เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 544
หลังจากออกมาจากสถานกักกัน ทั้งอารมณ์ของซูย้าวจิตตกมาก
อยู่บนรถระหว่างที่กลับมา เธอก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตลอดทาง หันหน้าข้างมองบริเวณพืชสีเขียวที่ถอยหลังเรื่อยๆ ข้างนอกกระจกรถ ดูออกได้ว่าเอือมระอามาก
มีความเป็นไปได้ว่าหานฉ่ายหลิงจงใจพูดโกหก เนื่องจากจ้างฆาตกรสร้างอุบัติเหตุรถชนจนทำให้คุณแม่เสียชีวิต เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ไม่ใช่แค่ลงโทษเพิ่มอีกกี่ปีง่ายขนาดนี้แน่นอน ความผิดของเธอและระยะเวลาจำคุกในวันหลัง ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ส่วนหานฉ่ายหลิงก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าเธอรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ให้ตายก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด
ส่วนซูย้าวตอนนี้ยังขาดหลักฐานสำคัญในการเปิดเผยฆาตกร
พูดให้แม่นยำคือเอกสารที่สืบสวนมาได้ปรากฏว่าไม่รู้คนร้ายจริงๆ ตกลงเป็นใครกันแน่
มีแค่คนขับรถซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดคนเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าหายไปไหน ในกี่ปีนี้ ทางตำรวจประกาศจับคนขับรถคนนี้อยู่ตลอด แต่ไม่มีวี่แววสักทีเลย
เป็นไปได้ว่ามีผลหลายๆ อย่างเกิดขึ้นได้ และยังมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือคนร้ายไม่ใช่หานฉ่ายหลิง ซูย้าววินิจฉัยผิดตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ แล้วคนที่ทำให้คุณแม่เสียชีวิตในตอนนั้นเป็นใครกันแน่
เธอคิดยังไงก็คิดไม่ออก และยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวด้วย อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดระหว่างคิ้วหน่อย ผู้ชายข้างตัวกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดด้วยแขนเดียวอย่างตรงเวลา และยื่นมือนวดตรงขมับของเธอ “ปวดหัวเหรอ”
ซูย้าวพยักหน้าเบาๆ ที อาจจะรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้มันใกล้ชิดเกินไปแล้ว อยากจะลุกขึ้นหลบอย่างไม่ธรรมชาติ กลับถูกผู้ชาย“มีเรื่องในใจเหรอควบคุมเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง ”
เธอหลบสายตาเล็กน้อย ไม่รู้ควรพูดอะไร จึงไม่ได้ตอบกลับอะไรเลย
ลี่เฉินซีก้มหน้าลงมองเธอ “คือคุยกับหานฉ่ายหลิงไม่สบายใจเหรอ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วเหรอ”
ซูย้าวส่ายหัวโดยสัญชาตญาณ “ไม่ใช่ทั้งสอง”
เธอยังคิดไม่ได้ว่าควรบอกความจริงให้กับเขาหรือไม่ โดยสติให้เธอไม่ต้องบอก อาจจะเป็นเพราะเซ้นส์ของผู้หญิงกระมัง รู้สึกตลอดเลยว่าเรื่องนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเขา แต่โดยความรักแล้ว ทำให้คำพูดของเธอมาถึงปากโดยไม่ทันได้สังเกต
หลังจากลังเลแล้วเนิ่นนาน ซูย้าวยังคงเลือกปิดปากไว้ไม่บอก พูดแค่ว่า “ไม่มีอะไร แค่หาเธอคุยเรื่องอย่างอื่นนิดหน่อย ใช่แล้ว เด็กคนนั้นคุณสืบได้อะไรบ้างแล้ว มีข่าวหรือยัง”
พอพูดถึงเด็ก ทันใดนั้นใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีมืดครึ้มลงมา กางมือออกช้าๆ ปล่อยเธอออกมา จึงจะพูดว่า “อันนี้…ยังไม่มี”
เขาให้หวางอี้ส่งคนมากมายไปหาและสืบข่าว เริ่มจากสถานสงเคราะห์ที่เด็กถูกทิ้งในตอนนั้น มาจนถึงทุกบันทึกการรับเลี้ยงที่ตรงกับอายุ แต่ละอย่างล้วนสืบได้ละเอียดมาก
และก็ได้สืบเจอบันทึกที่ตรงกับอายุของเด็กหลายคนมาก แต่มักรู้สึกว่าไม่ว่าเด็กคนไหนก็อาจจะเป็นสายเลือดของพวกเขาได้ กลับไม่มีหลักฐานโดยตรง
ดำเนินกระบวนการทางกฎหมาย จำเป็นต้องขอความอนุญาตจากพ่อแม่บุญธรรมของเด็ก เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอนำไปตรวจ
แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ยากลำบากมากแล้ว
พ่อแม่บุญธรรมทุกคนปฏิเสธตั้งแต่แรกเลย จากนั้นก็จะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ และไม่พูดถึงอีก
มันก็ใช่อยู่ พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงเด็กมาตั้งห้าปีกว่าแล้ว เป็นไปได้ยังไงที่จะยอมสละเด็กในมือซึ่งเห็นว่าเป็นสมบัติมาตั้งนานแล้ว เพราะแค่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่อาจจะปรากฏตัวออกมาได้ทุกเมื่อ
ซูย้าวหันหน้าข้างมองเขา จับมือของเขาขึ้นมา ยิ้มปลอบใจเขา “อย่าใจร้อนเกินไปนะ เรื่องหาเด็กไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน ค่อยเป็นค่อยไปเหอะ!”
เธอก็เคยหามาหลายปีมากแล้วเช่นกัน โม่หว่านหว่านกับหลินโม่ป่ายก็ช่วยเธอหาเป็นส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยมีผลอะไรเลย
ถึงแม้ว่าลี่เฉินซีจะมีเส้นสายและอำนาจอยู่ในเมืองนี้ แต่ก็ไม่ใช่มีความสามารถในทุกทาง เรื่องแบบนี้ได้แต่ทำให้ดีที่สุด ส่วนอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วแต่ฟ้าลิขิต
สายตาลึกซึ้งของผู้ชายไปตกอยู่ที่เธอ ยื่นมือกอดเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้งหนึ่ง กอดไว้แน่นๆ “ผมรู้ว่าคุณกำลังปลอบใจผมอยู่ ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหน ผมจะหาลูกให้เจอแน่นอน”
“นั่นคือแก้วตาดวงใจที่คุณคลอดให้ผม ผมไม่มีทางให้เขาร่อนเร่อยู่ที่อื่นหรอก เชื่อผมนะ ให้เวลาผมอีกนิดหนึ่งก็ได้แล้ว”
ซูย้าวพยักหน้าแรงๆ “ได้”
เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา ค่อยๆ หลับตาลง
ระยะทางยาวนาน ใช้เวลาเยอะ บวกกับตัวซูย้าวเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วด้วย กลับนอนหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว
รอรถยนต์มาถึงบ้านใหญ่ หวางอี้จอดรถอยู่ในลานบ้านให้นิ่ง จากนั้นหันหลังมองไปที่เจ้านาย ก็เห็นลี่เฉินซีกำลังกอดซูย้าวที่นอนหลับอยู่ ร่างสูงใหญ่ไม่เคลื่อนไหวเลย กอดคนในอ้อมแขนแน่นๆ เหมือนกลัวว่าตัวเองขยับแค่นิดเดียวก็อาจจะทำให้เธอตื่นได้อย่างนั้น
ลี่เฉินซีใช้หางตาเหลือบมองหวางอี้แวบหนึ่ง พูดอ่อนๆ ว่า “แกลงรถไปก่อน ไม่ต้องสนใจเรา”
หวางอี้พยักหน้าเบาๆ จากนั้นผลักประตูลงจากรถไป
ลี่เฉินซีก้มหน้ามองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขน ขมวดคิ้วที ถ้าเขาอุ้มเธอลงจากรถ กลัวว่าจะทำเธอตื่น ดังนั้นพิจารณาซ้ำๆ เอาเป็นว่าให้เธอนอนอีกสักพักก็ได้
ซูย้าวคิดไม่ถึงเลยว่าการที่นอนครั้งนี้ตัวเองจะนอนตั้งหลายชั่วโมง
พอตื่นมาอีกทีก็ใกล้พลบค่ำแล้ว
เธอขยี้ตาอย่างง่วงนอน เพิ่งจะสังเกตเห็นตัวเองยังพิงอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายอยู่ด้วยท่านั่งครึ่งนอนครึ่ง ส่วนลี่เฉินซีครึ่งตัวพิงอยู่เบาะข้างๆ ครึ่งตัวบนห้อยโหนประคองเธอไว้ ดูท่าทางไม่สบายตัวมากเลย
ซูย้าวรีบลุกขึ้นมา มองไปที่เขาอย่างอึ้ง “ทำไมไม่เรียกฉันตื่นอ่า”
เขากลับแค่ยิ้มเฉยๆ ยกมือขยี้ตรงบนหัวของเธอ “ถ้าทำคุณตื่นจะทำยังไง”
เธอหมดคำพูดแล้ว แค่เพราะกลัวทำเธอตื่น ฉะนั้นเขาจึงคงท่านี้ไว้ตลอดอย่างนั้นเหรอ
ซูย้าวไม่อยากพูดอะไรกับเขาอีก หันหลังลงจากรถ ประตูรถเพิ่งเปิดออก ก็รู้สึกว่าขาชานิดหน่อย ค่อยๆ ลงจากรถ รอสักครู่ถึงดีขึ้นมาหน่อย
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เห็นผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นยังไม่ได้ลงจากรถ ซูย้าวเดินอ้อมไป เปิดประตูรถฝั่งเขาออกมา “ทำไมไม่ลงรถ”
คำพูดเพิ่งถามออกมาจากปากก็อึ้งแล้ว
เพราะเธอเห็นตัวแข็งทื่อของผู้ชายไม่ขยับเลย เหมือนจะชาแล้ว
ซูย้าวอดหัวเราะไม่ไว้ กลับหัวเราะดังพรอดออกมา “ฉันช่วยประคองคุณเหอะ!”
ลี่เฉินซีพยักหน้าอย่างหมดหนทาง ปล่อยเธอประคองตัวเองลงจากรถ เนื่องจากตัวชาไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ดังนั้นเดินนานมากแล้ว จนถึงเข้ามาประตูทางเข้าก็ยังฟื้นฟูกลับมาสภาพเดิมไม่ได้เลย
ซูย้าวก็ไม่รู้สึกลำบาก ประคองเขาไว้ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าต่อ
ชั้นบนเสียงฝีเท้าวิ่งเต็มเหยียดดังลงมา เธอเงยหัวขึ้นเล็กน้อยก็เห็นซีซีกับเตียวเตียวแล้ว เด็กสองคนนี้วิ่งลงมาโดยที่ไม่ได้นัดกันไว้ “แม่กลับมาแล้ว!”
“คุณน้าหายป่วยหรือยัง” แววตาน้อยๆ ที่เป็นห่วงของเตียวเตียวส่งมาถึงทันที บนใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวใสมีความเป็นห่วงที่มิอาจอธิบายได้เขียนเต็มหน้า
ซูย้าวรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ก้มตัวจับหัวเล็กๆ ของเด็กสองคนเบาๆ “แม่ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้ที่ออกไปข้างนอกเพราะมีธุระนิดหน่อย จึงไม่ได้ไปโรงพยาบาล”
ซีซีพยักหน้าตามคำพูดของแม่ หางตาเหลือบไปมองลี่เฉินซีที่ยืนท่าแปลกๆ อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา “แล้วเขาเป็นอะไรอ่า ท่าทางดูแปลกๆ”
ลี่เฉินซี “…”
ซูย้าวก้มตัวอุ้มลูกสาวขึ้นมา “ซีซีอ่า แม่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ เขาคือพ่อของหนู ต้องเรียกว่าพ่อ”
ปากน้อยของซีซีป่องขึ้นมา เหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
ระหว่างคิ้วของซูย้าวขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไร หนูรู้ว่าเขาคือใคร แต่ตอนนี้หนูกำลังทดสอบเขาอยู่ เลยไม่เรียก” ซีซีดื้อรั้นมาก นิสัยของยัยนี่ดื้อดันทุรังตั้งแต่เด็กแล้ว
ถ้าเป็นเรื่องที่เธอเชื่อมั่น ไม่มีคนไหนสามารถห้ามได้ แม้แต่ซูย้าวก็ไม่ได้
ซูย้าวส่ายหัวยิ้มแห้งอย่างหมดหนทาง “ก็ได้ แล้วแต่หนูละกัน แต่ต้องรู้จักมารยาทนะ”
ซีซีพยักหน้าทันที และมองไปที่ลี่เฉินซีอีกครั้ง “แล้วนี่คุณเป็นอะไรเหรอ”
ซูย้าว “…”
ลี่เฉินซียิ้มเมื่อเห็นลูกสาว ขณะนี้เขาก็ดีขึ้นบ้างแล้ว ยื่นมือรับลูกมา “ซีซี พ่อไม่เป็นไรแล้ว แค่แม่เหนื่อยแล้ว พ่อกอดแม่นานเกินไป จนแขนชานิดหน่อยแค่นั้นเอง”
ซูย้าวใช้หางตาจ้องเขา อะไรก็บอกให้ลูกหมดจริงๆ!
ลี่เฉินซีกลับตั้งใจทำเป็นไม่เห็น และก้มหน้าดูเตียวเตียว “ตอนเย็นอยากกินอะไร หรือว่าพวกเราออกไปทานข้าวข้างนอกไหม เตียวเตียวกับซีซีอยากกินอะไรไหม”
เตียวเตียวตะลึง ถึงแม้จะดีใจมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร กลับมองไปที่ซีซี “ถามน้องสาวดีกว่า! ผมไม่มีปัญหา”
ซีซีคิดไปคิดมา “หนูอยากฟังของพี่ชาย รอพี่ชายกลับมาแล้วค่อยถามพี่ชาย”
ซูย้าวยิ้มมองลูกสองคน “พอแล้ว ก่อนที่พี่ชายจะกลับมา พวกเราขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ!”
เธอกำลังพูดอยู่ ก็รับซีซีมาจากในอ้อมแขนของลี่เฉินซี จับมือน้อยของเตียวเตียวขึ้นมา สามคนแม่ลูกก้าวเท้าขึ้นไปชั้นบน ผู้ชายอยู่รอชั้นล่างมองดูภาพนี้ ปากอันดูดีแอบมีความโค้งขึ้นมา