เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 520
หานฉ่ายหลิงพูดจาสะเปะสะปะ แต่การแสดงออกทางอารมณ์รุนแรง และคำพูดที่สับสนวุ่นวายสุดขีด มันไม่ได้ส่งผลกระทบความคิดเธอในตอนนี้เลยสักนิด
กล่าวได้ว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่เคยชัดเจนเหมือนวันนี้มาก่อน
ในที่สุดเธอก็ได้เห็นหัวใจชายคนนี้อย่างชัดเจน อย่างที่คิดไว้ สิ่งที่ไม่ได้รับ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดตลอดไป ถึงจะคิดถึง ถึงจะไม่ยอม ถึงจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยไปได้อย่างแท้จริง!
“คุณคิดว่าทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ ให้ฉันเข้าคุก คุณกับซูย้าวจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แก่เฒ่าไปด้วยกันอย่างมีความสุขเหรอ?”
เธอยิ้มเยาะส่ายหน้า สายตามีหมอกหนา เต็มไปด้วยความหนาแน่น ยิ่งมุ่งมั่นและโกรธเคืองยิ่งขึ้น “เป็นไปไม่ได้!”
“คุณกับซูย้าว ไม่มีทางได้คบกันตลอดไป ถึงคุณจะอยาก ถึงซูย้าวจะยอม ก็เป็นไปไม่ได้ อยากรู้ไหมว่าทำไม?”
เธอลุกขึ้นทันที เก้าอี้ด้านหลังล้มลงดัง ‘โครม’ ถูกผลักออกไปไกลเนื่องจากการเคลื่อนไหวกะทันหันของเธอ
หานฉ่ายหลิงมองลงมายังใบหน้าเย็นชาน่ากลัวของชายหนุ่ม ยิ้มอีกครั้ง ยิ้มงดงามยิ่งขึ้น และเศร้ายิ่งขึ้น “อยากรู้เหตุผลนี้ คุณตรวจสอบความผิดพลาดตัวเองก่อนเถอะ! อย่าทำร้ายผู้หญิงคนที่เคยติดต่อ เคยรู้สึกต่อคุณแบบนี้ นี่เป็นการกระทำของสุภาพบุรุษ และสิ่งที่คุณในฐานะผู้ชายควรทำ ลี่เฉินซี คุณไม่ใช่คนเลว คุณมันห่วยแตก!”
เธอพูดจบ ก็เดินไป
ด้านนอกมีตำรวจหญิงรออยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นเธอออกมา ก็ไม่พูดอะไร นำตัวเธอออกไปทันที
ลี่เฉินซีนั่งภายในห้องรับแขกคนเดียว ร่างยาวนั่งพิงเก้าอี้ ภายในครึ่งนาที ในหัวสมองเขาไม่มีความคิดอยู่เลย
ไม่ใช่เพราะการตอบสนองและคำพูดของหานฉ่ายหลิง แค่ประโยค ‘รอดูเถอะ เวรกรรมนี้เดี๋ยวมันก็มา!’ นั้นในคำพูดของเธอ
เขารู้ ตัวเองไม่เคยเป็นคนดีอะไร
ไม่ใช่แค่ด้านความรู้สึก ในด้านอื่นๆ เขาพูดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งอย่างแท้จริง ใช้คำว่า ‘ห่วยแตก’ มาบรรยายเขา ก็ไม่มากเกินไป
ดังนั้นเรื่องเวรกรรมอะไรนี่ แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเช่นกัน
แต่มักรู้สึกคำพูดหานฉ่ายหลิงมีความหมายอื่น นอกจากการตอบสนองหลากหลายของซูย้าวสองวันนี้ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก
เขาเดินออกไปข้างนอกทันที ขณะขึ้นรถ หวางอี้มองเขา เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางลังเลที่จะพูด ไม่แน่ใจอยู่นานมาก ไม่มีคำพูดที่ถูกต้อง พูดให้ถูกก็คือไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร
หลังจากลี่เฉินซีขึ้นรถ สองขาไขว่ห้างอย่างสง่างาม สายตาเย็นชาเหลือบมองหวางอี้ที่นั่งเบาะคนขับตรงหน้า พูดขึ้น “ว่ามาสิ”
หวางอี้ตกตะลึงเล็กน้อย หันข้างไปมองเจ้านายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร แต่เลือกที่จะยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับเขา
ลี่เฉินซีรับมาพลิกเปิด เมื่ออ่านมัน ดวงตาสงสัยก็เลิกขึ้นมาอีกครั้ง “นี่อะไร?”
“ประธานลี่ เรื่องที่คุณให้ผมสืบก่อนหน้านี้ ผมสืบได้คร่าวๆแล้ว คุณซูเหมือนกำลังตามหาเด็กอยู่ ก่อนหน้านี้เธอเจอหานต้าเฉิงโดยบังเอิญที่สนามบิน แล้วให้ชื่อและที่อยู่สถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งกับเธอ”
หวางอี้กล่าวต่อไป “ก่อนหน้านี้เราก็เคยตามหาหานต้าเฉิง สิ่งที่เขารู้ ก็พูดหมดแล้ว คุณซูกำลังตามหาคุณชายน้อย”
“อืม” ลี่เฉินซีรู้สึกหนักอึ้ง เขารู้ เธอห่วงใยเด็กมาก โดยเฉพาะเลือดเนื้อของตัวเอง ทิ้งไว้ข้างนอก ซูย้าวจะให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร!
ถ้าเป็นแค่เรื่องพวกนี้จริงๆ หวางอี้ก็คงไม่มีการตอบสนองแบบนี้ เขาว้าวุ่นใจอย่างไม่สบอารมณ์ สุดท้ายก็พูดขึ้นอีกครั้ง “คือ มีอีกเรื่องหนึ่ง คุณทำใจก่อนให้พร้อม”
ลี่เฉินซีเหลือบมองเขาอย่างใจร้อน “รีบพูด”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณซูอยู่ที่สถานกักกัน กัวหลินเคยไปตามหาเธอครั้งหนึ่ง ขณะที่พบกัน กัวหลินเคยให้เธอดื่มซุปชามหนึ่ง และซุปชามนั้นมันเติมอะไรบางอย่าง นี่คือเอกสารของผมที่สืบได้”
ลี่เฉินซีตกตะลึงทันที ดวงตาดำสนิทเกร็งแน่นขึ้น ก้มหน้าพลิกเอกสารอ่านอีกครั้ง มันคือเอกสารการตรวจสอบยาฉบับหนึ่งจริงๆ
ด้านบนสีดำเขียนบนกระดาษขาวอย่างชัดเจน
ยาแก้ปวดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เพราะอันตรายแอบแฝงในยาเสพติด จึงเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างชัดเจนภายในประเทศ หากปรากฏออกมา ก็จะถูกห้าม
หวางอี้เห็นสีหน้าเจ้านายหนังอึ้งครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกบรรยากาศภายในรถแคบกดดันขึ้นเรื่อยๆ ฝืนทนพูดขึ้นต่อ “ผมเคยถามผู้เชี่ยวชาญหลายคน ยาประเภทนี้ พอใช้ไปแล้ว หลังจากผ่านระยะฟักตัว จะเกิดอาการติด และถ้าต้องการเลิกยา มันยิ่งยากขึ้นไปอีก”
“งั้นจะบอกว่าเธอใช้ยานี้เหรอ?” ขณะที่ลี่เฉินซีพูด ก็แทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ
หวางอี้พยักหน้า ในพริบตาเดียว ก็ได้ยินเสียงเจ้านายยกมือขึ้นดึงเนคไทออกด้วยสีหน้าขุ่นเคือง โยนเอกสารฉบับนั้นให้ตนอย่างรุนแรงโดยไม่ลังเลสักนิด
“กัวหลินล่ะ?” ลี่เฉินซีกัดฟันกรอด อดกลั้นความโกรธแค้นที่มีอยู่เต็มอกเอาไว้
นี่คือ ‘เวรกรรม’ ที่หานฉ่ายหลิงพูดใช่ไหม? ผู้หญิงบ้านั่น จะตายอยู่แล้ว ยังดึงซูย้าวมารับผิดแทนอีก ใช้ความรู้สึกคิดถึงอย่างยิ่งของซูย้าวที่มีต่อเด็ก บังคับให้เธอใช้ยาประเภทนี้!
นี่คิดจะทำลายเธอไปตลอดชีวิตเลยเหรอ?!
สิ่งสำคัญที่สุด ถ้านี่เป็น ‘เวรกรรม’ แล้วทำไมไม่มาหาเขาล่ะ? ให้ซูย้าวลิ้มรสความเจ็บปวดแบบนี้ทำไม!
หวางอี้ตกใจกลัวตัวสั่น กลืนน้ำลายไม่รู้ตัว เขาพูดขึ้น “กัวหลินยังหาไม่เจอ เหมือนเธอกับหานฉ่ายหลิงยังวางแผนไม่เสร็จ คนของตำรวจก็กำลังตามหากัวหลินอยู่!”
“ตามหาซะ!” หลังจากลี่เฉินซีพูดซ้ำหนึ่งคำอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นเลื่อนกระจกรถลงมา เขาแค่รู้สึกหน้าอกเขาหนักอึ้ง อุดอู้มาก เหมือนมีอะไรบางอย่างกดทับ เหมือนถูกใครบางคนจุดไฟ แค่รู้สึกในพริบตาเดียว หัวใจและปอดมันไหม้ เผาสติปัญญาโดยสมบูรณ์
ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนมีคนมาถลกหนังเลาะเส้นเอ็นเขาทั้งเป็น เลือดทุกหยดบนร่างกาย ทุกเซลล์ กำลังส่งเสียงร้อง กำลังระบายออกมา ทั้งหมดกำลังเผาไหม้!
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของเมือง ซูย้าวกำลังเดินออกมาจากอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่ง
จนกระทั่งเธอเดินมาถึงรถ ในหัวสมองเธอมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ความคิดว่างเปล่า
ในมือถือเอกสารฉบับนั้น ร่างกายสั่นอย่างคลุมเครือ
กว่าเธอจะไว้วางใจให้ใครสักคนไปตามหาผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์ เพราะสถานสงเคราะห์มันปิดตัวลงนานแล้ว ข้อมูลทางด้านผู้อำนวยการที่สามารถสืบหาได้ก็มีไม่มาก
หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว ผู้อำนวยการยอมช่วยเหลือเธอ ตามหาบันทึกการรับบุตรบุญธรรมของเด็กที่วัยสอดคล้องเมื่อสี่ปีก่อนของสถานสงเคราะห์ก่อนปิดตัวลง
เพราะสถานสงเคราะห์ปิดตัวลงแล้ว การกระทำนี้ของผู้อำนวยการก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว เด็กผู้ชายที่อายุเท่ากันประมาณสิบกว่าคนถูกรับเลี้ยงไปทีละคน
บันทึกเอกสารไม่ครบถ้วน อย่างไรแล้วมันก็สองสามปีแล้ว บางทีพ่อแม่บางคนอาจจะพาเด็กย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้
สิ่งสำคัญที่สุด และทำให้ซูย้าวปวดศีรษะมากที่สุด ก็คือเด็กสิบกว่าคน อายุตั้งแต่ห้าขวบและมีประสบการณ์ แทบจะเหมือนกับลูกที่สูญเสียไป
ต้องการตามหา มันสามารถบรรยายได้ด้วยคำว่ายาก!
เธอต้องยื่นคำขอแต่ละอย่างเพื่อตรวจDNAกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไหม? ถึงเธอจะทำแบบนี้ได้ แต่พวกพ่อแม่บุญธรรมของเด็กเหล่านั้นจะยินยอมหรือไม่?
เด็กที่ตัวเองเลี้ยงมา เลี้ยงดูมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้จู่ๆ มีผู้หญิงบอกว่าเป็นแม่แท้ๆมาหาถึงบ้าน พวกเขาจะยอมพาเด็กไปตรวจDNAแต่โดยดีเหรอ?
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไร้สาระเป็นพิเศษ
แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วจะทำอย่างไรกับลูกของเธอ?
หรือจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตดีหรือไม่ ก็ไม่รู้?
แบบนั้น ถึงเธอตายไป ก็นอนตายตาไม่หลับ!
เธอยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่นใจ อารมณ์ก็แปรปรวนตาม ยิ่งควบคุมไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกหลอนรางๆในร่างกาย เหมือนน้ำท่วมฉับพลัน บ้าคลั่งอีกครั้ง
ซูย้าวหายใจเข้าลึกๆ ต้องการพยายามยับยั้งความรู้สึกนี้ แต่ทุกครั้งที่อยากควบคุม ก็หยุดมันไม่ได้
การตอบสนองประเภทนี้เร็วมาก มันคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง มันยิ่งง่ายที่จะตามการแปรปรวนของอารมณ์เธอ และหาความแน่นอนไม่ได้
เธออดไม่ได้ และควบคุมไม่ได้ แขนสั่นไม่หยุด ค่อยๆยื่นออกไปยังกระเป๋าที่วางไว้เบาะนั่งผู้โดยสาร อย่างช้าๆ หยิบกล่องยาเล็กสีขาวออกมา
เทออกมาหนึ่งเม็ด แค่เม็ดเดียว ก็สามารถทำให้ความรู้สึกประเภทนี้หายไปอย่างสิ้นเชิง
การหายใจของเธอเริ่มไม่มั่นคง ทั้งร่างยิ่งประหม่ามากเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลตรงข้ามกับสิ่งที่หวัง แม้แต่การกระทำเรียบง่ายปกติ ในเวลานี้ก็ทำได้ไม่ดี
มือสั่นไม่ทำตามคำสั่ง เม็ดยากระทบกันในขวด เธอเม้มปากอย่างร้อนใจ ทันใดนั้นนอกหน้าต่างรถก็มีแขนทรงพลังแขนหนึ่งจับแขนเธอเอาไว้