส่งเสียงออกมาเบาๆ
หานฉ่ายหลิงเดาความหมายไม่ออก ปกติการกระทำและคำพูดของผู้ชายคนนี้ก็มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าลึกลับ เข้าใจยาก เดาได้อยาก เธอเม้มปากอย่างไม่ตั้งใจ “หลังจากพรุ่งนี้ไป ฉันก็จะเป็นภรรยาของคุณแล้ว เฉินซี ฉันรักคุณ…”
เธอพูด พร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง ปากแดงก่ำนั้นค่อยๆ โน้มลงไปที่เขา…