เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 556
บริเวณถนนสายยาว มีวิลล่าสีขาวนวลราวกับปราสาทตั้งตระหง่านอยู่อย่างสง่างาม ในยามค่ำคืน ลานภายในสว่างไสวไปด้วยแสงไฟราวกับดวงดาวระยิบระยับ
เมื่อลี่เฉินซีเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็พบเข้ากลับเจี่ยงเวินอี๋ เนื่องจากว่าเธอนั่งหันหลังให้จึงไม่อาจทำให้มองเห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่ได้อย่างชัดเจนเท่าไรนัก เขามองเห็นได้เพียงด้านหลังเท่านั้น ผู้หญิงที่เฉียบแหลมและดุดันในอดีต ถูกกาลเวลาขัดเกลาอยู่หลายปี ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเวลา ที่บริเวณโคนผมของเธอถูกย้อมไปด้วยสีไหมเงิน
ดวงตาของเขาดูมืดมนลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินเข้าไป เขายังไม่ทันที่จะพูดขึ้นว่า “แม่” แต่เจี่ยงเวินอี๋กลับเอ่ยถามเขาขึ้นมาก่อนว่า “ซีซีล่ะ อยู่ที่ไหน?”
เห็นได้ชัดว่าท่าทางของลี่เฉินซีตึงเครียดขึ้นทันที ประโยคเมื่อครู่ที่เขากำลังจะเอ่ยออกมาจึงทำได้เพียงกลืนมันลงคอไป
เจี่ยงเวินอี๋เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอยังคงสงบนิ่งดังเดิม ดวงตาคู่นั่นจ้องมองมาที่เขาก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ตั้งใจจะปิดบังกันไปถึงเมื่อไหร่?”
ดวงตาของลี่เฉินซีมืดมนลงเล็กน้อย คิ้วอันได้รูปของเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน ก่อนที่จะพูดด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อยว่า “แม่ครับ……”
เขายังไม่ทันจะพูดจบ เจี่ยงเวินอี๋ก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป จึงได้เอ่ยถามออกมาตรงๆว่า “เป็นเพราะเด็กเตียวเตียวนั่น ใช่ไหม?”
ลี่เฉินซีชะงักไปครู่หนึ่ง เดิมที่เขาคิดว่าแม่หมายถึง……
“นับตั้งแต่ที่แกเข้าไปพัวพันกับซูย้าว และยกเลิกสัญญาแต่งงานกับหานฉ่ายหลิง แม่ก็ได้ให้คนไปตรวจสอบข้อมูลของเด็กเตียวเตียวคนนี้ ก็แค่เด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ และถูกซูย้าวรับเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม
เจี่ยงเวินอี๋พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงดูสงบนิ่ง แต่ภายในนั้นแฝงไปด้วยคลื่นมากมาย
“หากเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งก็แล้วไป ตระกูลลี่จะเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นอีกสักคนก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงเด็กธรรมดาเท่านั้นจริงๆเหรอ?”
เดิมทีเจี่ยงเวินอี๋ไม่อยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีคนเล่าถึงเรื่องการกระทำทุกสิ่งอย่างของเตียวเตียวให้แก่เธอฟัง เธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก
เนื่องจากเด็กคนหนึ่งต่อให้เฉลียวฉลาดสักเพียงใดก็เป็นเพียงแค่เด็ก แค่เลี้ยงจนเติบใหญ่ก็จบเรื่องแล้ว
แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงนั่นก็คือ การวางเฉยของเธอนั้นจะทำให้หลานสาวของตนต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่หลวง!
เธอไม่อาจจะอดทนต่อไปได้อีกแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืน สีหน้าของเธอเย็นชาแล้วพูดว่า “ซีซีเป็นลูกสาวแท้ๆของแกนะ! และก็เป็นหลานสาวของฉันด้วย ถ้าหากว่าซีซีเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ แก……”
หัวใจของเจี่ยงเวินอี๋สั่นไหว เธอยกมือขึ้นกลุ้มหน้าอกเอาไว้และไม่อาจพูดต่อไปได้อีก ลี่เฉินซีรีบวิ่งเข้าไปประคองเธอนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเย็นชา เก็บอารมณ์ความโกรธเอาไว้ว่า “แม่ครับ แม่พักผ่อนก่อนนะ เรื่องของซีซีผมจะจัดการให้อย่างแน่นอน เธอจะไม่เป็นอะไรหรอก”
ทันทีที่สิ้นเสียงลง เจี่ยงเวินอี๋ก็ยกมือขึ้นและสะบัดมือของลี่เฉินซีที่เข้ามาพยุงเอาไว้ก่อนจะตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า “อะไรคือไม่เป็นอะไร? เธอถูกคนลักพาตัวไปนี่ยังเรียกว่าไม่เป็นไรอีกงั้นหรือ?”
เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าเพราะอะไร ใบหน้าอันเต็มไปด้วยความโมโหจนไม่น่ามองนั้นจ้องไปที่เขาอย่างเกลียดชัง “ก็แค่เตียวเตียวไม่ใช่หรือไง? ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ เด็กคนนี้จะสำคัญไปกว่าเลือดเนื้อของแกหรือยังไง? พวกเขาต้องการตัวเด็กนั่นไม่ใช่รึไง ก็เอาไปให้สิแล้วแลกกับหลานสาวของฉันกลับมา แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่รึไง?!”
“แม่ครับ!” ลี่เฉินซีลดเสียงลงมันดูเยือกเย็นเล็กน้อย “เรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่แม่คิด อีกอย่างเตียวเตียวเป็นลูกบุญธรรมของซูย้าว ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนเธอ”
“ซูย้าวอีกแล้ว!”
เจี่ยงเวินอี๋กัดฟันกรอดๆ เธอโมโหเสียจนเนื้อตัวสั่นเทา “ทุกครั้งไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นขอแค่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้แกก็จะเป็นแบบนี้ไปเสียทุกที! ต่อให้เตียวเตียวเป็นลูกบุญธรรมของหล่อนแล้วยังไงล่ะ? ซีซีก็เป็นลูกในไส้ของแกเหมือนกัน! แกจะสละสิ่งอื่นสักเล็กน้อยเพื่อลูกของตัวเองแค่นี้ก็ทำไม่ได้หรือไง?”
ใบหน้าของลี่เฉินซีเคร่งขรึมขึ้นจนถึงที่สุด มันเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ความขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ การที่เจี่ยงเวินอี๋จะรู้สึกรักและหวงแหนหลานสาวของตนนั้น เขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ แต่ตอนนี้ จู่ๆ เมื่อได้พูดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ไฟในหัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งทะยานขึ้น……
เขาพยายามลดน้ำเสียงของตนเองลงและพูดอย่างเย็นชาเรียบง่ายว่า “เรื่องนี้ผมและซูย้าวจะจัดการเอง ซีซีจะไม่เป็นอะไรแน่ แม่พักผ่อนให้เพียงพอเถอะครับ”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและกำลังจะตะโกนเรียกพ่อบ้านมา แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กๆปรากฏขึ้นตรงข้างบันได
ลี่เฉินซีชะงักลงชั่วครู่ เจี่ยงเวินอี๋สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของเขาจึงได้มองไปตามสายตานั้น เมื่อพบร่างของเตียวเตียวยืนอยู่ที่นั่นเธอเองก็ชะงักลงเช่นกัน
ไม่ว่าท่าทางของเจี่ยงเวินอี๋จะเป็นอย่างไร แต่ท้ายที่สุดผู้ใหญ่และเด็กก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่ก็ไม่ควรจะไปลงกับเด็กตัวเล็กๆจริงหรือไม่?
เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นซับซ้อนขึ้นในทันที นำเสียงในลำคอของเธอตะกุกตะกัก “เอ่อ…… คือ……”
เธอพูดได้เพียงเท่านั้นอยู่เนิ่นนาน ก็ไม่อาจจะพูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้
ส่วนลี่เฉินซีได้รีบวิ่งเข้าไปรั้งเตียวเตียวเอาไว้ทันเวลา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เตียวเตียวครับ ลงมาข้างล่างทำไม? หิวหรือเปล่า?”
ตอนที่เขากำลังพูดออกมานั้น ร่างกายของเขาก็ได้เข้าไปใกล้เด็กน้อยและย่อตัวนั่งลงยองๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม “อยากกินอะไรดีครับ? เดี๋ยวลุงให้แม่บ้านทำให้……”
เตียวเตียวกะพริบตาสีดำกลมโตของเขาและมองไปที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง
ลี่เฉินซีเองก็จ้องไปที่เขาเช่นกัน ทั้งสองสบสายตากันอยู่สักครู่ ทุกคนหวังว่าสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้จะพูดออกมาจากปาก ยังคงเป็นความร้ายเดียงสา เช่นว่า หิว หรืออยากดื่มน้ำ อะไรก็ได้
แต่ธรรมชาติของเด็กทุกคนนั้นพวกเขาโกหกไม่เก่ง และไม่ชอบที่จะสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใหญ่อันซับซ้อนเหล่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่เตียวเตียวพูดออกมาจึงทำให้คนตกอกตกใจ
“คุณลุงครับ” น้ำเสียงของเตียวเตียวเสียงดังฟังชัดก้องกังวานหวานแหววราวกับน้ำหวานในฤดูใบไม้ผลิ เหมือนเสียงที่ตกลงมาจากฟากฟ้า “เป็นเพราะผม ซีซีถึงถูกคนลักพาตัวไปเหรอครับ?”
ดวงตาอันเย็นชาของลี่เฉินซีหดลงอย่างรวดเร็ว เขาชะงักและตกตะลึง
เตียวเตียวขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “คุณลุงครับ ผมอาจจะงี่เง่าแหละโง่เขลาอยู่บ้าง แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆว่า ที่ผ่านมากว่าผมจะโตมาจนถึงตอนนี้ก็ได้พบเจอกับผู้คนมากมาย ทุกคนถึงรังเกียจผม ไม่อยากได้ผมและทำเหมือนผมเป็นขยะ อยากจะกำจัดทิ้งไปเสีย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมีคนต้องการที่จะได้ตัวผม จึงจับตัวซีซีไปกันล่ะครับ?”
ในมุมมองของเด็กๆนั้น พวกเขาไม่อาจแยกแยะความคับแค้นใจระหว่างผู้ใหญ่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหานี้ เป็นปัญหาที่อธิบายค่อนข้างยากเมื่ออยู่ต่อหน้าเตียวเตียว
เขาเอียงศีรษะน้อยๆและพยายามครุ่นคิดอย่างจริงจัง เขาดูสงสัยอย่างเห็นได้ชัดและรู้สึกจากใจจริง “อย่างไรก็ตาม คุณน้าดีกับผมมาก และผมก็รักน้องสาวซีซีคนนี้มากเช่นกัน ถ้าพวกเขาต้องการตัวผม คุณลุงช่วยพาผมไปเปลี่ยนตัวน้องสาวกลับมาเถอะครับ”
เขายื่นมือสีขาวนวลน้อยๆนั้นออกไปจับกลับแขนของชายหนุ่ม เขย่าไปมาเล็กน้อยแล้วพูดต่อไปว่า “คุณลุงครับ พาผมไปเปลี่ยนตัวกับน้องสาวเถอะ การที่ผมได้เป็นลูกของคุณน้าและได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้นานขนาดนั้น ผมมีความสุขมากแล้วจริงๆครับ ผมไม่อยากจะทำร้ายคุณน้าหรือน้องสาว เพียงเพราะต้นเหตุมาจากผมอีกแล้ว……”
เสียงอ้อนวอนของเด็กน้องยังคงดังก้อง ราวกับน้ำพุใสที่ไหลลงสู่ลำธาร แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขา
ลี่เฉินซีขยับตัวเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นแล้วเอื้อมมือไปโอบเด็กชายตัวเล็กๆมาไว้ในอ้อมแขนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขากอดเจ้าหนูน้อยเอาไว้แน่น จากนั้นนำมือตบลงที่บ่าเบาๆแล้วตอบว่า “ลุงจะไม่เอาเราไปแลกกับน้องสาวมาหรอกครับ เตียวเตียว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหนูนะ ถ้ายังมีลุงอยู่ ซีซีก็จะไม่เป็นอะไรแน่”
“แต่ว่า……” ดูเหมือนเตียวเตียวกำลังจะพูดอะไรขึ้นมาอีก แต่ลี่เฉินซีก็ลุกขึ้นทันใดและอุ้มเขาขึ้นมาไว้
เด็กน้อยยังคงมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย ดวงตากลมโตคู่นั้นกะพริบและมองมาทางเขาอย่างเงียบๆ “ไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอครับ ซีซีเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไรและกลัวคนแปลกหน้ามาก ถ้าเธออยู่ข้างนอกคนเดียวเธอจะกลัวมาก คุณลุงครับผมอยากไปช่วยซีซีกลับมา……”
ลี่เฉินซีพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้งแล้วตอบว่า “แต่เตียวเตียวยังเล็ก เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของใหญ่ เตียวเตียวเป็นเด็กดีนะครับ ไปเล่นที่ชั้นบนกับพี่ชายก่อน ตกลงนะครับ?”
หลังจากที่เกลี้ยกล่อมเด็กน้อยขึ้นไปชั้นสองเรียบร้อยแล้ว เขาเองก็ได้เดินลงมาข้างล่างอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นและเยือกเย็นลง จากนั้นก็จ้องไปที่เจี่ยงเวินอี๋ สายตาเต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจน
จู่ๆ เจี่ยงเวินอี๋ก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เธอเองก็ขมวดคิ้วขึ้นและดูเคอะเขิน ก่อนจะพูดอย่างลังเลว่า “ฉันไม่คิดว่าเจ้าหนูจะลงมาได้ยินนี่!”
“พอได้แล้วครับ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” น้ำเสียงของเขาดูเยือกเย็นเผยให้เห็นว่าเป็นคำสั่ง
เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกใจร้อนขึ้นมาทันที ในขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ดังขึ้นตรงทางเดิน