เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 570
รูปภาพ
นัยน์ตาที่มืดมนของลี่เฉินซีนั้นเย็นยะเยือก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปในวีแชท และใช่ เขาได้รับรูปถ่าย
พอกดเข้าไป ดูเหมือนกว่ารูปนี้พึ่งจะถ่ายได้ไม่นาน บนทางเดินที่ทอดยาว ซูย้าวกำลังเดินขึ้นไปด้านบน เป็นแค่เพียงการจับภาพมาเท่านั้น ทำให้ดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่ก็ยังพอจะแยกแยะเค้าโครงรูปร่างหน้าตาได้
ลี่เฉินซีเหลือบมองเพียงแวบเดียว จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังขึ้นว่า “เธออยู่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มปลายสาย ซึ่งมีแซ่ลี่เหมือนกัน เป็นญาติห่างๆ ของลี่เฉินซีในตระกูลลี่ และมีอายุพอๆ กันด้วย แต่เพราะในแง่ของความอาวุโสและความเคารพก็เลยต้องเรียกลี่เฉินซีว่าอาเล็ก
ช่วงไม่กี่ปีมานี้เขาได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หลังจากกลับมาแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ต่อมาพ่อแม่ของเขาเลยมาไหว้วาน เจี่ยงเวินอี๋ให้ช่วย เลยถูกลี่เฉินซีจัดการให้มาบริหารคลับรนเมา แห่งนี้ อีกอย่างนี่ยังเป็นหนึ่งในคลับระดับไฮเอนด์ที่ค่อนข้างใหญ่ของเมือง และยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อตระกูลลี่อีกด้วย
ชายหนุ่มอีกด้านรีบตอบกลับอย่างร้อนรนว่า “อยู่กับผมนี่ เดี๋ยวผมส่งเลขห้องรับรองให้คุณ เธอพึ่งจะมาได้ไม่นานนี่เอง เถ้าแก่อู๋ก็มาด้วย ไม่รู้ว่าสองคนนี้รู้จักกันได้ยังไง…”
นัยน์ตาของลี่เฉินซีเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขารีบวางโทรศัพท์ จากนั้นก็คว้าเสื้อสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้ลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เขาขึ้นรถ โทรศัพท์ของเขาก็ได้รับข้อความหมายเลขห้องรับรอง
ยังไม่ทันได้รอหวางอี้มา เขาก็ออกรถตรงไปยังคลับรนเมา ด้วยตัวเองเลยทันที
ตลอดทางเขาขับโดยใช้ความเร็วในระดับสูงสุด ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงคลับรนเมาแล้ว และเพราะตอนนี้เป็นตอนบ่าย ก็เลยยังไม่ค่อยมีแขกเท่าไร มีเพียงลูกค้าที่เมาค้างอยู่สองสามคนนั่งอยู่ที่ปลายบันไดเท่านั้น เขาเดินผ่านพนักงานเสิร์ฟเข้าไป ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนทันที
เขาเดินหาทีละห้อง และในที่สุดเขาก็เจอห้องสุดท้ายที่อยู่สุดริมทางเดิน
เขายืนอยู่ด้านนอกประตู และกำลังจะผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็มีสัมผัสหนึ่งมารั้งข้อมือและหยุดเขาเอาไว้ “อย่าเข้าไป!”
ลี่เฉินซีเหลือบมอง ที่แท้ก็เป็นลู่จื่อซี
สีหน้าของเธอดูประหม่าและมีท่าทีกระวนกระวาย ลมหายใจสั่นเครือ พอเห็นลี่เฉินซีจ้องมาเธอก็เอาแต่หลบสายตา ราวกับว่าเธอกำลังขวัญเสียเป็นอย่างมาก แม้แต่คำพูดที่เธอพูดออกมาก็ยังสั่นเบาๆ “อย่าเข้าไปนะจริงๆ!”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้ว เขาดึงหญิงสาวออกไปด้านข้าง ก่อนจะลดเสียงลง “ทำไม? คุณสังเกตเห็นอะไรงั้นเหรอ?”
พยักหน้าเบาๆ แต่ก็รีบส่ายหน้าไปมาอีกทีอย่างลังเล
ท่าทางที่เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ไม่เหมาะที่จะโกหกเขาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มยกริมฝีปากบางขึ้นเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ดูมีพลังกดดันและความคาดคั้นออกมา “พูดความจริง”
ลู่จื่อซีกลอกตาไปมาด้วยความกลัว รู้สึกว่าจะปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา หน้าจอสว่างขึ้น พร้อมกับที่เธอหันมันไปทางชายหนุ่ม
ลี่เฉินซีเหลือบตาไปมอง นั้ยน์ตาของเขาดูหม่นแสงลง
ในโทรศัพท์ของลู่จื่อซีปรากฏภาพภาพหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่ถูกแอบถ่ายจากมุมข้าง แต่สีหน้าท่าทางของบุคคลในภาพนั้นกลับชัดเจนอย่างไม่มีอะไรขวางกั้น
ในภาพนั้นซูย้าวนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทีที่อ่อนโยนของเธอในความทรงจำเขาดูเปลี่ยนไป เธอในตอนนี้ ดูเยือกเย็นและแข็งแกร่ง สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดก็คือมีดคมๆ ที่อยู่ในมือเธอนั้น ถูกฟาดลงมาตามแก้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ลี่เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาและท่าทางของลู่จื่อซีเขาหันหลังเดินกลับไปสองสามก้าว ยังไม่ทันได้เปิดประตูห้องรับรอง เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรงดังมาจากด้านใน
“อ๊าก!”
เป็นเสียงของผู้ชายที่ดูเหมือนกำลังเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ฟังจากเสียงแล้วสามารถพูดได้เลยว่าไม่มีอะไรน่าเวทนาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ยังผลักประตูเข้าไป
สถานการณ์ภายในห้อง ดูเหมือนว่ามันจะเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ชายสองคนยืนอยู่ข้างโซฟาทรงกลม พวกเขาดูหล่อเหลาแต่กลับมีใบหน้าที่เย็นชา ถึงแม้พวกเขาจะสวมสูทกับรองเท้าหนัง แต่โดยสัญชาตญาณแล้วแน่ใจได้เลยว่าพวกเขาต้องเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
แต่บนโซฟา มีร่างของซูย้าวนั่งอยู่ด้วยท่าทีที่เย็นชา เบื้องหน้าของเธอคือ เถ้าแก่อู๋ที่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างสั่นๆ ซึ่งคนที่ส่งเสียงคร่ำครวญออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือเขานั่นเอง
และสิ่งที่ทำให้ลี่เฉินซีตกใจมากกว่าเดินก็คือ ภาพของคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า มือของเถ้าแก่อู๋ถูกกดลงกับโต๊ะ ส่วนซูย้าวยกมีดคมๆ นั้นขึ้นมา แล้วแทงลงไปตรงฝ่ามือของชายหนุ่มตรงๆ
เลือดสดใหม่เจิ่งนองออกมา ก่อนจะไหลลงไปที่พื้น
เถ้าแก่อู๋เจ็บจนใบหน้าซีดเผือด เขาร้องครวญครางด้วยความทรมานอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็ไม่มีความเจ็บปวดไหนมาเทียบได้ จากนั้นเขาจึงหมดสติไป
สีหน้าของซูย้าวไม่ได้มีความผิดปกติอะไร ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ เธอแค่ดึงมีดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย จากนั้นก็เช็ดคราบเลือดด้วยกระดาษทิชชู ก่อนจะส่งไปให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชายคนนั้นรู้งาน ทั้งสองยกร่างที่บาดเจ็บของเถ้าแก่อู๋ขึ้น พร้อมกับพาออกไปจากห้องรับรอง
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านลี่เฉินซีไป ชายหนุ่มทั้งสองชำเลืองมองมาทางเขาอย่างดุดัน พวกเขาสบตากันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นชายทั้งสองก็พาร่างของเถ้าแก่อู๋ออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อีกเหมือนเดิม
ซูย้าวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องรับรองเพียงลำพัง ดูเหมือนจะผิดหวังนิดหน่อย เธอหยิบค็อกเทลบนโต๊ะขึ้นมาจิบเบาๆ หลังจากวางแก้วลงแล้วกวาดสายตามอง เธอก็เพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไกลๆ ตรงหน้าประตู
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปหาเขา พลางเช็ดมือที่ถูกย้อมเป็นสีแดงสดด้วยกระดาษทิชชู ใบหน้าที่บอบบางของเธอยังเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ดูต่างจากเมื่อครู่ที่โหดเหี้ยมและเย็นชา เธอในตอนนี้ดูมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยน ทั้งยังดูสดใสมาก
“บังเอิญจังเลยนะคะ” เธอพูดขึ้นเรียบๆ พร้อมกับโยนก้อนกระดาษที่เช็ดเลือดลงไปในถังขยะ “ทำไมคุณลี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ”
ลี่เฉินซีเหลือบมองเธอเบาๆ พลางหลุบตาลงต่ำสะกดอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดในแววตาเขา เหลือทิ้งเอาไว้แค่เพียงความลึกล้ำที่คาดเดาไม่ได้ “แล้วคุณล่ะ? คุณมาทำอะไรที่นี่?”
แล้วก็ต้องเหนือความคาดหมายของเขาอีกครั้ง คำตอบของเธอนั้นรวดเร็วและชัดเจน “จัดการอะไรบางอย่าง”
ถ้าเขาไม่ได้ยินน้ำเสียงที่สงบนิ่งแบบนี้ของเธอ เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยว่าซูย้าวที่อ่อนโยน ใจดี และไม่มีทางสู้ใครได้จะกลายมาเป็นแบบนี้!
แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้ เมื่อคืนนี้เถ้าแก่อู๋ทำร้ายร่างกายเธอ ไม่ใช่แค่ที่เธอไม่ทำอะไรเขาเลย แล้วเธอก็ยังดูไม่ถือโทษอะไรด้วย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขาเห็นเต็มสองตาว่าเธอเป็นคนทำ ซึ่งไม่แปลกที่เขาจะทั้งตกใจแล้วก็ประหลาดใจ
ซูย้าวดูเหมือนจะเห็นความสับสนบนใบหน้าของเขา เธอยิ้มออกมายิ้มเบาๆ “เป็นอะไรไป? คุณลี่ถูกทำให้ตกใจเหรอ?”
ขณะที่เธอพูดสายตาก็เหลือบมองไปด้านข้างโซฟาที่มีกองเลือดสีแดงสดเจิ่งนองอยู่ สีหน้าที่ดูไม่เป็นอันตรายกับใครยังคงอ่อนโยนอยู่ตลอด ซึ่งเธอก็ยังดูสวยเสมอ ไร้ริ้วรอยของกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปบนใบหน้าของเธอ มีแต่ความสวยงามแล้วก็น่ามอง
ประเด็นสำคัญคือ เธอใส่แค่กางเกงยีนธรรมดากับเสื้อยืดสีขาว ผมยาวของเธอถูกรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลัง ดูๆ ไปไม่เหมือนผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ในโลกนี้มาแล้วเลย เธอดูเหมือนนักเรียนคนหนึ่งที่ไร้เดียงสา
เธอเอียงคอมองหน้าเขาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าสวยๆ ของเธอ เผยให้เห็นฟันขาวทั้งสองข้างด้วย “ช่วยไม่ได้ คนอย่างฉัน เจ็บแล้วมันต้องเอาคืน”
ลี่เฉินซีพยายามอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป คว้าแขนข้างหนึ่งของเธอ จากนั้นก็ออกแรงดึงให้เธอมาอยู่ตรงหน้าเขา ซูย้าวตกใจมากแต่ก่อนที่เธอจะทันได้ทำอะไร นิ้วเย็นๆ ของชายหนุ่มก็สัมผัสกับบาดแผลที่แขนของเธอ
เขามองลงไปที่แผล ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียง “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”
เธอชะงัก “เอ่อ…”
ลี่เฉินซีมองดูผ้าพันแผลที่พันไว้แบบลวกๆ ของเธอ เขาค่อยๆ ดึงผ้าก๊อซออก แม้ว่าจะไม่มีเลือดออกแล้ว แต่ปากแผลก็ยังเปิดอยู่ ไม่มีรอยเย็บ ไม่มีการใส่ยา และบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยรอยบวมแดง
คิ้วของชายหนุ่มขมวดขึ้นทันที แววตาที่มืดมนของเขาจับจ้องมาที่เธอ หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ก้มลง เอาหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วก็อุ้มเธอพาดบ่า จากนั้นก็หันหลังกลับทันที
ซูย้าวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอทั้งดิ้น ทั้งฟาดแขนฟาดขาอย่างไม่สงบอยู่ในอ้อมแขนเขา ปากของเธอก็ท้วงออกมาว่า “ปล่อยฉันนะ คุณลี่ คุณเป็นถึงประธานเลย กลางวันแสกๆ คุณจะทำอะไรน่ะ?”