เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 534
สวนหลังบ้านในฤดูหนาว ภูเขาเทียมที่ปกคลุมไปด้วยต้นสน ลมหนาวโชยมา ค่อนข้างเย็น
เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งงอนอยู่ในรถวีลแชร์ไฟฟ้า ใช้แรงบังคับรถวีลแชร์ให้หมุนอย่างไม่ยอมหยุด พยายามเหยียบก้อนหินที่อยู่ข้างล่างให้แหลก แล้วออกไปจากตรงนี้
ซูย้าวยืนมองอยู่ข้างๆเงียบๆ มองดูท่าทางของลูก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง และก็ไม่พูดอะไร
เธอเฝ้ามองดูแบบนี้อย่างเงียบๆ
ลี่เจิ้งทำคนเดียวอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงกระแทกแรงๆไปที่เท้าแขนของรถวีลแชร์ จากนั้นเงยหน้ามองไปทางซูย้าวอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า“คุณคิดจะทำอะไรอีก”
ซูย้าวมองดูเขา ด้วยสายตาเรียบๆ บนใบหน้าที่สะอาดหมดจดนั้นก็ไม่แสดงอาการใดๆ
ลี่เจิ้งมองดูเธอไม่พูดอะไร กัดริมฝีปากอย่างรู้สึกรำคาญเล็กน้อย “คุณได้กลายเป็นคนใบ้ไปแล้วหรือ พูดมาซิ คุณให้ผมอยู่ตรงนี้ ก็เพื่อจะพูดคุยกับผมไม่ใช่หรือ”
คนใบ้
เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครใช้คำนี้มาบรรยายถึงเธอ จู่ๆได้ยินจากปากของลูก ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และก็รู้สึกทะแม่งเล็กน้อย
เธอถอนหายใจเบาๆอย่างอ่อนแรง ก้าวเท้าเข้าใกล้โขลกหินใกล้ๆลูก แล้วนั่งลง“อยากจะคุยด้วย ดังนั้น หนูพูดก่อนซิ”
ลี่เจิ้งชะงักไป“ฮะ”
“บอกความไม่พอใจที่หนูมีต่อฉันออกมาให้หมด”ซูย้าวกล่าวเสียงเรียบ
เด็กตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่พอใจหรือ พูดออกมาให้หมดหรือ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขุ่นเคืองต่อ“ผมไม่ใช่คนโง่สักหน่อย คุณเห็นผมเป็นเด็กที่น่าล้อเล่นหรือ ให้ผมพูดก่อน จากนั้นรอพ่อผมมา คุณก็จะถือโอกาสแสร้งทำเป็นคนดี จงใจยุแยงความสัมพันธ์เราพ่อลูก”
ซูย้าว“……”
เธอมองดูลูกคนนี้ด้วยสายตาที่ซับซ้อนและหมดปัญญา เตือนตัวเองในใจอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นลูกแท้ๆของตัวเอง เธอติดค้างลูกคนนี้มาห้าปีแล้ว โทษเด็กไม่ได้……..
“ทำไมหนูถึงมีความคิดแบบนี้”ซูย้าวยกมือขึ้นอยากจะไปลูบหัวเขา แต่ถูกลี่เจิ้งหลบหลีกด้วยความรังเกียจ
มือของเธอลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ ดวงตานั้นถูกย้อมสีให้ยิ่งเข้มขึ้น“หนูอายุยังน้อย แต่ความคิดความอ่านนั้นนอกลู่นอกทางมาก อย่าพยายามโต้เถียงโดยไม่มีเหตุผลเลย หนูเพิ่งจะแปดขวบ ตอนนี้จะต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี แล้วกลับไปเรียนใหม่ ซ่อมบทเรียนที่ตกหล่นในครั้งก่อนกลับมาให้หมด ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่อยมาว่ากัน ”
เดิมที ซูย้าวมีคำพูดมากมาย อยากจะคุยกับลี่เจิ้งจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กคนนี้ ฟังคำพูดเหล่านี้ที่ออกจากปากน้อยๆของเขาแล้ว ปรากฏว่าคำพูดร้อยพันที่มาถึงริมฝีปากแล้ว ไม่รู้ควรจะพูดอะไร
ครุ่นคิดไปแล้ว ลูกยังเล็กจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติที่ผิดๆ หรือความคิด ล้วนยังมีโอกาสช่วยได้ ไม่จำเป็นต้องพูดรายละเอียดกับเขาในเรื่องดังกล่าว
สรุปแล้ว คงต้องค่อยเป็นค่อยไป ชั่วขณะนี้ เธอก็ไม่สามารถชดใช้เวลาห้าปีที่ติดค้างลูกคนนี้ได้ และก็ไม่สามารถทำให้เจิ้งเอ๋อเข้าใจและยอมรับเธอได้ในทันที ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ค่อยเป็นค่อยไป ต้องมีสักวันที่ลูกจะเข้าใจ
ด้วยความคิดนี้ ซูย้าวลุกขึ้นกำลังคิดจะเอาก้อนหินใต้ล้อรถวีลแชร์ออก แล้วเข็นเขากลับวิลล่า ทางด้านลี่เจิ้งเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเธอด้วยความขุ่นเคือง“ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไร”
ท่าทางซูย้าวชะงักไปเล็กน้อย เธอหลับตา แล้วเข็นเด็กเดินไปทางวิลล่า เดินไปด้วยพูดไปด้วยว่า“หนูต้องการจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรล่ะ”
นิ้วมือที่จับรถวีลแชร์ของลี่เจิ้งกระชับเข้าเล็กน้อย คำพูดออกมาถึงริมฝีปากแล้วก็เหมือนจะพูดและหยุดไป อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า“คุณจะอยู่ข้างกายผมไปตลอดหรือเปล่า”
ซูย้าวชะงักเท้าไปเล็กน้อย แล้วอ้อมมาตรงหน้าเด็กอีกครั้ง ก้มตัวนั่งยองๆ“หนูต้องการจะให้ฉันอยู่ข้างกายหนูตลอดไปไหม”
เด็กน้อยละสายตาจากเธอ ถึงแม้บนใบหน้าจะมีความดื้อรั้นบ้าง แต่ก็ดูออกว่าปากแข็ง
เธอเอื้อมมือไปลูบแก้มน้อยๆของเด็กน้อย “หากว่าวันหนึ่ง ฉันจะจากไป……”
ไม่รอให้ซูย้าวพูดต่อไปอีก จู่ๆ ลี่เจิ้งก็ตัดบทคำพูดของเธอ“พาผมไปไหม”
ซูย้าวชะงักไปเล็กน้อย และมองดูเด็กน้อยอย่างรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
“ผมไม่โทษคุณที่ทำไมคุณจากไปในตอนนั้น อาจจะเป็นจริงอย่างที่พ่อผมพูด ล้วนเป็นความผิดของเขา ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นปัญหาระหว่างพวกคุณซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่อยากจะไปก้าวก่ายและร่วมด้วย แต่ว่า คุณเป็นแม่ของผม ตอนนั้นคุณจะจากไป ทำไมไม่พาผมไปด้วยกัน ”นี่เป็นสิ่งที่ลี่เจิ้งรับไม่ได้ที่สุด
“ขอเพียงคุณพาผมไปด้วย ผมไม่สนว่าคุณจะมีน้องสาวน้อยหรือไม่ และก็ไม่สนว่าคุณจะปฏิบัติต่อผมอย่างไร สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ก็คือมีแม่อยู่ข้างกายผม”
เขาพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ยากที่จะควบคุมดวงตาที่แดงก่ำ และละอองน้ำที่ออกมาจากดวงตา
ซูย้าวตะลึงแล้วตะลึงอีก น้ำตาที่เป็นประกายระยิบระยับเอ่อล้นอยู่ในดวงตา ในที่สุดก็ไหลออกมาอาบแก้ม
ลี่เจิ้งยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มตัวเอง แล้วพูดต่อ“คุณทำได้ไหม หากผมยอมรับคุณแล้ว และก็ไม่สนใจทั้งหมดของห้าปีก่อน ถ้าอย่างนั้นต่อไปในอนาคตข้างหน้าหลายๆปี คุณจะอยู่ข้างกายผมตลอดไหม”
“ไม่ทิ้งผมไป เหมือนกับแม่ของคนอื่นเช่นนั้น อยู่กับผมตลอดไปไหม”
น้ำเสียงของเด็กน้อยอ่อนโยนลงมาก และก็อ่อนลงด้วย ดูแล้วเต็มไปด้วยคำถามที่พร่ำบ่นเล็กน้อย แต่ผสมปนเปด้วยความรู้สึกมากมาย ต่ำต้อยเหมือนมด
ซูย้าวถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ขณะที่ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาให้เขาก็พูดขึ้นว่า“เด็กโง่ แม่จะไม่เต็มใจอยู่กับหนูได้อย่างไร”
ลี่เจิ้งสูดจมูกอย่างรวดเร็ว แล้วคอน้อยๆก็เบือนหน้าหนี“นี่ไม่ใช่การพูดจาการเฉยๆ แต่ยังจะต้องดูการกระทำจริงด้วย”
ซูย้าวอดหัวเราะไม่ได้ พูดไปแล้ว เจิ้งเอ๋อก็ยังเต็มใจยอมรับเธอ
ขอเพียงแค่นี้ ก็พอแล้ว
เดิมทีเธอคิดจะลุกขึ้นเข็นเด็กเดินต่อ แต่ว่า เหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้อีก แล้วซูย้าวก็นั่งยองๆลงไปใหม่อีกครั้ง มองดูเขาด้วยสายตาที่สับสน “เจิ้งเอ๋อ แม่จะบอกอะไรบางอย่างกับหนู”
……
ตอนที่ซูย้าวเข็นลี่เจิ้งกลับมา ถึงแม้ใบหน้าเด็กน้อยจะยังคงมีความไม่เต็มใจ แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทีและสีหน้าดีกว่าก่อนมากแล้ว
แม้แต่ลี่เฉินซีก็รู้สึกงงงวย ดึงมือเธอไปข้างๆ แล้วกระซิบถามว่า“คุณพูดอะไรกับเด็กคนนี้หรือ รู้สึกว่าเขาไม่ปฏิเสธคุณมากขนาดนั้นแล้ว”
ซูย้าวยิ้มเล็กน้อย “อย่าลืมว่า ฉันคลอดเขามา เป็นลูกชายสุดที่รักของฉัน แล้วจะปฏิเสธฉันได้อย่างไรกัน”
ลี่เฉินซี“……”
เขาหันกลับมามองลูกชายที่เร่งเอาน้ำผลไม้กับพี่เลี้ยง แล้วคิ้วขมวด เป็นไปตามคาด เด็กคนนี้ใกล้ชิดกับแม่มากกว่าเขาที่ดูแลเลี้ยงดูมาห้าปี แต่ถูกคำพูดสองสามคำของซูย้าวเกลี้ยกล่อมจนได้
ซูย้าวก็มองมาทางเขาในเวลาที่เหมาะสม กุมมือเขานั่งลงโซฟา แล้วพูดว่า“มีเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าได้เวลาที่จะต้องพูดกับคุณแล้วเหมือนกัน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรหรือ”
“ฉันอยากย้ายออกไปสองสามวัน”ซูย้าวเปิดปาก แล้วมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาลังเลเล็กน้อย ตามคาด ยังไม่ทันได้พูดประโยคถัดมา ก็สังเกตเห็นใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซี ย่นขึ้นมา
เขาขัดขวางทันทีโดยไม่ได้คิด“ไม่ได้ ลูกกับผมล้วนอยู่ที่นี่ คุณยังจะย้ายไปไหน ไม่ได้เด็ดขาด”
ซูย้าวกัดริมฝีปากอย่างอ่อนแรง น้ำเสียงแหบแห้ง“สภาพฉันกำเริบตอนที่เลิกยาในครั้งก่อน คุณก็เห็นแล้วนี่ ตอนนั้นหากไม่ใช่คุณขวางไว้ ถ้าซีซีกับเตียวเตียวเห็นเข้า ลูกสองคนจะต้องตกใจกลัวอย่างแน่นอน ”
“เฉินซี ฉันพักอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะก่อนที่ร่างกายของฉันยังไม่ดีขึ้น จะทำให้จิตใจเด็กๆมีตราบาปและสร้างภาระตั้งแต่เด็กเพราะฉันไม่ได้เด็กขาด ”
สิ่งที่เธอพูดนั้นจริงใจอย่างยิ่ง และก็มีเหตุผลมากด้วย
ลี่เฉินซีคิดไปคิดมา แม้ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีความไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับเงียบๆ“ก็ได้ ผมจะจัดการเอง”
เรื่องนี้จะต้องรีบจัดการจะชักช้าไม่ได้ เขาลุกขึ้นไปโทรศัพท์ ซูย้าวก็ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของของตัวเองที่ชั้นบน
เพราะไม่แน่ใจเวลาในการรักษาที่แน่นอน เพราะฉะนั้นจึงคำนวณคร่าวๆว่าประมาณครึ่งเดือนขึ้นไป เมื่อเก็บสัมภาระแล้ว ลงมาชั้นล่าง ทางด้านลี่เฉินซีได้ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาเดินเข้ามารับกระเป๋าเดินทางใบน้อยไปจากมือของเธอ แขนเรียวยาวโอบเอวบางเธอไว้ “นอนโรงพยาบาลเถอะ ไปโรงพยาบาลที่คุณหมอหลี่อยู่ ส่วนรายละเอียดเฉพาะเจาะจงตามที่หมอจัดการ”
เธอพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา เนื่องจากทางด้านลูกๆ เธอได้ฝากฝังไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นยังไม่จำเป็นจะต้องบอกในขณะนี้ อีกอย่างหากนอนโรงพยาบาล ยังสามารถพบเจอลูกๆ ตามเวลาที่กำหนด
ทั้งสองก้าวเดินออกไปข้างนอก ขณะที่เดินผ่านห้องรับแขก ลี่เจิ้งที่นั่งอยู่บนรถวีลแชร์เหลือบมองซูย้าวแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆก็กล่าวขึ้นว่า“อย่างมากสิบวัน”
“เกินหนึ่งวัน ผมก็จะลากเด็กผู้หญิงคนนั้นออกไปขายไว้ในหุบเขา”
ลี่เฉินซี“……”