เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 669 คุณรู้อะไรมา
ท่ามกลางทางเดินที่เงียบสงัดของห้องวีไอพีหรูหรา เต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญอันแสบแก้วหูดังมาครั้งแล้วครั้งเล่า
บรรยากาศอันอึดอัดทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องทำตัวไม่ถูกและหวาดกลัว
ท่ามกลางความวุ่นวายยุ่งเหยิงและเสียงดังรบกวนขึ้นเป็นระยะๆ ลี่เฉินซีได้จูงมือซูย้าวออกไปจากห้องวีไอพีนี้ เดินตรงไปทางยังทางเดินขึ้นลิฟต์ลงไปที่ชั้นหนึ่ง
จนกระทั่งถึงห้องโถงใหญ่ เมื่อพนักงานบริกรเปิดประตูออกสิ่งที่เธอเห็นซึ่งอยู่ห่างออกไปบริเวณไม่ไกลนักจากห้องโถงใหญ่ก็คือ ร่างสูงใหญ่ของเจียงจี้เซิงพิงอยู่กับกำแพง ส่วนตรงหน้าของเขาก็คือเซียวไน่ที่พยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขานั้น ในที่สุดเธอก็ดิ้นหนี และหันหลังเดินจากไปทันที
ขณะที่เซียวไน่เดินผ่านซูย้าวเธอก็ลดฝีเท้าลงแล้วยิ้มให้จากใจจริงพูดว่า “เมื่อสักครู่ขอบคุณมากจริงๆ”
ซูย้าวก็ตอบกลับเธอด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นกัน ทั้งสองคนเดินแยกออกจากไป
เดิมทีเจียงจี้เซิงต้องการจะเข้าไปรั้งเอาไว้แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวไน่รีบร้อนมากและเดินขึ้นลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง เขาเองก็ทำตัวไม่ถูก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามืดมนจนถึงที่สุด
ลี่เฉินซีดึงซูย้าวเอาไว้เป็นความหมายให้เธอรอสักครู่ ส่วนตนก้าวเข้าไปหาเจียงจี้เซิง ถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เจียงจี้เซิงสูดลมหายใจเข้าอย่างอ่อนล้า ใบหน้าของเขาดูไม่ได้วางใจสักเท่าไหร่ แต่กลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไร ผมจัดการได้”
ดูเหมือนลี่เฉินซีจะรู้สึกถึงบางอย่างได้ จากสีหน้าของเขาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เกรงว่าเขากับเซียวไน่จะเจรจากันอย่างไม่ราบรื่นเท่าไรนัก จึงได้ยิ้มและพูดว่า “งั้นเดี๋ยวผมพาเธอกลับไปก่อน มีเรื่องอะไรค่อยว่ากันทีหลัง”
เจียงจี้เซิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินตามลี่เฉินซีมาดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบก้าวเข้ามาพูดว่า “กลับด้วยกันเถอะ!”
ทั้งสองคนเดินทางมาเกือบเวลาเดียวกัน ที่นี่เป็นเขตนอกเมือง การที่จะเดินทางกลับด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นทั้งสามคนจึงนั่งรถกลับเข้าไปยังตัวเมืองจนถึงโรงแรม
แต่พวกขาไม่ได้ขึ้นไปบนห้องเลยทันที ลี่เฉินซีพาซูย้าวไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เมื่อนั่งลงแล้วก็ได้สั่งอาหารให้เธอหนึ่งชุด ลี่เฉินซีหยิบบุหรี่ตัวหนึ่งขึ้นมาสูบ หันหน้าไปด้านข้างให้กับชายหนุ่มที่ติดตามมาด้วยกันตลอด
“มีอะไร?”
เจียงจี้เซิงมองไปทางซูย้าวอย่างนิ่งเงียบ ลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณรู้จักเซียวไน่หรือครับ?”
ซูย้าวตกตะลึงและส่ายหน้า “ก็ไม่ถือว่ารู้จักหรอกค่ะ เมื่อสักครู่ในโรงแรม เธอมีเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยกับอู๋หยานก็เลยได้รู้จักกัน”
เรื่องเข้าใจผิด?!
เห็นได้ชัดว่าดวงตาของเจียงจี้เซิงหรี่ลง จากนั้นจึงถามขึ้นอีกว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คุณช่วยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?
ซูย้าวดื่มน้ำอุ่นเข้าไปจากนั้นวางแก้วลง ดวงตาอันงดงามคู่นั้นของเธอมองไปเป็นประกายก่อนจะถามฝ่ายหนึ่งว่า “ประธานเจียงอยากจะรู้เรื่องทุกอย่างของคุณเซียวไน่อย่างนั้นเหรอคะ?”
เจียงจี้เซิงชะงักลงเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้าตอบว่า “ทำนองนั้น”
เมื่อเป็นเช่นนี้ซูย้าวจึงค่อนข้างจะแน่ใจว่าระหว่างเจียงจี้เซิงกับเซียวไน่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ลูกสาวของเธอคนนั้นจะเป็น……
ซูย้าวไม่กล้าจะคาดเดาต่อไป เนื่องจากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เธอเพียงแค่เล่าเรื่องตอนกลางคืนที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา แม้ว่าท่าทางของอู๋หยานจะดูย่ำแย่ไร้เหตุผล แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายโดยใช้คำไม่น่าฟัง เพียงแค่ออกมาอย่างง่ายๆเท่านั้น
เมื่อเธอเล่าถึงทุกอย่างจบลง สีหน้าของเจียงจี้เซิงก็เต็มไปด้วยความโมโห เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเลขาพูดว่า “ช่วยตรวจสอบโรงแรมบ่อน้ำพุร้อนที่ตำบลซีหน่อย ถ้าเป็นไปได้ไปซื้อโรงแรมนั้นมา”
เขาวางสายลงแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะหันไปทางซูย้าวแล้วถามขึ้นว่า “เอ่อคือ ผมขออนุญาตถามประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องหน่อยนะ คุณคิดว่าตอนนี้เธอ…… มีชีวิตที่ดีไหม?”
ซูย้าวชะงักลง เซียวไน่มีชีวิตที่ดีหรือเปล่าเหรอ?
หากมองจากมุมหนึ่งของคนทั่วไปก็อาจจะมองไม่ออกถึงชีวิตเธอว่าดีหรือไม่ แต่ซูย้าวกลับพบเด็กน้อยคนนั้นเข้าโดยบังเอิญ เมื่อเป็นเช่นนี้เธอสามารถรับประกันได้เลยว่า ตอนนี้เซียวไน่มีชีวิตที่ไม่ดีแน่ๆ
ผู้หญิงตัวคนเดียวเลี้ยงลูกตามลำพัง วิ่งหางานเพื่อประทังชีวิต ไม่มีเงินจ่ายสำหรับค่าพี่เลี้ยงเด็ก เธอจำเป็นต้องใช้เวลางานแอบมาดูแลลูก นี่มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่รึไง?
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ซูย้าวก็ไม่กล้าจะตัดสินอะไรง่ายๆ เนื่องจากว่าเธอไม่เข้าใจไม่รู้จักเซียวไน่และยิ่งไม่ชัดเจนว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเกิดเรื่องอะไรกันแน่
อาจเป็นเพราะคำพูดของเธอเพียงประโยคหนึ่ง ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้เปลี่ยนไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตอบอะไรทันที
ซูย้าวกะพริบตา จากนั้นส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางลี่เฉินซี
ชายหนุ่มสูบบุหรี่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เมื่อมองสายตาของเธอที่ส่งมาเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะดับบุหรี่ในมือลง แล้วพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าวว่า “เอาเถอะพอแล้ว ถ้าแกอยากจะรู้ก็ไปถามเองสิ จะมาถามคนอื่นทำไมอยู่ได้?”เจียงจี้เซิงขมวดคิ้วเข้าหากันมองดูเขาอย่างหงุดหงิด “ก็ได้ ฉันส่งคนไปสืบเองก็ได้!”
เมื่อพูดจบ เขาก็เอนตัวไปด้านหลังแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหลายคนเลยทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็โทรหาเลขาฯ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งพูดอะไรกับเขาสีหน้าของเขาดูย่ำแย่เหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกและพูดด้วยความเยือกเย็นว่า “หาข้ออ้าง ไล่เธอออก!”
ผู้หญิงคนหนึ่งทำงานในสถานที่แบบนั้น แม้ว่าจะเป็นพนักงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่ก็ไม่ใช่งานที่ดีอะไร เขารู้สึกว่าถ้าเรื่องแบบในคืนนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เซียวไน่จะทำอย่างไร?
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ดังนั้นเจียงจี้เซิงจึงพูดกับคนในสายอีกว่า “ประกาศไปให้ทั่ว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ผับบาร์หรือKTVที่ไหนก็ตาม ห้ามรับเธอเข้าทำงานเด็ดขาด!”
เมื่อเขาวางสายลงจึงได้สังเกตเห็นดวงตาของซูย้าวที่ตกตะลึง เธอขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วถามว่า “คุณจะไล่เธอออกเหรอ?”
แม้ว่า โรงแรมบ่อน้ำพุร้อนนั้นจะไม่ได้อยู่ในการดูแลของเจียงจี้เซิง แต่จากฐานะที่เป็นประธานบริษัทเจียงหย่วนของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองBและหลิ่งโจวก็พอมีคนรู้จักอยู่บ้าง
“ถ้าเธอไม่มีงานทำจะเลี้ยง……”
ซูย้าวยังไม่ทันพูดจบเธอก็รู้สึกตัวได้ว่าตนพูดมากจนเกินไป ในขณะที่เธอกำลังหยุดลงนั้นดูเหมือนเจียงจี้เซิงจะสัมผัสได้เล็กน้อย ดวงตาของชายหนุ่มมืดมนลง และจับจ้องไม่ปล่อย “เธอเลี้ยงอะไร? คุณอาน คุณรู้อะไรมาใช่ไหม?”
เธอรีบส่ายหน้าพูดว่า “ไม่รู้ค่ะ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าถ้าเซียวไน่ไม่มีงานทำเธอจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร?”
คำอธิบายแบบนี้ดูแตกต่างไปจากท่าทางของเธอเมื่อสักครู่ เจียงจี้เซิงจะไม่พบความแตกต่างไปได้อย่างไร ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอนกายไปที่เก้าอี้นั่งข้างหลัง “เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง แต่อย่างไรเสียก็ต้องขอขอบคุณคุณอานมากๆที่เป็นห่วงเธอ แล้วก็เรื่องที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเธอในคืนนี้”
ซูย้าวยิ้มออกมาอย่างบางเบาแล้วพูดเพียงว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” จากนั้นก็ก้มหน้าลงจัดการกับสเต๊กตรงหน้า
แต่สายตาของเจียงจี้เซิงยังคงจับจ้องไปที่เธอไม่ลดละ “ได้ยินว่าคุณอานสนใจเรื่องของน้องชายผมและอู๋หยานไม่น้อย และยังตั้งใจ จะช่วยคดีของน้องชายผมด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้จึงได้เจาะเข้าไปในหัวใจของซูย้าวโดยตรง เธอเงยหน้าขึ้นมองดูแล้วยิ้มด้วยความมุ่งมั่น “ฉันมีความคิดเช่นนี้แหละค่ะ และฉันเองก็ได้ยินมาว่าตัวคุณเจียงเพิกเฉยต่อคดีของเจียงจี้ฉีเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ไม่แม้แต่จะส่งทนายให้เขาด้วยซ้ำ”
เจียงจี้เซิงเผยอยิ้มขึ้น “คุณอานใช้คำว่าเพิกเฉยอาจหนักเกินไปหน่อยนะครับ”
เมื่อเขาพูดจบก็พูดต่อไปว่า “แต่ถึงอย่างไรการที่คุณอานตั้งใจจะเข้ามาช่วยเหลืออาฉีไว้นั้นก็ดีมากแล้ว หากว่าจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จละก็ ตระกูลเจียงรวมถึงผมจะต้องให้การขอบคุณคุณอย่างคุ้มค่า”
ซูย้าวยิ้มด้วยความพึงพอใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ เธอก็วางมีดและส้อมลงหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดมุมปากถามว่า “ประธานเจียงคะ ดิฉันขออนุญาตเสียมารยาทถามสักประโยคหนึ่งว่า คุณรู้จักอู๋หยานไหม?”
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเจียงจี้เซิงเกิดคลื่นขึ้นมา แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับอย่างเปิดเผยว่า “รู้จัก”
“ไม่เพียงแค่รู้จักธรรมดาเท่านั้น แต่อู๋หยานยังเคยมีความสัมพันธ์อื่นกับคุณ……ใช่ไหม?” ซูย้าวพูดอย่างตรงไปตรงมา คำพูดนี้เข้ามาในหูเขาเกิดความหวั่นไหวเล็กน้อย
แต่เธอไม่ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ แต่การที่เธอตั้งใจจะเข้ามาแทรกแซงข้อพิพาทระหว่างเจียงจี้ฉีและอู๋หยาน ก็ต้องทำความเข้าใจว่าอู๋หยานผู้หญิงคนนี้เธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ซึ่งมีสำคัญมาก
อีกอย่างจากเรื่องราวของเธอกับอู๋หยานในวันนี้ที่ได้พบกันมาเธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ถูก
จากการที่หล่อนพยายามเป็นศัตรูกับเซียวไน่และตั้งใจจะแก้แค้น จึงเดาได้ว่า อู๋หยานและเจียงจี้เซิงคงจะมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง
ส่วนสิ่งที่ทำให้ซูย้าวรู้สึกสงสัยมากที่สุดก็คือ ท่าทางที่อู๋หยานปฏิบัติต่อเธอ มันดูเหมือนว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังสนิทสนมกันมากด้วย…..