เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 55
บทที่ 55 เล่นได้สนุกจริงๆ
ตระกูลลี่เป็นคนกล้าพูดกล้าทำเสมอ
เจี่ยงเวินอี๋เพิ่งพูดเกี่ยวกับการหย่าร้างและในวันเดียวกันเธอก็ขับไล่ซูย้าวออกจากบ้านตระกูลลี่เลย
ข้างกายเธอไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าเดินทาง
สำหรับลูกก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เธอพาออกมาด้วย
ในคำพูดประเด็นต่างๆของเจี่ยงเวินอี๋ สำหรับลูกจะเป็นของใครและเงินชดใช้การเลี้ยงดูหลังหย่าร้างนั้นคงต้องรอซูย้าวยอมเซ็นชื่อลงนามก่อนถึงตกลงกันได้
เมื่อโม่หว่านหว่านขับรถผ่านมาแล้วเห็นซูย้าวยืนอยู่คนเดียวที่ริมถนนและมีกระเป๋าเดินทางสีขาวใบหนึ่งอยู่ข้างเธอ
“พระเจ้า!”
โม่หว่านหว่านรู้สึกตกใจมากและหยุดรถทันที จากนั้นก็ช่วยซูย้าวใส่กระเป๋าเข้าไปหลังรถและพาเธอเข้าไปในรถ
เธอจับมือซูย้าวไว้แน่นๆ แล้วมองหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น?”
ซูย้าวได้แต่ส่ายหัวอย่างสุดจะพรรณนา
เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง
ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอรู้เพียงว่าได้รับข้อความจากหานฉ่ายหลิง โดยข้อความได้บอกกับเธอว่าการประมูลบ้านใหญ่ตระกูลซูกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และขอให้เธอติดต่อกลับโดยเร็วที่สุด
แต่หลังจากที่เธอติดต่อกลับไป ทางหานฉ่ายหลิงก็เงียบหายไปและไม่ได้ติดต่อกลับเธอเลย
นับจากนั้นมาเธอก็ถูกเฉินซีกล่าวโทษและถูกเจี่ยงเวินอี๋ต่อว่าจนในที่สุดเธอก็ถูกไล่ออกจากตระกูลลี่
เธอนั่งอยู่เงียบๆด้วยความเศร้าหมอง ไม่รู้ว่าชีวิตคู่ที่เหลือของเธอจะจบลงแบบไหน
มอบความรักให้คนๆหนึ่งมาสิบกว่าปีแต่ไม่รู้ว่าจะได้อะไรคืนมา
ณ ขณะนั้น หัวใจของเธอก็เหมือนถูกบดขยี้เป็นผงและหายไปกับสายลม
โม่หว่านหว่านหายใจเข้าลึกๆและพยายามปลอบใจเธอ จนผ่านไปสักพักเธอถึงจะเริ่มค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของซูย้าว
เมื่อหลังจากฟังแล้วความโกรธในใจของเธอก็เริ่มลุกเป็นไฟทันที และเลือดทั่วร่างกายของเธอก็พลุ่งพล่านอย่างหยุดไม่อยู่
โม่หว่านหว่านขับรถส่งซูย้าวกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอก่อน และหลังจากเตรียมที่พักให้ซูย้าวเสร็จเธอก็กลับไปที่บ้านตระกูลลี่ต่อโดยอ้างว่าจะออกไปซื้อของ
ขณะที่โม่หว่านหว่านกำลังกดกริ่งประตูหน้าบ้าน เธอก็พยายามระงับอารมณ์ของตนเพื่อเตือนตัวเองว่าห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด
เมื่อแม่บ้านเปิดประตูให้เธอเข้าไปในบ้านก็ได้เห็นเจี่ยงเวินอี๋นั่งอยู่บนโซฟาด้วยความหยิ่งผยอง
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับโม่หว่านหว่านอย่างเย็นชา “เธอตั้งใจมาแก้ตัวให้ซูย้าวหรือว่ามาช่วยนางเก็บของล่ะ?”
โม่หว่านหว่านยังไม่ทันตอบ เจี่ยงเวินอี๋ก็รีบพูดต่อ “ถ้ามาแก้ตัวก็ไม่จำเป็นแล้วนะ ผู้หญิงแบบนี้ตระกูลลี่ของเรายอมรับไม่ได้หรอก! แต่ถ้ามาช่วยเก็บของก็ให้แม่บ้านพาเธอขึ้นไปชั้นบนเลย!”
การแสดงออกของ เจี่ยงเวินอี๋ค่อนข้างชัดเจนว่าเธออยากใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะให้ลี่เฉินซีและซูย้าวต้องหย่าร้างกัน เธอต้องการขจัดส่วนเกินออกไปและกู้หน้าบริษัทลี่ซื่อกลับมา แถมไม่พอยังเก็บหลานไว้ได้ มันช่างเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะเหลือเกิน
โม่หว่านหว่านมองหน้าเจี่ยงเวินอี๋และยิ้มอย่างเย็นชาแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเธอ
“ตามอายุของท่านแล้ว หนูควรเรียกท่านว่าคุณป้านะคะ และอีกอย่างถ้านับจากฝั่งซูย้าว แล้วหนูเรียกท่านว่าคุณป้าก็น่าจะฟังดูดีเหมือนกันนะคะ!”
เธอเริ่มพูดและน้ำเสียงกับสีหน้าของเธอก็เหมือนไม่มีเลศนัยใดๆ
เจี่ยงเวินอี๋ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและสบตาเธอ
“ท่านก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ทำไมการพูดการจาและการกระทำของท่านเหมือนไม่ได้ใช้สมองเลยคะ? คงไม่ต้องพูดถึงว่าซูย้าวและลี่เฉินซีจะคบกันต่อหรือต้องหย่ากันนะคะ เพราะมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณในฐานะแม่สามีเลยนะคะ ว่าไหม?”
โม่หว่านหว่านเป็นคนพูดจาฉะฉานมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และตั้งแต่ที่เรียนจบเธอก็ใช้การพูดเพื่อเป็นเครื่องมือทำมาหากินมาตลอด สำหรับความสามารถแบบนี้เมื่อมีโอกาสเธอจะไม่ใช้มันได้อย่างไร
ดังนั้น เจี่ยงเวินอี๋ยังไม่ทันเปิดปากพูดเธอก็รีบพูดต่อ……
“หนูอยากถามจริง สรุปแล้วว่าซูย้าวทำผิดอะไรเหรอคะ? หานฉ่ายหลิงต้องเสียบริษัทของเธอไปเพราะช่วยรักษาบ้านใหญ่ตระกูลซูของซูย้าวไว้ แต่นี่มันก็เป็นเรื่องของหานฉ่ายหลิงและซูย้าวสองคนนะคะ! พวกคุณเกี่ยวอะไรด้วย?”
“อีกอย่างหานฉ่ายหลิงก็เป็นแฟนเก่า เมื่อมีมือที่สามเข้ามาแทรกแซงระหว่างลูกชายของคุณกับลูกสะใภ้ของคุณ ในฐานะคนเป็นผู้อาวุโส คุณเห็นแล้วไม่ห้ามแต่ยังสนับสนุนด้วย หนูถามจริงๆนี่เป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ? ถ้าข่าวนี้ถูกแพร่กระจายออกไปคุณคิดว่าจะกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทลี่ซื่อไหม?”
“แล้วก็ ถ้าพวกคุณเจ็บใจแทนหานฉ่ายหลิงที่เสียบริษัทไป ทำไมพวกคุณไม่ใช้เงินของบริษัทลี่ซื่อชดเชยให้เธอเลยล่ะ! และอีกอย่างบริษัทลี่ซื่อของพวกคุณเป็นบริษัทแถวหน้าเลยนะคะ ข่าวบ้านใหญ่ตระกูลซูของซูย้าวที่จะถูกนำไปประมูลพวกคุณอ้างว่าเพิ่งรู้ได้ยังไง?”
ในทางกลับกัน บริษัทลี่ซื่อรู้ข่าวบ้านใหญ่ตระกูลซูของบริษัทซูซื่อจะถูกนำไปประมูลตั้งนานแล้ว แต่ทำไมไม่ยอมช่วยเลย?
เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว สิ่งที่เธอพูดนั้นก็จริงจนน่ากลัวเหมือนกันนะ
ดูเหมือนว่า ความคิดเรื่องการหย่านี้ถูกวางแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว และฉากที่แสดงในวันนี้ก็ได้ผ่านการวางแผนมาก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน
ปากใบเล็กๆของโม่หว่านหว่านก็เหมือนปืนกลที่ยิงไม่หยุด แม้เจี่ยงเวินอี๋จะรู้สึกโกรธมากแต่เธอก็ไม่มีโอกาสที่จะพูดแทรกได้เลย
“หนูรู้ว่าพวกคุณไม่ได้ชอบซูย้าวเลย และพวกคุณก็รู้ว่าเธอไม่มีญาติที่แท้จริงในบริษัทซูซื่อแล้วด้วย ดังนั้นแม้เธอจะถูกรังแกยังไงก็ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ แต่สำหรับบริษัทที่น่านับถืออย่างบริษัทลี่ซื่อกลับทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ แล้วจะไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอ?”
เมื่อนึกถึงซูย้าวถูกคนอื่นรังแก โม่หว่านหว่านก็รู้สึกโกรธและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
เพราะเธอสองคนเป็นดั่งพี่น้องกันมาตั้งแต่เด็ก และเธอไม่เคยเห็นซูย้าวต้องถูกรังแกและทนทุกข์กับเรื่องแบบนี้มาก่อน!
ผู้หญิงอย่างเธอต้องถูกแม่สามีไล่ออกจากบ้านเลยเหรอ ต้องยอมใจเจี่ยงเวินอี๋เลยจริงๆ!
“หนูจะเตือนพวกคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ หนูให้เวลาสามวัน สามวันเท่านั้น ถ้าบริษัทลี่ซื่อของพวกคุณยังไม่หาคนไปรับซูย้าวกลับมา อย่าหาว่าหนูไม่เกรงใจนะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หนูจะให้มันเป็นข่าวหน้าหนึ่ง!”
“ถ้าบริษัทลี่ซื่ออย่างพวกคุณยังไม่กลัวเสียชื่อเสียง แล้วคนธรรมดาอย่างพวกเรายังต้องกลัวอะไรอีก?”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่าทีการแสดงออกของโม่หว่านหว่านยังคงเป็นไปอย่างสงบ และเธอก็ควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีมาก
สุดท้ายเธอยิ้มให้กับสายตาที่ตกตะลึงของเจี่ยงเวินอี๋แล้วหันหน้าเดินจากไป
ถือได้ว่าโม่หว่านหว่านได้ระบายอารมณ์แทนซูย้าวแล้ว! แต่เธอก็ยังไม่พอใจและได้ขับรถไปยังบริษัทลี่ซื่อต่อ
ทันทีที่โม่หว่านหว่านขับรถไปถึงหน้าประตูบริษัทลี่ซื่อและเธอยังไม่ทันได้ลงจากรถ ก็ได้เห็นลี่เฉินซีกำลังเดินออกมาจากท่ามกลางผู้คนมากมาย
เขาเป็นชายร่างสูงและเป็นคนที่โดดเด่นในฝูงชนมาตลอด
และสิ่งที่เด่นชัดที่สุดนั้นก็คือผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขา
หานฉ่ายหลิงสวมชุดทำงานสีอ่อน ด้วยรูปร่างหน้าตาโฉมงามและดูมีเสน่ห์แบบนี้ เป็นที่ดึงดูดใจของผู้ชายทุกคนอย่างปฏิเสธไม่ได้
ทันใดนั้น หานฉ่ายหลิงไม่ทันระวัง รองเท้าส้นสูงของเธอก็ได้สะดุดและเธอกำลังจะล้มลงไป แต่ลี่เฉินซีที่เดินอยู่ข้างๆก็ได้พยุงตัวเธอไว้ทัน
ด้วยท่าทีที่เรียบง่าย แต่ผ่านการสบตาของทั้งสองก็ได้สื่อถือความเสน่ห์หาที่มีต่อกัน และโม่หว่านหว่านที่ได้เห็นฉากนี้ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้ทัน
เธอทนดูไม่ไหว จึงรีบเปิดประตูลงไป
“ลี่เฉินซี!”
เสียงแหลมคมของผู้หญิงดังขึ้น ชายร่างสูงคนนั้นก็หยุดเดิน และเมื่อเขาหันกลับมาก็ได้เห็นโม่หว่านหว่านกำลังเดินเข้าไปหาเขา
เธอถือโทรศัพท์มือถือไว้และสายตาจับจ้องไปที่ลี่เฉินซีกับหานฉ่ายหลิงแล้วเดินไปคุยกับพวกเขา “ประธานลี่ เป็นเกมที่สนุกจริงๆเลยนะ! ทางนั้นก็ไล่ภรรยาออกจากบ้าน ส่วนทางนี้ก็มาจุดถ่านไฟเก่า! เรื่องน่าสนใจแบบนี้ไม่กลัวถูกเปิดเผยให้คนอื่นรู้เหรอ?”
โม่หว่านหว่านพูดจาประชดประชันโดยไม่สนใจคนใส่ชุดสูทและรองเท้าหนังที่ยืนอยู่ข้างลี่เฉินซี คำพูดของเธอเย็นชาและเสียดสีราวกับมีดอาบยาพิษที่บาดใส่ศัตรู
ใบหน้าที่หล่อเหลาของลี่เฉินซีเคร่งขรึมขึ้นทันทีแล้วเขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอพูดเรื่องอะไร?”
หานฉ่ายหลิงก็ได้ถามอย่างสงสัยเช่นกัน “นั่นสิ คุณโม่ เมื่อกี้คุณบอกว่าไล่ภรรยาออกจากบ้าน มันหมายถึงอะไร?”