เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 622 จิตใจคนยากเกินคาดเดา
ประโยคสนทนาเนื่องจากความมึนเมาของเธอ แต่กลับทำให้ลู่ส้าวหลิงตกตะลึง
เขาจ้องมองน้องสาวของตนเองด้วยความงุนงง “ว่ายังไงนะ หมายความว่ายังไง?”
ลู่จื่อซีผละออกจากอ้อมแขนของเขา มือทั้งสองข้างของเธอ ยังคงโอบอยู่ที่ไหล่ของลู่ส้าวหลิง ตาของเธอสะลึมสะลือมองมาที่เขา “พวกคุณทุกคนคิดว่าอานหว่านชิงก็คือซูย้าว เพียงแค่ชื่อไม่เหมือนกันเท่านั้น แต่พวกคุณไม่เคยคิดมาก่อนหรือไงว่าต่อให้เธอเป็นซูย้าวจริงๆ สิ่งที่เธอทำหายไปอาจไม่ใช่เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น”
เธอพูดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ
แต่ทำไมเมื่อประโยคเหล่านั้นถูกนำมารวมกันแล้ว จึงทำให้ลู่ส้าวหลิงรู้สึกสับสนกันล่ะ?
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงงแล้วพูดว่า “แม่สาวน้อย หมายความว่ายังไงกันแน่ พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
ลู่จื่อซีปลีกตัวออกจากเขาด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย เธอเบ้ปากเล็กๆนั่นแล้วพูดว่า “ทำไมพี่ถึงโง่แบบนี้นะ ฉันหมายความว่าอานหว่านชิงในตอนนี้ เธอ…… อาจจะน่ากลัวกว่าที่พวกคุณคิดเอาไว้”
ลู่ส้าวหลิงพึมพำออกมาด้วยความสับสน “น่ากลัวเหรอ? มีอะไรน่ากลัว?”
“ก็คือเธอทำเรื่องเลวร้ายต่างๆไว้มากมาย เธอไม่ใช่ซูย้าวในความทรงจำเก่าๆของลี่เฉินซีอีกต่อไปแล้ว! พวกคุณทุกคนถูกเธอหลอกลวงด้วยภาพลวงตา พวกคุณมันโง่! ลองดูสิว่าถ้าฉันเปิดโปงเธอ เธอจะเสแสร้งต่อไปยังไง!”
ในตอนนี้ลู่จื่อซีเมามากแล้วจริงๆ เธอถอยห่างออกไปจากลู่ส้าวหลิงแล้วพยายามลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโยกเยกโซเซ มองไปแล้วไม่เป็นท่า แต่ปากของเธอก็ยังพูดอย่างคลุมเครือว่า “ฉันจะเปิดโปงเธอ! นางมารร้ายตัวนี้ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมา!”
ลู่ส้าวหลิง “……”
ชายหนุ่มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาและช่วยพยุงเจ้าน้องสาวไปพักในห้องรับแขก สำหรับคำพูดของเธอก่อนหน้านั้น เขาเห็นว่าเป็นเพียงแค่คำพูดพล่อยๆตอนเมาจึงไม่ได้จริงจังอะไร
วันรุ่งขึ้น ท่ามกลางอากาศแจ่มใส มีข่าวหนึ่งซึ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง
มันคือข่าวที่เกี่ยวกับการสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุในการโยกย้ายที่อยู่อาศัย ซึ่งรับผิดชอบโดยDouble Aceกรุ๊ป ในที่สุดก็ได้ผลสรุปออกมา
อาตงและอาเจว๋ได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นในทันควัน อีกทั้งทำการประกาศเนื้อหาการสอบสวนเบื้องต้นจากตำรวจ ชี้แจงให้เห็นว่าสาเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับDouble Aceกรุ๊ปเลย เป็นเพียงเพราะอาคารเหล่านั้นทรุดตัวลงเนื่องจากสภาพทรุดโทรมและก่อสร้างมาเป็นเวลาหลายปีจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป แน่นอนว่าต้องสร้างความโกลาหลให้กับผู้คนภายนอกขึ้นมา
บรรดาญาติของผู้ประสบความเดือดร้อนเหล่านั้นก็ยิ่งเพิ่มความโมโหมากขึ้น แทบรอไม่ไหวที่จะขึ้นไปบนเวทีกระชากอาตงและอาเจว๋ลงมา พวกเขาไม่รู้ว่าจะระบายความเกลียดแค้นนี้ออกมาอย่างไร
แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงของอาตงก็เปลี่ยนไป เขากล่าวว่าสัญญาจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าแรงและค่าเสียหายทุกอย่างให้แก่ผู้บาดเจ็บทุกคนเต็มจำนวน ส่วนเรื่องอื่นๆจะไม่มีการติดตามหรือสอบถามอีก
การตัดสินใจนี้ทำให้ความโมโหของบรรดาสมาชิกในครอบครัวผู้เสียหายหมดไปโดยธรรมชาติ ในทางกลับกัน เขากลับสร้างชื่อเสียงโด่งดังต่อหน้านักข่าวจำนวนมากมาย
งานแถลงข่าวนับว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว ส่วนโลกภายนอกจะพากันพูดถึงอย่างไรซูย้าวไม่สนใจทั้งสิ้น เนื่องจากตอนนี้งานที่เธอสั่งสมมาทำให้เธอยุ่งอยู่ได้ทั้งวัน จนถึงขั้นเรียกได้ว่าทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่เคยหยุดหย่อน เธอจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องแบบนี้
แม้แต่งานแถลงข่าว เธอเองก็ไม่ได้เดินทางไปด้วยซ้ำ ได้แต่เก็บตนเองขังไว้ในโรงแรมและทำงานจนหัวหมุน
โครงการเมืองกู่อานแม้จะเป็นเพียงคำง่ายๆไม่กี่คำ แต่ก็ครอบคลุมพื้นที่หลากหลายกว้างขวาง มีผู้คนอาศัยอยู่นับสิบล้าน ผู้คนส่วนมากได้ลงนามข้อตกลงในการย้ายถิ่นฐาน ส่วนที่เหลืออยู่จึงจะเป็นส่วนสำคัญและยากที่จะจัดการ
ซูย้าวมองไปยังกองเอกสารกองโตเท่าภูเขาที่อยู่ด้านหน้านี้ เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้หัวคิ้วเบาๆ ถ้าไม่จัดการกับเอกสารพวกนี้ให้เสร็จ ต่อให้เธอโอนโครงการไปให้คนอื่นก็คงไม่มีใครเต็มใจที่จะมาจัดการกับเอกสารมากมายเหล่านี้
แต่ถ้าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เธอจะโอนไปให้คนอื่นอีกทำไม? สู้นั่งรอรับรายได้ไม่ดีกว่าเหรอ!
เธอถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินไปชงกาแฟมาอีกสักแก้ว แต่เสียงกริ่งประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน
ซูย้าวจึงเดินไปเปิดประตู ทันใดที่ประตูถูกเปิดออก ภาพปรากฏตรงหน้าทำให้เธอต้องตกตะลึง
ตำรวจในเครื่องแบบสองคน ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอและแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณคืออานหว่านชิงใช่ไหมครับ?”
ซูย้าวพยักหน้า “เอ่อ ใช่ค่ะฉันเอง นี่มัน……”
“คุณเป็นผู้ต้องสงสัยคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา กรุณาไปกับเราด้วยครับ!” ตำรวจคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้า และแสดงหมายจับต่อหน้าซูย้าวออกมา
เธอตกตะลึง ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนาเหรอ?!
หมายถึงเรื่องอะไรกัน……
เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมและเดินตามตำรวจทั้งสองคนลงมา เมื่อเธอก้าวขาออกจากโรงแรมก็ถูกนักข่าวปิดล้อมไว้อยู่ตรงประตู
“คุณอานคะ เรื่องDouble Aceกรุ๊ปเพิ่งจะจัดการได้เสร็จสิ้น คุณก็ถูกเป็นผู้ต้องสงสัยข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ?”
“มีข่าวลือว่าคุณทำร้ายผู้อื่นเพราะความคับข้องใจส่วนตัว จากแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกล่าวว่ามีหลักฐานมัดตัว คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”
นักข่าวยังคงถามคำถามออกมาไม่หยุดหย่อน ไมโครโฟนถูกส่งมาตรงหน้าเธอตลอดเวลา แสงแฟลชเปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้ดวงตาของเธอรู้สึกแสบเล็กน้อยเนื่องจากแสงแฟลชเหล่านั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเธอเข้าไปหยุดยั้งนักข่าวเหล่านั้นเอาไว้ แล้วพาตัวเธอขึ้นรถตำรวจไปด้วยความรวดเร็ว
นักข่าวเหล่านั้นยังไม่ยอมเลิกรา พวกเขาวิ่งไล่รถตำรวจจนกระทั่งหายลับไปจากสายตา ในที่สุดจนในที่สุดก็ยอมลดละลง
ตลอดทางนั้นซูย้าวคิดไปต่างๆนานา เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนานั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่สิ่งที่เธอแน่ใจก็คือมีใครบางคนจงใจยุแยงและจัดการอยู่เบื้องหลัง
ไม่อย่างนั้นกลุ่มนักข่าวเมื่อสักครู่จะรู้ถึงสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
พวกเขาบอกว่ามีหลักฐานมัดตัว หลักฐานอะไรกัน?!
เธอได้แต่นั่งสงสัยไปตลอดทางจนกระทั่งเดินทางมาถึงสถานีตำรวจ เธอนั่งรออยู่ในห้องสอบสวน ในที่สุดข้อสงสัยของเธอก็ได้รับคำตอบ
ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบปากคำได้หยิบรูปถ่ายออกมาสองสามใบ เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปที่ถูกถ่ายจากมือถือแล้วล้างออกมา แต่ภาพเหล่านั้นก็ชัดเจนมาก มีเพียงมุมกล้องที่เป็นปัญหา แค่มองก็รู้ว่าแอบถ่าย
ภายในภาพนั้นเป็นช่วงกลางคืนในห้องส่วนตัววีไอพี ในภาพเถ้าแก่อู๋นั่งตัวสั่นงันงกคุกเข่าอยู่ต่อหน้าซูย้าว ส่วนกำลังทำอะไรอยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องระบุและรูปถ่ายเธอก็รู้อยู่แก่ใจดี
นั่นคือรูปภาพตอนที่เธอเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองAและมีข้อพิพาทเล็กน้อยกับเถ้าแก่อู๋ จึงทำให้เกิดเรื่องขัดแย้งกันเล็กน้อยเท่านั้น เดิมทีเรื่องเหล่านี้สามารถจัดการได้เพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่เถ้าแก่อู๋ยืนกรานที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับเธอ และไม่ยอมปล่อยเธอไป เขาไล่ตามติดเธอจนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ต่อมาเธอจึงใช้วิธีบางอย่างเพื่อลงโทษเถ้าแก่อู๋อย่างรุนแรง
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าความประมาทเลินเล่อเล็กน้อยเหล่านี้ จะถูกใครบางคนถ่ายเอาไว้และเก็บเป็นหลักฐานสำคัญ
ในร้านหม้อไฟก่อนหน้านี้ ซูย้าวเล็งเป้าหมายมาที่ลู่จื่อซี นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอสงสัยว่าหล่อนได้ถ่ายภาพอะไรไว้ได้ในคืนนั้น แต่เมื่อไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัว รวมทั้งยังมีลี่เฉินซีอยู่ด้วย เรื่องนั้นก็เลยปล่อยไป
แต่ตอนนี้มองดูแล้วรูปภาพเหล่านี้ คงต้องเกี่ยวข้องกับลู่จื่อซีแน่นอน
“คุณอาน คุณมีอะไรจะอธิบายเกี่ยวกับรูปภาพเหล่านี้ไหม?” ตำรวจสอบถาม
ซูย้าวถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวขึ้นอีกว่า “ไม่เพียงแค่มีรูปภาพเหล่านี้ แต่คุณอู๋หงยุ่นที่เป็นผู้เสียหายในคืนนั้นได้เดินทางยื่นฟ้องคุณเมื่อเช้า และนี่คืออาการการประเมินอาการบาดเจ็บของเขา”
เมื่อมองไปยังเอกสารที่อยู่ตรงหน้า ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
อู๋หงยุ่นยื่นฟ้องเธออย่างนั้นเหรอ? แล้วก่อนหน้านี้ค่าชดเชยเป็นเช็คที่เขารับเอาไว้หมายความว่าอย่างไรกัน?!
เป็นจริงดังนั้น หัวใจของคนคาดเดาไม่ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ปีศาจแต่เป็นมนุษย์ต่างหากล่ะ
สติของเธอค่อยๆกลับคืนมาเป็นปกติ เงยหน้าสบตาชายผู้นั้นแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันไม่มีอะไรอยากจะพูด ให้เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายเถอะค่ะ! เดี๋ยวทนายของฉันจะตามมา ก่อนหน้านี้ฉันขอปฏิเสธการให้คำใดๆทั้งสิ้น”
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นพูดไม่ได้ว่าเธอไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว
แต่อย่างน้อยคนที่เป็นต้นเหตุก็ไม่ใช่เธอ
เป็นเพราะเถ้าแก่อู๋ ตั้งใจจะลงมือลงไม้ก่อนต่างหาก
และพยายามจะเข้าประชิดตัวเธอ ต่อมาซูย้าวก็เพียงแค่ตำหนิลงโทษเขาเล็กน้อย อาจจะไม่ได้ระวังจึงทำให้เถ้าแก่อู๋ได้รับบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็ได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้ว
ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้เธอจึงไม่รู้สึกละอายใจอะไร ทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อหวางอี้ทราบเรื่องก็วิ่งเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานด้วยความเร็วสูงสุด
“ประธานลี่ครับ” เขาพูดด้วยเสียงหายใจเหนื่อยหอบ จากนั้นพยายามกลืนน้ำลายลงคอพูดว่า “คุณอานเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วครับ ดูเหมือนว่าจะถูกข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา! ตอนนี้ทางตำรวจพาตัวไปที่โรงพักแล้ว”
ลู่เฉินซีกำลังยุ่งอยู่กับงาน เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น แววตาดูไม่เปลี่ยนไปและก้มหน้าทำงานต่อ
“จากที่ผมตรวจสอบมา ดูเหมือนเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ลู่ เขาติดต่อกับเถ้าแก่อู๋ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดจึงทำให้อู๋หงยุ่นเดินทางไปยื่นคำฟ้องต่อตำรวจเมื่อเช้านี้ให้ออกหมายจับคุณอาน”
เมื่อหวางอี้รายงานเสร็จเขาก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “ประธานลี่ครับ คุณจะเดินทางไปจัดการด้วยตนเองไหม? สถานการณ์คุณอานตอนนี้ดูไม่ค่อยดี……”