เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - ตอนที่ 92
บทที่ 92 ของราคาถูกที่น่าดึงดูด
หานฉ่ายหลิง เดินเข้าไปใกล้ และบีบมือของซูย้าวอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อรู้สึกถึงตัวร้อนๆของเธอ ก็พูดออกมาอย่างตกใจว่า “ทำไมตัวร้อนขนาดนี้”
ขณะที่พูดหานฉ่ายหลิงก็ยกมือขึ้นแตะหน้าผากของเธอ และพูดทันทีว่า “ซูย้าวเธอเป็นไข้แล้ว”
ซูย้าวกำลังมีไข้จริงๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าไข้จะไม่สูงมาก แต่ก็ตัวรุ่มๆมาตลอด
แถมเมื่อกี้เธอเพิ่งตรวจชิ้นเนื้อ ทำให้ร่างกายรับไม่ไหว จนแม้แต่ใบหน้าของเธอก็อ่อนแรง และซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
แต่เมื่อเผชิญหน้า หานฉ่ายหลิง เธอก็ยังคงส่ายหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่าเธอสบายดี
“เป็นไข้ไม่ใช่เรื่องตลก เป็นมานานแค่ไหนแล้ว เพราะเป็นหวัดหรือสาเหตุอื่น ไปพบหมอรึยัง ต้องกินยาหรือให้น้ำเกลือ”
หานฉ่ายหลิงดูรีบร้อน และเป็นกังวลมาก แต่ไม่ได้เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ
ซูย้าวมองไปที่เธอ ก่อนจะเห็นสายตาจริงใจ และนิสัยช่างพูดของเธอ ซึ่งเหมือนโม่หว่านหว่านไม่มีผิด
“เอางี้ ฉันพาเธอไปตรวจที่แผนกอายุรกรรมดีกว่า ป่วยอย่างนี้ไม่ได้นะ” หานฉ่ายหลิงจับมือเธอ แล้วพาเธอขึ้นไปชั้นบนโดยตรงโดยไม่ถามความเห็นของซูย้าว
หลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็เพิ่งจะนึกถึงลี่เฉินซีที่ยืนอยู่ข้างหลังได้
หานฉ่ายหลิงหยุด และหันกลับไปพูดกับเขาว่า “เฉินซี ฉันจะไปข้างบนเป็นเพื่อนซูย้าว ถ้าคุณยุ่งกลับไปก่อนก็ได้”
ลี่เฉินซีมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนจะมองท่าทางกังวลของหานฉ่ายซี แล้วขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นนานมาก เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นว่า “แล้วคุณล่ะ”
สามคำนั้น ราวกับมีดปักลงมากลางใจของซูย้าว
สามีตัวเองเป็นห่วงคนอื่นต่อหน้าต่อตา
น่าขำสิ้นดี
“ฉันไม่เป็นไรสักหน่อย คุณดูสิฉันแข็งแรงขนาดไหน ไม่เห็นเหมือนป่วยเลยสักนิด คุณน่ะชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อย” หานฉ่ายหลิงยิ้มบางๆ ระหว่างที่ปลอบลี่เฉินซี เธอก็ดึงมือซูย้าวเข้าลิฟต์ไปด้วย
ชั้นบนด้านนอกแผนกอายุรกรรม มีคอมจัดหมายเลขเข้าตรวจให้
มีคนไปพบแพทย์จำนวนมาก และหมายเลขของซูย้าวก็แทบจะรั้งท้าย หานฉ่ายหลิงกับเธอนั่งพักอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอถามด้วยภาษามือว่า “คุณหาน คุณไม่สบายตรงไหนคะ”
หานฉ่ายหลิงส่ายหัว “ไม่ ฉันสบายดี แต่ก่อนหน้านี้มีเรื่องที่บริษัท ฉันไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเลยรู้สึกหนักๆหัวมาหลายวันแล้ว….”
ขนาดไม่เป็นไร ยังโดนลี่เฉินซีลากมาตรวจที่โรงพยาบาล
การใส่ใจดูแลแบบนี้เป็นสิ่งที่ซูย้าวต้องการมากที่สุด แต่เธอไม่กล้าที่จะร้องขอ
พูดถึงตรงนี้ หานฉ่ายซีก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบอธิบาย “ซูย้าว เธออย่าเพิ่งเข้าใจเฉินซีผิดนะ มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ฉันผิดเอง พอเกิดเรื่องกับบริษัท ฉันก็ตระหนกเลยติดต่อเขาไป เขาเห็นแก่ความรักครั้งเก่าของเรา เลยกลับมาช่วยฉัน….”
เธอเปิดเผยในสิ่งที่พยายามจะปกปิดไว้
การอธิบายที่มากเกินไปจากปากของหานฉ่ายหลิง ไม่เพียงแต่จะทำให้สิ่งที่ปกปิดไว้ถูกเปิดเผย แต่ยังเป็นเหมือนมีดที่กรีดเข้าไปในใจของซูย้าวนิ่มๆ
“วันนี้ก็เหมือนกัน เขาเห็นฉันอาการไม่ดี คิดว่าฉันป่วย ก็เลยมาเป็นเพื่อนฉัน มันเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด เธออย่าเข้าใจผิด โอเคมั้ย”
หานฉ่ายหลิงเป็นคนใจกว้าง ดวงตาใสซื่อนั้นเหมือนสระน้ำที่บริสุทธิ์์ ความรู้สึกไร้เดียงสานั้น ทำให้ซูย้าวรู้สึกอายตัวเอง
เธอก็อยากจะเข้าใจผิด แต่ตอนนี้แค่คำว่า ‘เข้าใจผิด’ ก็สามารถคลี่คลายได้แล้วหรอ
หรือคิดว่าลี่เฉินซีจะให้โอกาสเข้าใจผิดกับเธอหรอ
เธอได้แต่ข่มความเจ็บปวดในใจ และส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะฝืนยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจค่ะ”
“คุณไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้วค่ะ ฉันกับลี่เฉินซีเป็นแค่เพื่อนกันผ่านๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากนัก ถ้าบริษัทฉันมั่นคงแล้ว ฉันจะไม่ติดต่อเขาอีก” หานฉ่ายฉินยืนยัน
ซูย้าวยกยิ้มอย่างน่าสมเพชมากขึ้น ก่อนจะขบริมฝีปากล่างเบาๆ ข่มอารมณ์
หลังตรวจคร่าวๆกับแผนกอายุรกรรม และได้รับยามาทานแล้ว เธอก็กลับบ้านไปให้น้ำเกลือ
หานฉ่ายหลิงเป็นห่วงที่เธออยู่คนเดียว จึงยืนกรานที่จะอยู่กับเธอ จนทำให้ซูย้าวยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็สามารถปลีกตัวออกมาได้ในที่สุด เมื่อได้นั่งอยู่ในห้องโถงกว้างคนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะฟุ้งซ่าน
ไม่รู้ทำไม หานฉ่ายหลิงถึงได้ไร้ที่ติ บริสุทธิ์์ ใจดี และคิดถึงเธอในทุกๆเรื่อง
ถ้าเธอไม่ได้แต่งงานกับลี่เฉินซี เธอคงได้เป็นเพื่อนสนิทกับหานฉ่ายหลิงแน่
แต่ในความสัมพันธ์ และเหตุการณ์ในตอนนี้ นอกจากอึดอัดใจ ซูย้าวก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีก
คุณหมอหลินเข้ามาฉีดน้ำเกลือให้เธอ จากนั้นก็เดินออกไป
เธออยู่คนเดียวในบ้านอันว่างเปล่า ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว และเหงานิดหน่อย จึงโทรหาโม่หว่านหว่าน กว่าเธอจะมาถึงก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่าแล้ว
โม่หว่านหว่านสั่งอาหารเย็นเข้ามาด้วย หลังจากซูย้าวให้น้ำเกลือเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็กินข้าวกันง่ายๆ
“ลี่เฉินซีของเธอเริ่มไม่ซื่อสัตย์อีกแล้วใช่มั้ย ไปใกล้ชิดกับหานฉ่ายหลิงนั่นอีกแล้วใช่มั้ย” โม่หว่านหว่านเติมกับข้าว พร้อมถามไปด้วย
ซูย้าวอึ้ง รีบก้มหน้าคีบข้าวในจาน ไม่พูดไม่จา
“ฉันได้ยินมาว่า เธอกับเขาไปฝรั่งเศสด้วยกัน พอบริษัทของหานฉ่ายหลิงมีปัญหา เขาก็รีบขึ้นเครื่องกลับมาที่จีนคนเดียวทันที แม้แต่บริษัทก็ไม่กลับมา ประกาศออกมาขนาดนั้น อย่างกับกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าหานฉ่ายหลิงเป็นแฟนเก่าเขาอย่างนั้นแหละ”
โม่หว่านหว่านแซะออกมาอย่างน้อยใจแทนซูย้าว
ยิ่งพูดเธอยิ่งโกรธ จึงวางชามลง และจ้องไปที่ซูย้าวเขม็ง พร้อมพูดว่า “ไม่ต้องกินแล้ว เธอยังมีอารมณ์กินอีกรึไง สามีเธอจะไปเป็นสามีของคนอื่นอยู่แล้ว”
ซูย้าวมองเธอดุๆ และตักปลาตุ๋นเพิ่มอีกชิ้น
“พระเจ้า ฉันยอมแกเลย ใจกว้างมาก” โม่หว่านหว่านถอนหายใจ และลุกไปหยิบน้ำผมไม้ที่ตู้เย็น
ซูย้าวไม่ได้ใจกว้าง แต่ในเวลาแบบนี้ นอกจากกินข้าว และรักษาสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้ว เธอยังจะทำอะไรได้อีก
หึง โมโห หรือลูกเล่นอื่นๆงั้นหรอ คิดว่าลี่เฉินซีจะให้โอกาสเธอได้ทำแบบนั้นหรอ
“ฉันบอกแกแล้วให้ระวังหานฉ่ายหลิง ยัยคนนี้รับมือยากกว่าผู้หญิงคนก่อนๆทั้งหมด” โม่หว่านหว่านพิงตัวกับโต๊ะกินข้าว ในมือถือน้ำผลไม้สองขวด ก่อนจะยื่นให้ซูย้าวหนึ่งขวด
เธอยังพูดต่อว่า “ไม่รู้หรอ ทุกคนก็ต้องมีแฟนเก่าที่ลืมไม่ได้กันทั้งนั้น ถึงจะเลิกกันแล้วก็ยังคิดถึงกัน ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ยังอยากมีความสัมพันธ์กัน ผู้ชายดีๆอย่างลี่เฉินซี ผู้หญิงคนไหนจะอยากปล่อยมือง่ายๆ”
หลังจากพูดจบ เธอก็มองไปที่ซูย้าวอย่างพิจารณา ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าซูย้าวช่างอ่อนโยน บอบบาง สมกับเป็นผู้หญิงเมืองเจียงหนาน
โดยเฉพาะใบหน้าที่สวยงามนี้ ถ้าพูดได้คงเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด
“เธอต้องแต่งตัวหน่อยนะ ต้องเซ็กซี่ ยั่วๆหน่อย ผู้ชายน่ะมันให้ความสำคัญกับร่างกายส่วนล่าง ถ้าได้นอนกับเธอบ่อยๆ ความรู้สึกอื่นๆก็จะตามมาเอง” โม่หว่านหว่านพูดไปเรื่อย
ซู้ย้าวตกใจ แอบปาดเหงื่อทันที
เธอวางตะเกียบในมือลง หายใจเข้าลึกๆ มองไปที่เธอ และพูดเป็นภาษามือว่า “พอแล้ว ฉันไม่ได้ให้เธอมาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้ หว่านหว่าน เธอช่วยอะไรฉันหน่อย”
“ช่วยอะไร” โม่หว่านหว่านถามอย่างกระตือรือร้น
ซูย้าวส่งแฟลชไดรฟ์ให้ และพูดภาษามือว่า “ง่ายมาก ช่วยปล่อยข่าวในนี้ออกไปให้หน่อย ยิ่งดังยิ่งดี ทุกคนจะได้รู้กันทั่ว”