เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ - บทที่ 675 เลี้ยงคุณเหมือนลูกสาว
วันรุ่งขึ้น แม้ซูย้าวจะมีเรื่องที่ต้องเตรียมอยู่หลายเรื่องในตอนเช้า ทว่าหญิงสาวกลับหลับไปจนถึงช่วงสาย
จนเธอตื่น หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องไปเจอเจียงจี้ฉีซึ่งตอนนี้คดีกำลังจะขึ้นศาลแล้ว แต่ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนอยู่ เธอรีบลุกขึ้นอย่างตะลีตะลาน ทว่าอยู่ ๆ ซูย้าวก็รู้สึกเจ็บ ราวกับมีบางอย่างเสียดแทงเข้าไปในกระดูก
ร่างบางรู้สึกเหมือนกับกำลังจะแตกสลาย ราวกับถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับกระดูกหักหรือเส้นเอ็นขาด เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเจ็บเกินบรรยาย ทว่าหูของเธอก็ยังได้ยินเสียงประตูห้องนอนค่อย ๆ เปิดออก
ท่าทางของลี่เฉินซีนั้นต่างจากเธอลิบลับ เขาดูหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน สวมชุดสูท รองเท้าหนังเรียบร้อย ก่อนจะเดินถือแก้วน้ำอุ่นเข้ามาด้วยท่าทีสบาย ๆ “อาบน้ำแต่งตัวสิบนาที แล้วค่อยไปบ้านตระกูลเจียง”
ซูย้าวถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “คุณ….”
ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา เธอก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอะไรต่อ
เมื่อคืนเขาเหมือนกับคนบ้า ขืนใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต่างจากหมาป่า พยายามจะบดขยี้กินเลือดกินเนื้อเธอซ้ำไปซ้ำมา ความแข็งแกร่งแบบนั้น นั่น…
ความคิดของซูย้าวถูกขัดอย่างไม่รู้ตัว เธอไม่อยากจะนึกถึงความทรงจำที่สกปรกและน่ารังเกียจพวกนั้น ทว่าความโกรธของเธอกลับไม่สามารถลดลงได้ เธอเพียงแค่จับขอบโต๊ะพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียง พลางดึงผ้าห่มคลุมเรือนร่างตัวเอง จากนั้นก็เดินไปทางห้องน้ำ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ต่อไปนี้อย่ามาแตะต้องฉันอีก!”
เธอแค่อยากลองทุ่มสุดตัว จากนั้นค่อยถอยห่างออกมา ถึงแม้มันจะดูเป็นไปได้ยาก เธอก็แค่อยากลองดู แต่คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเธอก็จะถูกเขาจับกิน….
ลี่เฉินซีเดินเข้าไปหาเธอช้า ๆ หลุบตาลงก่อนจะยิ้มออกมาเบา ๆ “คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม?”
ฝีเท้าของซูย้าวหยุดชะงักลง แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร ร่างบางก็ถูกชายหนุ่มเข้ามาใกล้และคว้าตัวไว้ได้ทัน เขายกมือขึ้นประคองแก้มเธอ “พอได้กินเนื้อแล้ว ใครจะยอมกินมังสวิรัติต่อกัน?”
อีกอย่างมีคนมาล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าทุกวัน ใครจะไปทนได้?!
ที่ทนมาได้นานขนาดนี้ ก็ถือว่าแปลกแล้วนะ ตกลงไหม?
เธอได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปมา รู้สึกหมดคำจะพูดกับเขา “คุณนี่มันคนพาลจริง ๆ เลย!”
ขณะที่พูด เธอก็ยกมือดันแผงอกของเขาไปด้วย และเพราะว่าเธอแทบจะไม่มีแรงเหลือแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ได้ถูกผลักออก แต่เป็นเธอเองที่โซเซหลุดจากอ้อมแขนของเขาจนเกือบล้มคะมำ แต่ลี่เฉินซีก็เอื้อมมือออกมารับเธอไว้ได้ทันพอดี แขนข้างหนึ่งโอบเอวประคองเธอไว้ นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายระริก “ขาไม่มีแรงเหรอ? งั้นครั้งหน้าผมจะเบากว่านี้”
“คุณ……” เธอโกรธจนพูดไม่ออก คุยกับเขาคุยยังไงก็ไม่เข้าใจ ซูย้าวดันเขาออกไปอีกสองสามที ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ
เธออาบน้ำแบบลวก ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกมา บนโต๊ะในห้องอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารที่ถูกจัดวางไว้อย่างดี
ถึงแม้มันจะเป็นมื้อเช้าของเธอ แต่พอดูเวลาจริง ๆ ก็ถือเป็นมื้อเที่ยงแล้ว
ลี่เฉินซีไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่นั่งดูหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ข้าง ๆ เหมือนกับกำลังยุ่งกับอะไรสักอย่างอยู่ ซูย้าวเดินไปนั่งลงอีกข้าง แล้วเริ่มกินอย่างเงียบ ๆ
บรรยากาศที่กำลังดำเนินไปดี ๆ อยู่ ๆ ก็ถูกพังทลายลง เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากพูดขึ้น
“อย่าเอาแต่กินผัก คุณไม่ใช่กระต่ายสักหน่อย กินเนื้อด้วย!” เขาเห็นเธอค่อนข้างผอมแห้ง กอดทีไม่สบายเลย!
เห็นได้ชัดว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าจอ นิ้วเรียวเคาะแป้นพิมพ์ไม่หยุด ท่าทางดูยุ่ง ๆ แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าเธอกินอะไรและไม่กินอะไร
“กินช้า ๆ หน่อย อย่าลืมกินน้ำ!” เขาส่งเสียงเตือนออกมาเป็นระยะ
เป็นแบบนี้ไปสักพัก จนกระทั่งเขาพูดขึ้นมาอีกทีว่า “กินสเต๊กเข้าไปให้หมดด้วย!”
เวลาเธอกินอะไรแต่ละครั้งก็กินแค่ไม่กี่คำ นี่เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่ลูกแมว จะได้กินทีละแค่นั้น แบบนี้ไม่ผอมก็แปลกแล้ว
ซูย้าวทนฟังต่อไปไม่ไหว สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้น “คุณลี่คะ คุณคงจะทำตัวเป็นผู้ปกครองจนเคยตัวแล้วใช่ไหม?”
คิดว่าเธอเป็นซีซีรึไง? ที่จะต้องถูกเขากำชับ ตักเตือนตลอด เวลากินข้าว!
เขายกมุมปากขึ้นเบา ๆ แต่ท่าทางก็ยังยุ่งอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ต่อไปนี้ผมจะเลี้ยงคุณให้เหมือนลูกสาวเลยดีไหม? มา เรียกผมแดดดี๊สิ”
เธอแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ เลี้ยงเธอเหมือนลูกสาวเนี่ยนะ?
แต่ซูย้าวก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร พูดอะไรไป ยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เธอเลยก้มหน้าก้มตากินอีกสองสามคำจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก แล้วเดินออกไปที่ห้องรับแขก
มือข้างหนึ่งหยิบเสื้อคลุม ส่วนอีกข้างหยิบกระเป๋า ก่อนจะหันกลับมา หมายจะชวนเขาออกเดินทาง แต่คาดไม่ถึงชายหนุ่มร่างสูงนั้นเดินตามเธอเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว มิหนำซ้ำยังยกสูทหรูพาดไว้ที่แขนตัวเองเรียบร้อย เขาหลุบตามองเธอชั่วครู่ “ไปกันเถอะ”
เธอชะงัก กะพริบตาเบา ๆ พร้อมกับทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามเขาออกจากโรงแรมไปก็เท่านั้น
บนรถแทบจะไม่มีการสนทนาอะไรกันเลยตลอดทาง จนกระทั่งถึงบ้านตระกูลเจียง นี่ก็เป็นเวลากว่าบ่ายสองโมงแล้ว แสงแดดยามบ่ายสว่างเจิดจ้า ส่องผ่านต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ก่อนจะลอดเข้ามาทางหน้าต่างรถ หญิงสาวต้องยกมือขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อบังแสงไว้
แต่ขณะเดียวกันชายหนุ่มยังไม่ทันได้ลืมตา เขาก็เอื้อมมือออกไปกดสวิตช์ม่านหน้าต่าง พอม่านค่อย ๆ ปิดลงแสงแดดด้านนอกก็ถูกบดบังไว้จนมิด
รถของพวกเขาขับตรงเข้าไปในลานกว้างของตระกูลเจียง หลังจากที่ทั้งคู่ลงจากรถแล้ว แม่บ้านก็เดินนำพวกเขาเข้าไป แต่แทนที่จะเข้าไปในตัวคฤหาสน์ กลับพาพวกเขาตรงไปทางสวนด้านหลังแทน
ที่ด้านข้างของสระว่ายน้ำเจียงจี้เซิงกำลังนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเอียงหน้าไปอีกด้าน บนใบหน้ามีหนังสือวางทับไว้ ดูท่าเหมือนกำลังหลับสบาย แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เขาก็เอาหนังสือลง ก่อนจะเหลือบตามองไปทางต้นเสียง
“มากันแล้ว” เจียงจี้เซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ สีหน้าของเขาดูมืดมนเล็กน้อย คิ้วขมวดมุ่น แลดูอารมณ์ไม่ดี
ลี่เฉินซีพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินผ่านพ่อบ้านเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ พร้อมกับถอดเสื้อสูทออกอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วยื่นให้พ่อบ้านที่รอรับอยู่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ดูเหมือนจะไปได้ไม่ค่อยดีสินะ!”
เจียงจี้เซิงยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “รู้แล้วจะถามทำไมอีก?”
สีหน้าของลี่เฉินซีดูเปล่งกายไม่เหมือนเดิม ต่างจากเจียงจี้เซิงที่วันนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ชีวิตต้องทนขมขื่นต่อไป เนื่องจากสภาวะอารมณ์ของเขาตอนนี้ไม่ค่อยดี จึงทำให้บรรยากาศรอบ ๆ เกิดความกดดันตามไปด้วย
ซูย้าวยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ลี่เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะกวาดสายตาไปทางคฤหาสน์ “เข้าไปสิ อาฉีอยู่ข้างบน”
เจียงจี้เซิงก็เสริมว่า “ผมบอกเขาแล้ว เขารอคุณอยู่”
ซูย้าวพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านเข้าไปในคฤหาสน์
ด้านข้างของสระว่ายน้ำ ลี่เฉินซียกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดบน พร้อมกับคลายเนคไทกับคอเสื้อออกเล็กน้อย ขณะที่กำลังปลดกระดุม เขาก็เหลือบตามองไปข้าง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจอลูกสาวนายรึยัง?”
เจียงจี้เซิงได้ยินดังนั้นก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยอยากแสดงความรู้สึกให้คนอื่นเห็นสักเท่าไร ยิ่งไม่อยากเปิดเผยเรื่องในใจของตัวเองออกมาด้วย แต่เรื่องเหล่านี้เป็นข้อยกเว้นกับลี่เฉินซี เพราะช่วงไม่กี่ปีมานี้พวกเขาพบปะกันค่อนข้างบ่อย จนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว
ชายหนุ่มจึงตอบกลับว่า “เลิกพูดเถอะ อาไน่หัวแข็งเกินไป ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมรับว่าเป็นลูกสาวฉัน”
ทว่าลี่เฉินซีกลับยิ้มออกมา “หัวแข็งก็ไม่ใช่นิสัยนายรึไง”
เรื่องระหว่างเจียงจี้เซิงกับ เซียวไน่ลี่เฉินซีได้ยินมาว่าทั้งคู่อายุห่างกันเกือบสิบสองปี ตอนที่เซียวไน่อายุได้สิบขวบ เธอถูกเจียงจี้เซิงเก็บเอามาเลี้ยงดูไว้ข้างกาย เพราะงั้นไม่ว่าเธอจะมีนิสัยเป็นยังไง ก็ล้วนแต่มาจากน้ำมือของเจียงจี้เซิงทั้งนั้น
เจียงจี้เซิงยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “เหมือนจะใช่ แต่เด็กคนนี้ ดูท่าจะทำให้คนจนปัญญาได้ยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก!”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “งั้นนายก็ภาวนาต่อไปนะ! อ๋อใช่ ฉันจะแต่งงานแล้ว”
เจียงจี้เซิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะกระโดดลุกจากเก้าอี้ด้วยความตกตะลึง “แต่งงาน? กับใคร? ซูย้าว?”
ลี่เฉินซีพยักหน้ารับ “อย่าลืมมาดื่มฉลองกับพวกเราด้วย”
“ก็ได้ พวกนายก็ควรแต่งกันสักที แต่ว่า แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการแต่งงานซ้ำเหรอ?” เจียงจี้เซิงถามขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
ลี่เฉินซีหลุบตาลงอย่างใช้ความคิด “ไม่นับ เพราะตัวตนของเธอตอนนี้คืออานหว่านชิง”
เจียงจี้เซิงขมวดคิ้วแน่น “ไม่รอให้ความทรงจำเธอฟื้นคืนมาก่อนเหรอแล้วค่อยว่ากันอีกที? นายก็รู้ เธอตอนนี้…..”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ลี่เฉินซีก็ขัดขึ้นว่า “ฉันรอไม่ไหว เพราะไม่ว่าจะช้าจะเร็วยังไงมันก็คือเธอ ฉันไม่สนหรอก”
ถ้าให้เขารอต่อไปทีละวันอีก เขากลัวว่าฉากเมื่อสองปีที่แล้วมันจะกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง เพราะระหว่างคนทั้งคู่ มันมีตัวแปรอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วยมากเกินไปจริง ๆ