เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 78
บทที่ 78 ทำไมกันแน่
ตอนเที่ยง โอวหยางเช่อยุ่งจนเกือบเสร็จ และเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเอากุญแจเตรียมตัวเลิกงาน ประตูห้องก็ถูกผลักออก
หลินโม่ป่ายทำสีหน้าที่เย็นชาเข้ามา จากนั้นก็ทำนัยน์ตาที่เย็นชามาหาเขา แล้วพูดด้วยความโมโห “พี่ไปพูดอะไรกับซูย้าว? ”
โอวหยางเช่อนิ่งงันเล็กน้อย จากนั้นก็ถกเถียงกลับ “ฉันจะไปพูดอะไรได้! ก็แค่คำถามทั่วไปของหมอกับคนไข้เท่านั้น! ”
“คำถามทั่วไป? ถ้าแค่คำถามทั่วไป จู่ๆ ทำไมเธอถึงไม่ยอมเข้ารักการรักษาแล้วล่ะ? ” หลินโม่ป่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้กระทั่งนัยน์ตาก็เคล้าด้วยความเลือดเย็น
น้อยครั้งที่เขาจะเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าตั้งแต่ที่โอวหยางเช่อรู้จักเขามา ก็ไม่เคยเห็นหลินโม่ป่ายโมโหขนาดนี้! นิสัยของเขาดีจนทำให้คนรู้สึกตกตะลึง เขาอ่อนโยนดุจดั่งหยก ถ่อมตนและมีมารยาท เป็นนิสัยและเสน่ห์ของผู้ชายดีๆ
ทว่าพอเกี่ยวข้องกับเรื่องของซูย้าว เขาก็กลับกลายเป็นคนละคน
โอวหยางเช่อเครียดจนต้องขมวดคิ้ว จากนั้นก็โยนกุญแจในมือลงบนโต๊ะ “นายเป็นอะไรกันแน่? เธอไม่รักษาแล้วหรือไง? ”
“พี่รู้ไหม หลายปีมานี้ผมต้องเกลี้ยกล่อมเธอมากแค่ไหน ไม่ง่ายเลยที่เธอจะยอมรับการรักษา แต่กลับถูกคำพูดไม่กี่คำของพี่ ก็จะไม่รักษาแล้ว! โอวหยางเช่อ พี่ไปพูดอะไรกับเธอกันแน่! ”
โอวหยางเช่อพยักไหล่อย่างประหม่า จากนั้นก็เดินวนรอบๆ เรือนร่างสูงใหญ่นี้ แล้วเอาผลตรวจของซูย้าวออกจากลิ้นชัก หนึ่งในนั้นก็คือผลตรวจแต่ก่อน เขาก็ได้ยื่นไปให้หลินโม่ป่ายทั้งหมด
“นายลองดู เสียงของเธอถูกทำลายอย่างรุนแรง อีกอย่างมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุอะไร แต่เป็นร่องรอยของการถูกพิษกัดกร่อน อีกอย่างดูจากผลการตรวจง่ายๆ ฉบับนี้ ร่องรอยนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว”
โอวหยางเช่อพูดจบ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด “ปีนี้อายุของซูย้าวเพิ่งจะยี่สิบกว่ามั้ง! ยังสาวมาก เวลาที่เสียงของเธอถูกทำลายจากการคำนวณดูแล้ว เกือบจะเป็นเรื่องของสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเธอยังไม่โตด้วยซ้ำ! ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง! ”
หลินโม่ป่ายจับใบรายงานผลตรวจ แล้วเงยหน้ามองเขา “นี่พี่อยากจะพูดอะไรกันแน่? ”
“เธอถูกคนอื่นทำร้าย! มีคนตั้งใจใช้ยาพิษทำให้เธอเป็นใบ้ ไม่ให้เธอพูด ฉันเป็นหมอ อยากจะรักษาเธอให้หาย ก็ต้องถามให้แน่ใจก่อนอยู่แล้ว! ”
หลินโม่ป่ายจึงนิ่งงันไปทันที
ที่ผ่านมา เขาแค่จำได้ว่าสิบกว่าปีก่อน น่าจะเป็นเดือนที่ลุงซูเสียชีวิต จู่ๆ ซูย้าวก็ป่วยหนัก จนไม่ได้ออกจากประตูบ้านมาสามเดือนเต็ม
ทว่าจู่ๆ พ่อก็เสียชีวิต ความรู้สึกแบบนี้ ใครก็สามารถรับรู้ได้ และป่วยเป็นอะไรก็ย่อมมีเหตุผล
ทว่าไม่มีใครสนใจ ยิ่งไปกว่านั้น เวลานั้นหลินโม่ป่ายก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ซูย้าวก็ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป
คุณหนูสองแห่งตระกูลซู จู่ๆ ก็กลายเป็นใบ้ แต่ก่อนยังสาามารถร้องและเต้นรำได้เป็นอย่างดี เธอที่มีนิสัยร่าเริงอ่อนโยน กลับกลายเป็นคนที่เงียบสงบและดูเศร้าหมอง
หลินโม่ป่ายคิดว่าลุงซูเสียชีวิต เลยทำให้เธอถูกโจมตี ทว่าตอนนี้พอเห็นผลตรวจฉบับนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าเขามีความลับบางอย่างที่ตั้งใจปิดบังเขาไว้
“โม่ไป๋ พี่ก็เป็นหมอ นายคงเข้าใจดี! คำพูดที่ปิดบังข้อบกพร่องของตัวเองเพราะกลัวจะถูกวิจารณ์ อาการป่วยแบบนี้ไม่มีทางรักษาให้หายแน่นอน! ” โอวหยางเช่อพูดขึ้นอีก
ไม่ใช่เป็นการอธิบาย เขาแค่ไม่ได้ตั้งใจถามเท่านั้น ก็แค่กฎเกณฑ์ของการซักถามของหมอเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องที่ถูกกับผิด
หลินโม่ป่ายนิ่งงันไปสักพัก แล้วยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความอ้างว้าง
“อีกอย่าง ถ้าเสียงของเธอจะรักษาในตอนนี้ ก็แค่ต้องทำการผ่าตัด ตอนที่นายเจอเธอ ก็บอกเธอหน่อยละกัน” โอวหยางเช่อเก็บของ จากนั้นก็เอากุญแจรถบนโต๊ะขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะไป เหมือนนึกถึงอะไรบางอย่าง เรือนร่างที่สูงใหญ่ก็นิ่งงันไปทันที
“ใช่แล้ว นอกจากเสียงของเธอถูกทำลายแล้วสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ฉันแนะนำ นายควรพาเธอไปหาจิตแพทย์ด้วย”
หลินโม่ป่ายเลิกคิ้ว “หมายความว่าอะไร? ”
“เธอแค่ถูกทำลายเสียง การเปล่งเสียงได้รับผลกระทบ ทว่าถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงแล้ว เธอก็ยังสามารถเปล่งเสียงออกมาได้”
แค่มันจะไม่เสนาะหู ทีแรกเสียงที่เหมือนเสียงกระดิ่ง กลับกลายเป็นเสียงฆ้องแตก
“หลายปีมานี้ ถ้าเธอฝึกฝนที่จะเปล่งเสียงในระยะยาว และให้ความร่วมมือในการรักษา ก็แค่สามารถฟื้นฟูแล้วกลับสู่สภาวะปกติได้บ้าง ทว่า เธอไม่ได้ทำแบบนี้ ดังนั้นฉันแนะนำให้นายไปติดตามจิตแพทย์คนหนึ่ง”
หลินโม่ป่ายหยุดชะงักไป ถึงแม้เขาจะฟังอย่างคร่าวๆ ทว่าสถานการณ์โดยรวมเป็นยังไง เขาก็ถือว่าเข้าใจ
หลายปีมานี้ ซูย้าวชอบอยู่เงียบๆ ตามลำพัง ภายในใจก็ซุกซ่อนความลับบางอย่าง จากนั้นก็แบกรับและจำนนเพียงคนเดียว
ขณะเดียวกัน เธอไม่ใช่ว่าไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด แค่เพื่อความลับนั้น ก็ต้องยับยั้งชั่งใจที่จะไปอดทนมัน
พอนึกถึงแบบนี้ เขาแค่รู้สึกถึงบางตำแหน่งของหัวใจ เริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เขาเอ็นดูและสงสารเธอ
ไม่กล้าคิดเลยว่า หลายปีมานี้ ซูย้าวต้องผ่านอะไรด้วยตัวคนเดียวมาบ้าง!
ตอนหลินโม่ป่ายถึงบ้านตระกูลลี่ ซูย้าวยังคงยุ่งกับงานของตัวเองในห้องนอน เจิ้งเอ๋อกำลังหลับกลางวัน พี่เลี้ยงและพ่อบ้านออกไปซื้อของ
ในบ้านจึงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ได้ยินเสียงกริ่งประตู เธอก็ได้ลงจากตึก กลับเห็นหลินโม่ป่าย จึงรู้สึกตกตะลึง
จากนั้นก็หันข้างเพื่อเชิญเขาเข้ามา หลินโม่ป่ายกลับทำสีหน้าที่กระวนกระวาย จากนั้นก็เดินเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ นัยน์ตาที่แผ่วร้อนนั้นเคล้าด้วยพลังแห่งความสงสัย
“ชอบผมมา คุณกำลังปิดบังอะไรผมอยู่! ”
ซูย้าวนิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
พอเห็นถึงสีหน้าที่ผิดปกติของเธอ หลินโม่ป่ายก็สัมผัสได้ว่าตนเองใจร้อนเกินไป จึงได้ดึงมือกลับมาทันที ขณะที่ปล่อยเธอ ก็พูดขึ้น “ทำไมไม่รักษาแล้วล่ะ? เมื่อวานคุณยังบอกผม คุณยังสามารถคอ แล้วจะกลับมาพูดได้อีกครั้ง! ”
พอคำพูดเข้าหู ซูย้าวก็ยิ้มเห็นฟันเล็กน้อย
ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล ตอนนั้นก็ได้ตัดสินใจว่าจะไม่รักษา เธอก็เดาออกว่าหลินโม่ป่ายจะมาไถ่ถามเหตุผลกับเธอ ดังนั้น ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ได้คิดไว้ตั้งนานแล้ว
จากนั้นก็ใช้ภาษามือสื่อสาร “คอของฉันรักษายุ่งยากเกินไป ตอนนี้ยังมีเจิ้งเอ๋ออีก ฉันตั้งใจจะทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดให้กับลูก ไม่สามารถหาเวลาออกมารักษา ให้เวลาฉันอีกหน่อย! ”
แทบจะไม่รอให้เธอพูดจบ หลินโม่ป่ายก็ยกมือไปจับแขนของเธอไว้ ขณะเดียวกันก็ได้ขัดขวางเธอที่กำลังใช้ภาษามือสื่อสาร “ข้ออ้าง นี่เป็นข้ออ้างทั้งหมด! ”
ซูย้าวแสยะยิ้มอย่างขมขื่น แล้วแสดงให้เห็นว่าถ้าเขาไม่เชื่อ งั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
“มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณบอกความจริงทั้งหมดกับผมไม่ได้เลยหรือไง? ” หลินโม่ป่ายมองเธออีกครั้ง นัยน์ตาเปล่งประกายแสงที่เคล้าด้วยความอ่อนโยน
เธอนิ่งงันอย่างน่าแปลก สายตาอันประหม่านั้นเข้าไปอยู่ในนัยน์ตาของเขา ทันใดนั้น ภายในใจก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อนเกิดขึ้น
หลินโม่ป่ายจับมือเธออีกครั้ง แล้วอุทานขึ้น “ผลตรวจผมดูหมดแล้ว คอของคุณ ตอนแรกก็ไม่ได้เกิดจากอาการป่วย คุณถูกคนวางยาพิษจนทำให้เป็นใบ้ และทุกอย่างนี้ คุณรู้ตั้งแต่แรกจนจบ กลับอดกลั้นไว้คนเดียวอย่างเงียบๆ ทำไมกันแน่? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้! ”
ซูย้าวไม่เคยคิด ความลับที่ตนเองซุกซ่อนไว้ตลอดมา มีวันหนึ่ง จะถูกเปิดโปงอย่างง่ายดายแบบนี้
เธอยิ่งไม่รู้ ตอนนี้ข้างนอกประตู ลี่เฉินซีที่มีเรือนร่างสูงใหญ่ กำลังยืนอยู่ แล้วฟังเสียงของคนข้างในคุยกัน และก็ได้หยุดฝีเท้าลง
ใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยความน่ากลัว สีหน้ายากที่จะคาดเดา นัยน์ตาดูหม่นหมอง อีกทั้งยังเปล่งประกายความซับซ้อนในชั่วพริบตา สุดท้ายก็กลายเป็นความว่างเปล่า
“สิบกว่าปีก่อน ใครเป็นคนวางยาพิษจนทำให้คุณเป็นใบ้? คนๆ นั้นคือใคร? ” คำถามของหลินโม่ป่ายเอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่สูงและไม่ทุ้มต่ำ แล้วก็ได้วกวนอยู่ในแก้วหูของซูย้าวไม่หยุด