เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 57
บทที่ 57 แม่หม้ายสาว
ลี่เฉินซีหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา นิ้วเย็นๆยังลูบเส้นผมบนหน้าผากของเธอ ความรู้สึกที่กดขี่อย่างรุนแรงยังคงอยู่ในสายตาอันแสนเย็นชาของเขา
หัวใจของซูย้าวก็สั่นสะเทือนเมื่อได้ยินคำว่า‘หย่า’จากปากเขา ในตอนนี้เธอทำได้เพียงมองตาที่แสนจะเย็นชาของเขาแล้วกำมือไว้แน่นๆ
“การแต่งงานของเราเป็นมายังไงคุณกับผมต่างก็รู้ดี ซูย้าว คุณยังเป็นสาวอยู่ คุณไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับตระกูลลี่และเสียเวลากับผมไปตลอดชีวิตหรอกนะ!”
คำพูดของลี่เฉินซีแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่ได้เพิ่งมาคิดเรื่องนี้ และบางทีทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันอาจจะเป็นเหตุบานปลายสำหรับเขาสองคนแล้ว!
สายตาที่เย็นเยือกคู่นั้นได้หันมองไปที่ดวงตาอันซับซ้อนของเธออีกครั้ง และใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “คุณลองคิดดูนะ ถ้าเราหย่ากัน คุณจะได้ทุกอย่างตามที่คุณขอ”
สำหรับลี่เฉินซีแล้ว จะเป็นคนค่อนข้างใจกว้างกับสิ่งของนอกกาย
ไม่ว่าจะยังไง เธอก็เคยเป็นผู้หญิงของเขาและยังให้กำเนิดลูกชายของเขาด้วย ก็ถือว่าเห็นแก่เจิ้งเอ๋อ เขาจะไม่เอาเปรียบซูย้าว
เขาสามารถให้ทุกอย่างที่เป็นสิ่งของนอกกายได้ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สามารถให้ได้ นั่นก็คือหัวใจของเขาเอง
เพราะนั่นเป็นสิ่งหวงห้ามสำหรับเขา แม้เธอจะคาดหวังก็ตามแต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้
ซูย้าวหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามจะซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจแต่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกนั้นได้จริงๆ
เธอส่ายหัวแล้วพยายามดิ้นรนเพื่อเดินหนีเขาอย่างสุภาพ
จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยภาษามือ “ฉันไม่เห็นด้วยกับการหย่าหรอก แม้เรื่องจะบานปลายขนาดนี้ แต่ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร! ฉันจะไม่หย่า!”
ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อยากให้เจิ้งเอ๋อต้องเป็นเด็กกำพร้า
ในฐานะแม่คนหนึ่ง สำหรับชีวิตคู่แล้ว สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือลูก
หลังจากพูดจบ เธอก็รีบหันหน้าแล้วเดินจากไปก่อนที่ลี่เฉินซีจะพูดอะไรอีก
เมื่อซูย้าวกลับไปถึงอพาร์ทเมนต์ โม่หว่านหว่านก็ได้เห็นเธอเดินเข้ามาอย่างหมดหวังและพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“ลี่เฉินซีมาขอหย่ากับเธอใช่ไหม?”
ที่เธอเดาได้ก็เพราะปฏิกิริยาของลี่เฉินซีได้แสดงออกให้เธอรู้แจ้งเห็นชัดในตอนที่ไปหาเขา
ซูย้าวนั่งเงยหน้าถอนหายใจอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆด้วยความทุกข์ใจ
“ยัยบื้อ ก็แค่ผู้ชายคนเดียวไม่ใช่เหรอ? จำเป็นต้องทรมานตัวเองขนาดนั้นเลยป่ะ?”
ในฐานะเป็นผู้ที่ได้เห็นความสัมพันธ์ของซูย้าวกับลี่เฉินซี มาตั้งแต่เริ่มต้น โม่หว่านหว่านก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้มาก เพราะสิบกว่าปีแล้วที่เธอทุ่มเทความรักและยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาโดยไม่เคยหวังอะไรเลย
แม้ว่าซูย้าวจะพูดไม่ได้ แต่เธอก็เป็นคนฉลาด และแม้เธอไม่เคยมีประสบการณ์ทางการตลาด แต่เธอก็มีความไวและความสามารถในการจำตัวเลขเป็นอย่างมาก และการคิดเลขในใจของเธอก็เป็นความสามารถโดยกำเนิดสำหรับเธอ
หลายปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่ซูย้าวจะแต่งงานกับลี่เฉินซี และในช่วงนั้นบริษัทลี่ซื่อได้รับผลกระทบจากวิกฤตฟองสบู่แตกของตลาดยุโรปและอเมริกา ซึ่งสงผลกระทบต่อแผนการตลาดของบริษัท และทำให้ผลประกอบการของทางบริษัทต้องตกอยู่ในระดับตกต่ำตามสถานการณ์ที่เลวร้ายในวันนั้น
ซูย้าวนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างเงียบๆคนเดียวและคอยควบคุมหุ้นยักษ์ใหญ่ของบริษัทในต่างประเทศหลายสิบแห่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน จนในที่สุดเธอก็ช่วยบริษัทลี่ซื่อผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้ แต่เนื่องจากเธอหักโหมมากเกินไปจนทำให้ร่างกายของเธอทนไม่ไหวและสุดท้ายต้องไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลกว่าครึ่งเดือน
ที่สำคัญคือสิ่งที่เธอทุ่มเทนั้น ลี่เฉินซีกลับไม่รับรู้อะไรเลย!
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นซูเปอร์แฮ็กเกอร์ที่น่ากลัวที่ในโลกอินเทอร์เน็ต และเป็นเบื้องหลังผู้ควบคุมโลกการเงินที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ต่อหน้าชายคนนี้แล้วเธอกลับไม่เผยความสามารถของตนและซ่อนทุกอย่างไว้เพื่อทำตัวเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่อ่อนแอคนหนึ่ง
สรุปแล้วทั้งหมดนี้ก็เพราะคำว่ารักคำเดียว!
รักจนเข้ากระดูกดำ
โม่หว่านหว่านรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่เธอให้ไปและที่ยิ่งไปกว่านั้นเธอเสียดายกับลี่เฉินซีที่ไม่รู้จักรักษาคุณค่าของผู้หญิงดีๆคนนี้!
เธอลูบไหล่ซูย้าวเบาๆและพยายามปลอบใจเธอด้วยความห่วงใย “อย่าคิดมากเลยนะ ถ้าเขาเป็นของเธอยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก ถ้าเธอกับเขามีวาสนากันจริงๆเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาเอง!”
ซูย้าวทุกข์ใจมาก แม้เธอจะรู้ว่ามันเป็นเพียงคำปลอบโยน แต่ ณ ตอนนี้ฟังแล้วก็มีผลต่อสภาพจิตใจมาก
“ถึงอย่างไร นอกจากเธอกับเขาแล้วก็ยังมีลูกอีกคนนะ!” ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรต้องเห็นแก่ลูกไม่ใช่หรือ? ถ้าต้องการหย่าจริงๆก็ควรต้องไปถามลี่เจิ้งบ้างสิ!
โม่หว่านหว่านหายใจเข้าลึกๆแล้วพูด “คืนนี้กินอะไรดี? เรามาสั่งอาหารกันเถอะ!”
แต่ซูย้าวจะมีอารมณ์กินข้าวซะที่ไหนล่ะ เธอได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนแรงและพยายามบอกโม่หว่านหว่านให้สั่งเองก่อน ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวดีกว่า
เพราะย้ายออกมาจากตระกูลลี่ จึงทำให้ซูย้าวไม่ได้พบลูกชายอีกเลย ความคิดถึงที่มีต่อลูกเหมือนหมองควันที่ลงมาปกคลุมเธอไว้ ทำให้เธอไม่อยากอาหารเลย นับวันก็ยิ่งผอมลงเรื่อยๆ
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันน้ำหนักเธอก็ลดลงมาก ใบหน้าเล็กๆของเธอนั้นก็ซีดหมองและดูอ่อนแรงเหลือเกิน เธออยู่แต่ในห้องไม่ไปไหน ได้แต่จ้องโทรศัพท์เหม่อลอยไปวันๆ
เธอได้แต่รอการติดต่อจากลี่เฉินซี ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือว่าเป็นคำพูดเพียงคำเดียวก็อาจจะทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้
เมื่อโม่หว่านหว่านเห็นสภาพเธอก็คิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ในที่สุดก็หาโอกาสพาเธอออกไปผ่อนคลายจนได้ เขาทั้งสองจึงไปเดินซื้อของในห้าง
แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้เห็นซูหยวนที่เพิ่งโยนกุญแจให้กับเด็กฝากรถในหน้าประตูห้างนั้น
เธอสวมชุดกระโปรงสีแดงสั้น ด้วยรูปร่างหน้าตาที่งดงาม เหมือนเจ้าหญิงที่เพิ่งเดินทะลุจอออกมา และทันทีที่เธอได้เห็นซูย้าวและโม่หว่านหว่านที่ยืนอยู่ไม่ไกล เสียงอันแหลมคมของเธอก็ได้ดังขึ้นทันที……
“คุณผู้หญิงลี่ไม่ใช่เหรอเนี่ย?”
เธอจงใจพูดคำว่า‘คุณผู้หญิงลี่’อย่างเสียงดัง ทันทีที่เธอพูดจบซูย้าวก็หยุดเดินทันที
ไม่ใช่เพราะคำว่า‘คุณผู้หญิงลี่’สามคำนี้ที่ทำให้เธอหยุดเดิน แต่เป็นเสียงที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กมากกว่าที่ทำให้เธอหยุดเดิน ซึ่งเธอไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือเสียงของซูหยวน
ซูหยวนใส่รองเท้าส้นสูงที่สูงกว่าสิบเซนติเมตร ด้วยท่าทีที่หยิ่งยโสและสายตาที่ดูถูกเดินเข้ามาคุยกับเธออย่างเย็นชา “นี่เธอยังมีอารมณ์มาเดินห้าง! เพิ่งเป็นแม่หม้ายไม่ใช่เหรอ? เธอไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ?”
โม่หว่านหว่านรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที แต่ซูย้าวรีบจับแขนเธอและห้ามเธอไว้
ซูย้าวไม่อยากสนใจซูหยวน ไม่ได้เพราะมีอคติกับเธอ แต่เธอไม่อยากทำให้ตัวเองต้องอารมณ์เสียมากกว่านี้อีก
เธอจุงมือโม่หว่านหว่านไว้แล้วหันหน้าเดินจากไป แต่ซูหยวนไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดไป เธอจึงรีบตามเข้าไปพูดต่อ “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? สักวันเธอต้องถูกพี่เฉินซีทิ้งแน่นอน! ดูสภาพเธอตอนนี้สิ จะคู่ควรกับพี่เฉินซีได้ยังไงกัน? ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเลยจริงๆ!”
หลังจากหยุดไปสักพักก็พูดต่อ “ครั้งก่อนฉันขอให้เธอช่วยเรื่องที่บ้านหน่อย แต่เธอกลับไม่เคยสนใจ เป็นยังไงล่ะทีนี้! ถูกตระกูลลี่ไล่ออกจากบ้านแล้ว ฉันจะคอยดูว่าตอนนี้เธอทำอะไรได้! สำหรับคนอย่างเธอน่ะ……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ ความโกรธในใจของโม่หว่านหว่านก็เกินจะทนไหวอีก เธอจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วตัดคำพูดของซูหยวนทันที “พอแล้วยัง?”
ซูหยวนสามารถกลั่นแกล้งซูย้าวที่เป็นคนจิตใจงดงามและเป็นคนใบ้คนนี้ได้ แต่เธอจะไม่กลัวโม่หว่านหว่านคนนี้ไม่ได้
ทันใดนั้น เธอตกตะลึงและเงียบลงอย่างรวดเร็ว
“พูดจบก็รีบไปให้พ้นเดี๋ยวนี้! ที่นี่ไม่มีใครอยากฟังเธอบ่น!” สำหรับคนแบบนี้โม่หว่านหว่านไม่เคยเกรงใจและให้เกียรติมาก่อน
ซูหยวนยังคงไม่พอใจและกัดฟันพูดอย่างดุเดือด “บ่นอะไรของเธอ? ฉันคุยกับน้องสาวของฉัน!”
“น้องสาว? ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเคยคิดว่าซูย้าวเป็นน้องสาวเธอเหรอ? อย่ามาล้อเล่นเลยน่ะ คิดเหรอว่าฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่? ซูหยวน ฉันไม่อยากพูดเรื่องของเธอ ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้น……”
โม่หว่านหว่านตั้งใจลากเสียงยาวแล้วหยุดพูดกระทันหัน เธอพยายามซ่อนบางอย่างในคำพูดที่ยังไม่ได้พูดออกมา
ดูเหมือนซูหยวนจะสังเกตและมีปฏิกิริยาบางอย่าง นัยน์ตาแสดงออกถึงความกระวนกระวาย “ฉันไม่อยากเสียเวลากับพวกเธอแล้วล่ะ! ผู้หญิงที่เป็นส่วนเกินในบ้านเขา น่าสงสารจริงๆ!”
หลังจากที่ระบายอารมณ์เสร็จเธอก็ชักสีหน้าใส่แล้วเดินจากไป
ซูย้าวมองไปที่ โม่หว่านหว่านด้วยความประหลาดใจ โดยไม่รอเธอตั้งคำถาม โม่หว่านหว่านก็รีบพูดต่อ “เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้เธอฟังทีหลังนะ! สำหรับความลับเล็กๆน้อยๆของซูหยวน……”