เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 589
เช้าวันต่อมา
ซูย้าวตื่นมาตอนเช้า ช่างเป็นคืนที่นอนหลับสนิท หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เธอก็ออกไปที่ระเบียง
มองดูตึกสูงที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ เธอยังไม่ได้เปลี่ยนชุดนอน ผมสีดำปลิวไสวราวกับน้ำตก เธอยกมือขึ้นสางผมเบาๆและค่อยๆหรี่ตาไปทางดวงอาทิตย์
อากาศดีเป็นพิเศษ แสงแดดสาดส่อง
และซูย้าวก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เหลืออีกสองวันก็จะได้ไปจากที่นี้แล้ว ได้เจอกับอากาศที่ดีแบบนี้ เธอกำลังคิดว่าจะออกไปเดินเล่นดีไหม เพราะการได้มาที่เมือง Aก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่นึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่ต้องทำ และเธอต้องไปทำด้วยตัวเอง เธอจึงล้มเลิกแผนการออกไปเดินเล่น
จัดการกับอารมณ์แล้วก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอน จู่ๆเธอก็เห็นหลินเจว๋ที่ผลักประตูเข้ามา ถาดในมือของเขามีนมอุ่นแก้วหนึ่งและยาสองสามเม็ด
เธอต้องกินยาทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอปลูกฝังมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ดูเหมือนว่าในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมานี้ การกินยาได้กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปแล้ว
ซูย้าวเดินไปหยิบยาจากถาดอย่างเป็นธรรมชาติ เอาใส่เข้าไปในปากแล้วยกนมดื่มลงไป
วางแก้วลงแล้วลืมตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอเห็นใบหน้าที่ซับซ้อน ลึกซึ้งและเคร่งขรึมของหลินเจว๋ ราวกับว่าเขามีอะไรจะพูดแต่กลับกระอึกกระอัก ท่าทางดูลำบากใจที่จะพูดออกมา
ซูย้าวขมวดคิ้ว เดินไปที่ห้องแต่งตัวแล้วแง้มประตูไว้ หลินเจว๋เดินตามเธอไปที่หน้าประตู จากนั้นก็ยืนนิ่งตามกฎระเบียบ
ไม่ต้องพูดว่าแง้มประตูไว้ ถึงแม้ว่าประตูจะเปิดอยู่เขาก็ไม่กล้าที่จะแอบมอง
นี่คือกฎระเบียบและความเคารพ
เขาติดตามอานเจียเย้นมาตั้งหลายปี กฎเล็กๆแบบนี้ถ้าไม่รู้ก็คงแย่
ผ่านไปสักพัก ซูย้าวเปลี่ยนเสื้อผ้าส่องกระจก เธอก็เหลือบไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยความเคารพ เธอจึงพูดออกไปว่า “อยากพูดอะไรก็พูด”
หลินเจว๋ได้รับอนุญาตแต่ก็ไม่กล้าหันหลังกลับ เขาก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “คุณหนู เอ่อ……ผมมีเรื่องจะบอกคุณ ก็คือกรรมการคนหนึ่งของบริษัทลี่ซื่อ จู่ๆก็ป่วยเข้าโรงพยาบาล ดูท่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
เขาจงใจใช้คำว่า’ดูท่า’คำนี้ แต่ซูย้าวจะไม่รู้ได้ยังไงว่า ถ้าเขาไม่ได้สืบค้นอย่างละเอียดมาแล้ว เขาจะกล้าพูดได้ยังไง
และยังจงใจใช้คำว่า’ดูท่า’คำนี้ ก็แค่อยากจะบอกเธอก็แค่นั้น
เธอไม่ได้สนใจแค่ถามกลับไปว่า “กรรมการคนไหน?”
“ลี่เหิงจิ่ว” สองสามคำนี้ หลินเจว๋พูดออกมาเสียงเบามาก
ซูย้าวตกใจ แม้แต่ท่าทางของการเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หยุดนิ่ง ผ่านไปพักหนึ่ง เธอก็รีบสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็วที่สุด ยังไม่ทันได้จดกระดุมก็ก้าวขาเดินออกมาจากห้องแต่งตัวทันทีที่ พอเดินออกไป เธอก็ยกมือขึ้นตบเข้าไปที่หน้าของเขาอย่างไม่คิดอะไรทีหนึ่ง
การเคลื่อนไหวที่กะทันหัน ดึงดูดให้อาตงที่กำลังยุ่งอยู่กับอาหารเช้าอยู่ข้างนอกรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าบรรยากาศผิดปกติ หัวใจของเขาก็เยือกเย็นชาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ดูจากการอยู่ด้วยกันสองปีที่ผ่านมา พวกเขาทั้งสองคนเงียบสุขุมาตลอด ซูย้าวก็เป็นคนเงียบๆ ดูแล้วไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงทั่วไป ถ้าจะให้พูดถึงความแตกต่าง งั้นก็คงจะเป็นหน้าตาที่สวยงามและออร่าของเธอ
ราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งอยู่กับเธอ มองไม่เห็นความแก่ลงเลยสักนิด หน้าตาก็ยังคงสวยงามเหมือนเดิม มีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงคิดว่า เธอคือคุณผู้หญิงในอนาคต พวกเขารักและเคารพเธอเป็นอย่างมาก
แต่เมื่ออยู่ด้วยกันไปนานๆมันก็ไม่ยากที่จะมองเห็นนิสัยที่แท้จริงของเธอ
โหดเหี้ยม เย็นชา กล้าหาญ และเลือดเย็น
ความโหดเหี้ยมในกระดูกของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายคนไหน เห็นว่าทุกวันเธอยิ้มหัวเราะ แต่หากรอยยิ้มนั้นมันไม่ได้ออกมาจากดวงตาของเธอ มันก็คือช่วงเวลาที่เธอน่ากลัวที่สุด
ราวกับตอนนี้
ถึงแม้ว่าซูย้าวจะลงไม้ลงมือ แต่เธอก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าอันสวยงานไม่เห็นร่องรอยของความโมโหเลยแม้แต่น้อย แต่แค่ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มันช่างเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และราวกับกองไฟ จ้องมองชายที่กำลังก้มหน้าลงอยู่ตรงหน้าเธอ
“ฉันบอกให้นายใช้วิธีธรรมดาๆชักชวนกรรมการทุกคนของบริษัทลี่ซื่อโอนหุ้นมาให้เรา นายทำอะไรลงไป?”
ได้ยินคำถามของเธอ ในใจของหลินเจว๋ก็รู้สึกเยือกเย็นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาพูดว่า “ผมทำตามที่คุณสั่งแล้วครับ”
“แล้วก็ทำให้ลี่เหิงจิ่ว อาสามของลี่เฉินซีเข้าโรงพยาบาล?” ซูย้าวถามกลับอย่างเย็นชา
หลินเจว๋ก็รู้ว่า วิธีของเขามันเกินไป เขารู้ว่าตัวเองผิด เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ก้มหน้ายอมรับผิด “เป็นความผิดของผมเอง! คุณหนู ผมขอโทษครับ!”
“นายรู้ไหมว่าคุณท่านลี่คนนี้ไม่มีลูกไม่มีหลาน หุ้นของเขาเป็นอันดับสองรองจากลี่เฉินซี ถ้าตอนนี้เขาเป็นอะไรไป แล้วหุ้นยังไม่อยู่ในมือของเรา ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามความประสงค์ของเขา นายคิดว่าในความประสงค์ของเขา เขาจะโอนหุ้นมาให้เราเหรอ?” ซูย้าวยังคงไม่สะทกสะท้าน เธอสงบนิ่งมาก แต่น้ำเสียงและคำพูดทุกคำของเธอมันราวกับมีดที่แหลมคม
ทันทีที่เธอพูดออกมาแบบนี้ อย่าว่าแต่หลินเจว๋ที่รู้สึกเสียใจ แม้แต่อาตงที่ยืนอยู่ข้างๆก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่!
ข้อมูลที่เกี่ยวกับลี่เหิงจิ่วคนนี้ ซูย้าวได้ส่งคนไปสืบค้นมาแล้วอย่างละเอียด และเธอก็บอกอาตงกับหลินเจว๋ล่วงหน้าแล้วว่า ให้เริ่มจัดการคนนี้ก่อน เดิมทีเขาเป็นคนของตระกูลลี่ และครอบครองหุ้นจำนวนมาก ถ้าเขายอมสั่นคอลน คนอื่นๆก็จะต้องสั่นคลอนตามเขาแน่นอน
หลินเจว๋รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องเข้าแล้วจริงๆ เขาก้มหน้าอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ผมขอโทษ ผมรีบไปจริงๆ ตาแก่คนนี้ทำยังไงก็ไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าผมเสนอราคาเท่าไรเขาก็ไม่ยอมเห็นด้วย ช่วยไม่ได้ ผมก็เลย……”
เขาไม่ได้พูดต่อ เขาคิดว่าถ้าเขาพูดตามความจริง คงจะยั่วซูย้าวโมโหแน่นๆ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูด ซูย้าวก็พอจะเดาออก “คุณลงไม้ลงมือ ข่มขู่เขา”
เมื่อก่อนหลินเจว๋เคยติดตามอานเจียเย้น เขาเข้าออกวงการธุรกิจมาแล้วหลายปี วิธีการของเขาแทบจะเหมือนๆกัน การที่ซูย้าวเดาออกก็เป็นเรื่องปกติ
“ผมผิดไปแล้วจริงๆ!” หลินเจว๋โน้มตัวขอโทษเธอและแอบถอนหายใจเบาๆ คุกเข่าลงบนพื้นช้าๆ ก้มหัวลงกับพื้น “คุณหนู ผมยอมรับผิด”
ซูย้าวไม่มองเขา เธอหันหลังไปนั่งบนโซฟา มีชามผลไม้ต่างๆบนโต๊ะกาแฟ และก็มีมีดผลไม้ที่แวววาววางอยู่ข้างๆ
เธอหยิบมันขึ้นมา ค่อยๆลากนิ้วขาวเรียวของเธอไปตามใบมีดที่แหลมคมและพูดเบาๆ “นายน่าจะรู้ใช่ไหม? เรื่องที่ฉันบอกให้นายไปทำ ถ้ามันเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม มันก็คือไม่ได้เรื่อง”
หลินเจว๋ยืดตัวขึ้นมา คุกเข่าสองข้างเข้าไปข้างหน้าโต๊ะกาแฟที่อยู่ข้างเธอ ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ผมรู้ครับ”
“แล้วจุดจบของการที่ทำงานไม่ได้เรื่องคืออะไรนายรู้ไหม?” ซูย้าวนิ่งเงียบ ในดวงตาที่เย็นชา ไม่มีอุณหภูมิแม้แต่ครึ่งเดียว
หลินเจว๋พยักหน้าอีกครั้ง “ผมรู้ครับ”
ซูย้าวเอนหลัง สะบัดมือได้ยินแค่เสียง”ปัง” มีดผลไม้ที่แวววาวด้ามนั้นก็ตกลงบนโต๊ะกาแฟ
อาตงเห็นแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว เดินเข้าไปโน้มตัวลงแล้วพูดว่า “คุณหนู ให้ผมจัดการดีกว่า!”
เขาพูดพร้อมกับหยิบมีดด้ามนั้นขึ้นมา เดินเข้าไปหาหลินเจว๋ ยกแขนขึ้นและถือมีดที่แหลมคมเล่มนั้น
เมื่อเขาแทงมีดลงก็ถูกขัดจังหวะ “ช่างมันก่อน”
ซูย้าวพูดแบบนี้ อาตงก็หยุดมือทันที
เธอมองดูผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ขาสองข้างที่เรียวยาวนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม “ที่นี่ไม่ใช่บ้าน พื้นเต็มไปด้วยเลือดมันจะจัดการยาก”
ได้ยินแบบนี้ หลินเจว๋ก็รู้เองโดยธรรมชาติว่าเธอกำลังให้โอกาสตัวเอง เขาอยากจะก้มหน้าขอบคุณเธอ แต่ยังไม่ทันได้พูดขอบคุณ ก็ได้ยินซูย้าวพูดอีกว่า “กลับบ้านแล้วค่อยจัดการนาย!”
จากนั้นเธอก็ส่งสายตาไปให้อาตงและพูดว่า “ไปเตรียมรถ ฉันจะไปโรงพยาบาล”
อาตงรีบรับปากและหันหลังเดินออกไป
ปล่อยให้หลินเจว๋คุกเข่าอยู่ที่เดิม ยืดตัวตรงแต่กลับตัวสั่นเล็กน้อย ซูย้าวก็ไม่ได้สนใจเขา เธอลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าแล้วเดินผ่านเขาไป